ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 339 วังหลังมิควรแทรกแซงราชการ / ตอนที่ 340 พิชิตจูซาง
ตอนที่ 339 วังหลังมิควรแทรกแซงราชการ
“ใต้เท้า ท่านกลับไปก่อนเถอะ” หัวหน้าขันทีกรีดนิ้ว สีหน้าสัตย์ซื่อ “ในเมื่อเป็นพระราชเสาวนีย์ฮองเฮา ไม่สู้ทูลขอร้องฮองเฮาให้ทรงปล่อยนางเสียดีกว่า”
ขุนนางผู้ใหญ่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วถลึงตามอง หมายจะลุกขึ้นยืนแล้วแสดงท่าทีแข็งขืนยอมตาย แต่ด้วยเขายืนอยู่นานจนขาทั้งสองอ่อนล้า ขันทีน้อยที่อยู่ด้านข้างจึงเข้าไปประคองเขาลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว
“ฮึ! มีอย่างที่ไหนกัน!”
ขุนนางผู้ใหญ่แค่นเสียงออกมาด้วยความโกรธหนึ่งที ใช้มือปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า ผลักขันทีน้อยจนซวดเซแล้วเดินจากไป
ผนังฟากหนึ่งบดบังสายตา เว่ยหยวนมองขมวดคิ้วไปยังม้วนหนังวัวม้วนหนึ่งไม่เลิก รายงานด่วนกองทัพแจ้งว่า อาณาจักรจูซางก่อกบฏ จูซางเดิมทีเป็นอาณาจักเล็กที่เป็นเมืองขึ้นของราชวงศ์ใต้ ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงเกิดกบฏขึ้นมากะทันหัน คิดที่แปรพักต์ไปเข้าร่วมกับราชวงศ์เหนือ
ตอนนี้อยู่ในช่วงต้องการกำลังพล แต่จนปัญญาเพราะการออกรบกับราชวงศ์เหนือทั้งสองครั้งล้วนนั้นได้สูญเสียกำลังไปแล้วนับไม่ถ้วน จูซางแม้จะเป็นอาณาจักรเล็กๆ แต่ทหารของอาณาจักรนั้นเก่งกล้าห้าวหาญอย่างยิ่ง ในราชสำนักถ้าจะหาผู้ใดที่มั่นใจได้ว่าจะรบได้ชัยกลับมาล่ะก็…
ในขณะนั้นเองมีเสียงจงใจตะโกนให้ดังลอยแว่วมาจากด้านนอก
“ถวายบังคมฮองเฮา”
เว่ยหยวนนึกถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่งานเลี้ยงฝนวสันต์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตึงหนักพระทัย เขาลุกขึ้นเดินออกไปรับนาง
หนิงอวี้แต่งหน้าอย่างประณีต ติดประดับดอกไห่ถางแก้วไว้ข้างศีรษะ เกสรสีทองนาคงามประณีต ดูมีชีวิตชีวาราวกลับเป็นดอกไม้จริง
“ไม่ต้องคารวะ”
เว่ยหยวนจูงมือนางไว้ กังวลว่านางจะคิดทำเรื่องแผลงๆ ด้วยเรื่องเมื่อวาน หนิงอวี้ลดคิ้วต่ำ ใบหน้าที่ดูเย็นชาในตอนแรกของนางด้วยท่าทีของเขาเช่นนั้นจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย
“ฝ่าบาท เมื่อวานหม่อมฉันบุ่มบ่ามเกินไป วันนี้ โปรดปล่อยนางเถอะเพคะ”
หลังจากความโกรธเคืองเพียงชั่ววูบผ่านไป นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ เป็นเช่นนี้ ช่างไม่สมควรเสียจริง
ขุนนางใหญ่จะตบแต่งบุตรเข้าวังแต่ไหนแต่ไรก็เป็นเรื่องปกติ หนำซ้ำตอนนี้วังหลังเองก็ยังว่างเปล่า ในเมื่อเว่ยหยวนเองก็มิได้สนใจแม้แต่น้อย เพียงก้มหน้าจัดขนมให้นาง เท่านี้ก็รู้ใจเขาแล้ว
สามฝ่ายประนอมกัน ถึงจะพอรักษาสันติภาพเพียงภายนอกเอาไว้ได้ แต่เมื่อวานเพราะความโกรธชั่ววูบของนาง จึงฉีกทำลายฉากสันติภาพจอมปลอมนั้นโดยไม่สนใจสิ่งใดไปเสีย ทั้งที่ในความเป็นจริงต่อให้ทั้งหมดเป็นเพียงการเสแสร้ง แต่นางก็ควรยิ้มเผชิญอย่างสุขุม
