ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 335 กัดข้อมือข้าไว้ / ตอนที่ 336 มาโดยไม่ได้รับเชิญ
ตอนที่ 335 กัดข้อมือข้าไว้
มิหนำซ้ำ ตัวเลือกของมารดาในตอนนั้นก็คือรักษาเด็กเอาไว้ เขายังไม่คลอดออกมา ยังไม่เคยแม้แต่เห็นแสงตะวันบนโลกมนุษย์ ไม่เคยแม้แต่ได้กลิ่นหอมของมวลดอกไม้เลยด้วยซ้ำ
หนิงอวี้อ้าปากหมายจะเอ่ยคำ แต่จนปัญญาด้วยผ้าอุดปากนางเอาไว้แน่น นางได้แต่ส่ายหน้าด้วยน้ำตา แล้วดึงแขนเสื้อเขา เว่ยหยวนยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากนางเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าต้องการเพียงเจ้าก็พอ”
“หากเจ้าตาย” เว่ยหยวนสีหน้าสุขุมนิ่ง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าจะฆ่าตัวตาย ไปปรภพเป็นเพื่อนเจ้า”
“หนทางที่นั่นมืดยิ่งนัก กลางคืนที่นั่นยังเหน็บหนาว ข้าจะเป็นเพื่อเจ้าคอยจูงมือเจ้าไว้”
เว่ยหยวนลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนออกคำสั่ง “ต้องรักษาชีวิตฮองเฮาไว้ให้ได้ ส่วนเด็ก ทำให้เต็มที่ส่วนที่เหลือแล้วแต่สวรรค์”
หัวหน้าขันทีคุกเข่าลงกับพื้น เขาคิดไปว่าเว่ยหยวนทรงเป็นฮ่องเต้ผู้เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
เขาออกรบเข่นฆ่าเด็ดขาด ทุกท่วงท่าล้วนแต่สามารถปลิดชีพผู้คนนับไม่ถ้วน เขาออกศึกพิชิตสมรภูมิ เพียงแค่จัดขบวนทัพก็สามารถบั่นเศียรหัวหน้าฝ่ายข้าศึกได้ แม้ยามที่เขาสังหารพระราชบิดา ท่าทีกลับสุขุมใบหน้าประดับด้วยยิ้ม
เขาคิดไปว่า ราชวงศ์ใต้ได้ฮ่องเต้ผู้เ**้ยมหาญเด็ดเดี่ยว ใครจะไปคิดว่า การที่ฮ่องเต้ทรงเ**้ยมโหดนั้น ทั้งหมดก็เพื่อความอ่อนโยนเพียงเรื่องเดียวนี้
หัวหน้าขันทีขาอ่อนยวบลงกับพื้น ความยิ่งใหญ่หรือพินาศของราชวงศ์ใต้มิได้อยู่ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ ไม่ได้อยู่ที่การจัดการวางแผนของขุนนาง แต่กลับอยู่ในมือฮองเฮา ทุกการกระทำของนาง ทุกการเคลื่อนไหวของนาง ส่งผลต่อทั้งราชวงศ์
เว่ยหยวนหันกลับไปข้างกายหนิงอวี้ เขากุมมือนางไว้แน่นด้วยความรู้สึกผิด
“ข้ารับรอง ว่าจากนี้จะไม่ให้เจ้าต้องลำบากเช่นนี้อีก”
หนิงอวี้ยังคงจมอยู่กับคำพูดนั้นที่ว่า ‘แล้วแต่สวรรค์ของเขา’ นางได้ยินแล้วอยากจะระเบิดความโกรธออกมา แต่ก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วแน่นโดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง นางได้แต่จ้องถมึงทึงยังเว่ยหยวน พยายามเต็มสุดแรงที่จะกุมมือเขาไว้ให้แน่น
ถึงแม้จะถลึงตาจ้อง แต่เพราะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจึงดูอ่อนแอยิ่งนัก เว่ยหยวนยื่นมือไปดึงผ้าออกจากปากนาง แล้ววางมือนางลงยังขอบเตียง หนิงอวี้ชะงักนิ่ง อ้าปากหมายจะเอ่ยคำ ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงหมอตำแยตะโกนขึ้นดัง
“ฮองเฮา พระองค์ออกแรงหน่อยเพคะ ศีรษะจะโผล่ออกมาแล้ว”
แม้ว่าจะเจ็บปวดเป็นละลอก หนิงอวี้สีหน้ายังคงตกใจและยินดี เว่ยหยวนได้ยินเช่นนั้นสีหน้ายังคงนิ่งสุขุม ไม่แสดงความโศกเศร้าหรือยินดี ได้แต่จ้องหนิงอวี้อยู่เงียบๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “กัดข้อมือข้าไว้”
หลังจากอวี้เอ๋อร์กลับมาจากราชวงศ์เหนือ เขามักจะคิดว่านางทำเกินไปอยู่บ้าง ความโกรธเคืองคละเคล้า ทำให้เขาอดคิดที่จะทรมานนางไม่ได้ แต่เมื่อสุดท้ายแล้วกลับเป็นเขานั่นเองที่ทำร้ายนางอย่างรุนแรงที่สุด
“หม่อมฉัน…โอ๊ย…ต้องการเด็กคนนี้!”
ประโยคที่ติดขัด แทรกด้วยเสียงหายใจหอบจากความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เว่ยหยวนก้มหน้าลงแล้วกระซิบข้างหูนางอย่างอ่อนโยน “ได้ เจ้าอยากได้อะไรข้ารับปากหมด”
“ข้าเพียงแต่ขอร้องเจ้า อย่าจากข้าไป”
ช่วงเวลาเที่ยง องครักษ์ปีนขึ้นไปบนหอสูงผลักไม้ซุงท่อนเขื่องตีกระทบระฆัง ทารกแรกเกิดเลือดท่วมทั้งกาย หลับตาร้องไห้เสียงดัง เสียงทั้งสองดังขึ้นประสานกัน เว่ยหยวนก้มหน้าลงลูบแก้มนาง “ข้าขอโทษ”
“ขอแสดงความยินดีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ฮองเฮา พระราชโอรสผู้เปรื่องปราดและน่ารักพ่ะย่ะค่ะ!”
ผู้คนทั้งหลายคุกเข่าลงทั่วพื้น ต่างตะโกนพูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อในที่สุดก็หยุดสั่น
หนิงอวี้เหยียกปากยิ้มหนึ่งที่อย่างอ่อนแรง นางยื่นมือไปหมายจะค้ำเตียงผลักตัวลุกขึ้นแต่นางกลับถูกเว่ยหยวนใช้แรงกดไว้อย่างแข็งกร้าวแต่อ่อนโยน
“เว่ยหยวน…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย หลับเถอะนะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
เว่ยหยวนก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากนางแล้วดึงผ้าห่มขึ้นห่มให้
หงหลิงรับเด็กมาจากมือหมอตำแย หยอกเย้าเล่นด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน นางอ้าปากกำลังจะเอ่ยคำ ก็เห็นหนิงอวี้ท่าทางอ่อนแออย่างยิ่งหางตาก็พลันน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้
“ฮองเฮา พักผ่อนก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะดูแลพระโอรสองค์น้อยเอง พระองค์ทรงโปรดวางใจเถอะเพคะ”
หนิงอวี้ได้ยินหงหลิงพูดรับปากอย่างสัตย์ซื่อ จึงหลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ
ตอนที่ 336 มาโดยไม่ได้รับเชิญ
ประสูติกาลของพระราชโอรส เสียงระฆังดังระงมไปทั่วทั้งวังหลวง ทันใดนั้นหิมะก็โปรยปรายลงมา ปกคลุมไปทั่วเมืองหลวงอย่างอ่อนโยน
เว่ยหยวนนั่งอ่านหนังสือราชการอยู่ข้างเตียง คอยชำเลืองมองหนิงอวี้อยู่พักๆ เพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้เตะผ้าห่มทิ้ง สำหรับเรื่องเด็ก ให้ชื่อว่า ‘จงเอ๋อร์’ ไม่ใช่ ‘จง’ ที่แปลว่า ‘ระฆัง’ แต่เป็น ‘จง’ ที่หมายถึง ‘ความรักมั่นลึกซึ้ง’
หนิงอวี้นอนหลับอย่างสงบ มุมปากแฝงด้วยรอยยิ้มเลือนราง เว่ยหยวนวางวางหนังสือราชการลงแล้วลูบไปบนหน้านาง
——
เมื่อพระโอรสได้หนึ่งเดือน ทั่วเมืองหลวงต่างประดับด้วยโคมและผ้าสีขาวราวหยกสลับสีแดงสดแต่งประดับดาษดื่นไปทั่ว หนิงอวี้ในชุดกระโปรงแดงซ้อนสลับหลายชั้นตัวหนึ่ง อุ้มทารกในผ้าอ้อมสีเหลืองทองไว้ในมือ
เด็กน้อยในผ้าอ้อมสีเหลืองทองใบหน้าขาวผ่องดั่งหยก มุมปากประดับยิ้ม ยื่นนิ้วอันอวบอ้วนชี้เล่นไปกลางอากาศ หนิงอวี้ก้มหน้ายิ้มหวานแล้วยื่นนิ้วชี้แตะนิ้วเขา นางพูดขึ้นเสียงเบา “อันเอ๋อร์เด็กดี”
เด็กน้อยยิ้มน้อยๆ คิ้วดำขลับคมเข้มเหยียดโค้ง หนิงอวี้หัวเราะเบาๆ เหวี่ยงทารกในอ้อมกอดไปมาเบาๆ ท่วงท่าดูงุ่มง่ามอยู่เล็กน้อย
ชื่อเล่นของเด็กผู้นี้ คือ ‘อันเอ๋อร์’ นางผ่านเรื่องราวมามากมาย สุดท้ายปรารถนาก็เพียงแค่มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข “อันเอ๋อร์” หนิงอวี้จ้องไปยังดวงตาน้อยที่กลอกมองไปมาไม่หยุดของเขาอย่างตั้งใจ
“แม่ไม่ขอให้เจ้าสร้างคุณงามความชอบยิ่งใหญ่ ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ด้วยสุขสงบก็พอ”
สุขสงบนะ หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้ม เบ้าตากลับมีน้ำตาเอ่อล้น บิดาก่อนสิ้นใจ ประโยคที่พูดไว้เพียงครึ่งคำก็คือคำว่า ‘สุขสงบ’ นั่นเอง
“ฮองเฮาเพคะ ได้เวลาแล้วเพคะ”
แม่นมที่อยู่ด้านข้างเดินเข้ามา รับตัวอันเอ๋อร์ไปพลางยอบกายคำนับแล้วถอยออกสองสามก้าว หนิงอวี้พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปกลางท้องพระโรงโดยมีจิ้นอินคอยพยุง
เหล่าขุนนางทั่วทั้งท้องพระโรงคุกเข่าลงกับพื้น เว่ยหยวนในชุดสีเหลืองทองทั้งตัวนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรจ้องมายังนางด้วยแววตาอ่อนโยน หนิงอวี้ใบหูเห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยินดีกับตัวเองที่วันนี้นางทาแป้งชาดมาด้วย
ชุดกระโปรงแดงยาวซ้นสลับหลายชั้น ปักลายพญาหงส์จุติกลางเพลิงตัวหนึ่ง เส้นผมดำขลับถูกรวบตึง สวมด้วยมงกุฎหงส์อันวิจิตรหรูหรา หนิงอวี้ใบหน้าประดับยิ้มพอประมาณ ทุกย่างก้าวงามสง่าสุขุม
ขุนนางนับร้อยคุกเข่ากับพื้น มีเพียงสองสามคนข้างพรมกำมะหยี่แดงที่ไม่ได้คุกเข่า ได้ยินว่าเป็นทูตจากราชวงศ์เหนือ รอยยิ้มบนมุมปากหนิงอวี้จางไปเล็กน้อย ชั่วอึดใจเดียวก็เหือดไปจนสิ้น ในหมู่ทูตมีคนผู้หนึ่งหันมา คนผู้นั้นสวมชุดสีม่วง บนหน้าสวมหน้ากากเขียวเขี้ยวโง้ง เขาคือหนิงเฝ่ย
หนิงอวี้ชะงักเล็กน้อย สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างสังเกตได้ก็รีบเข้าไปประคองนางอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นสายตาเว่ยหยวนที่จดจ้องนาง หนิงอวี้ก็ชำเลืองขึ้นฝืนปั้นหน้ายิ้มออกมาหนึ่งทีเพื่อให้สบายใจ
ราชวงศ์เหนือใต้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ต้อสู้รบพุ่งชนกันอีก บางครั้งได้ยินเหล่าขุนนางคุยกันว่าฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหนือจะสละราชบัลลังก์ในไม่ช้า มู่หรงเหยียนจะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้
เว่ยหยวนลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงบันไดช้าๆ เขาจูงมือนางก้าวขึ้นบันใด มือถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่น ความกลัดกลุ้มรุ่มร้อนในใจพลันหายไปกว่าครึ่ง หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นแล้วมองไปยังเขาปราดหนึ่งด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
เกิดเรื่องต่างๆ มากมาย เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย สุดท้ายคนที่ยังอยู่เคียงข้างนางก็คือเขา จงเอ๋อร์อยู่ในอ้อมกอดแม่นมกำลังหัวเราะคิกๆ ไม่หยุด พลางยื่นนิ้วน้อยๆ ออกมา
กลางอุทยานหลวงปลูกต้นบ๊วยแดงจนทั่ว กลิ่นหอมโชยไกลสิบลี้ บัดนี้ปลายฤดูหนาว ดอกบ๊วยแดงร่วงโรยหล่นลงเป็นจุดแดงๆ บนหิมะขาว
หนิงอวี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ยืนมือข้างหนึ่งก่ายไปบนกิ่งบ๊วยแล้วยิ้มน้อยๆ ชุดบนกายนางยังไม่ทันเปลี่ยน พญางหงส์จุติกลางเพลิงแต้มไปด้วยจุดแดงน้อยๆ ดูคล้ายเปลวไฟสีแดงสดลุกโชติ
เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น หนิงอวี้ช้อนตามองก็เห็นหลังภูเขาจำลองมีชายเสื้อสีม่วงปรากฏขึ้นเป็นจุดเล็กๆ…ชายเสื้อสีม่วง หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วหันกายกลับ วินาทีต่อมานางยั้งฝีเท้าลงแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “พวกเจ้าไปก่อน ข้าชมดอกบ๊วยลำพังได้ จิ้นอิน ดูแลอันเอ๋อร์ให้ดีด้วย”
“เพคะ”
จิ้นอินค้อมกายคำนับ เหลือบหางตามองไปยังภูเขาจำลองปราดหนึ่ง แววตาแอบแฝงซ่อนเร้น นางก้มหน้ารีบคำนับแล้วถอยออกไป