เว่ยหยวนเห็นนางขมวดคิ้วน้อยๆ ก็รู้ได้ทันทีว่านางมิได้ยินดี เมื่อรู้ว่านางหึงหวงร้ายกาจเพียงใด ก็อดมิได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา ถัดจากนั้นเขาก็กำหมัดยกขึ้นกระแอมเบาๆ หนึ่งที
“ไม่ต้อง ขังอีกสองสามวันแล้วกัน”
หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมองเห็นเขายิ้มน้อยๆ ก็อดมิได้ที่จะหน้าแดงระเรื่อ พอนึกได้ว่าความในใจเล็กๆ ของตนถูกเปิดเผยในก้นบึ้งนัยน์ตาเขา ใบหูก็พลันแดงมากยิ่งขึ้น
นางเหลียวไปรอบด้านอย่างร้อนรน พยายามเปลี่ยนความสนใจ หางตาก็สังเกตเห็นม้วนหนังวัวมัดด้วยด้ายแดงม้วนหนึ่ง หนิงอวี้ขมวดคิ้วเดินเข้าไปสองสามก้าวหยิบม้วนหนังวัวขึ้นมา เมื่ออ่านจบสีหน้าก็นิ่งไป
เว่ยหยวนเดินเข้าไปสองสามก้าว ยื่นมือไปหมายจะขยี้เรือนผมนาง แต่เพราะด้วยปิ่นปักผมงามหรูของนางจึงไม่อาจลงมือ ได้แต่แตะปลายจมูกนางเบาๆ หนึ่งที
“วังหลังมิควรแทรกแซงราชการ เจ้าลืมแล้วหรือ เพียงเจ้าซุกอยู่ในอ้อมกอดแต่โดยดีก็พอ เรื่องอื่นใดนั้นข้าจัดการเอง”
“หม่อมฉันอยากออกรบเพคะ”
หนิงอวี้ช้อนตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความหนักแน่น เว่ยหยวนชะงักนิ่ง เมื่อได้สติกลับมาก็ยื่นมือไปชักม้วนหนังวัวออกจากมือนางแล้วพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ “ไม่ได้”
“ฝ่าบาท ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว เป็นช่วงที่ต้องใช้กำลังพลนะเพคะ” หนิงอวี้คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น กระโปรงซ้อนสลับชั้นราวกับเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะ “หม่อมฉันหนิงอวี้ ขอพระบรมราชานุญาติออกรบเพคะ”
รอยยิ้มมุมปากเว่ยหยวนหายไปจนสิ้น เขาก้มหน้าพินิจสีหน้านาง หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยื่นมือไปกุมมือเขาไว้ พลางพูดให้สัญญาว่า “หม่อมฉันจะกำราบจูซางให้ราบ และกลับมาพร้อมชัยเพคะ”
“หนิงอวี้ เจ้าทิ้งให้ข้ารอมาหลายครั้งแล้ว”
เว่ยหยวนโน้มกายลง ยื่นมืออีกข้างไปลูบคลำแก้มนางเล่นด้วยสีหน้าอันลุ่มลึกยากจะคาดเดา
ตอนที่ 340 พิชิตจูซาง
กรงขังนั้นไม่อาจจองจำพญาเหยี่ยว เว่ยหยวนยิ้มบางหนึ่งที ในเมื่อเช่นนี้ก็หักปีกมันเสียเลยแล้วกัน เมื่อไม่ทางหนีก็คงได้แต่ซุกอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่ายเท่านั้น
“ในเมื่อเช่นนี้ เราก็ขอสั่งให้เจ้าเดินทางไปยังจูซาง”
“หม่อมฉันรับพระบัญชา”
หนิงอวี้ก้มหน้าลง เส้นผมดำขลับลื่นผ่านบ่าลงมา หล่นลงกับพื้น
แสงแดดส่องลอดม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้อง แสงเงาเป็นเหลื่อมซ้อนสลับกัน เว่ยหยวนปล่อยมือลงรวบเส้นผมนางแล้วโน้มกายลงประทับจุตพิตบนศีรษะนางหนึ่งที
“แม่นางจิ้นอินขอ…”
หัวหน้าขันทีโค้งคำนับพลางตะโกนขึ้นเสียงดังที่ประตู วินาทีถัดมาเมื่อเห็นทั้งสองคนอย่างชัดเจนก็รีบเอามือปิดปากอย่างรีบร้อน ให้ตายเถอะ ยิ่งอายุมายิ่งเลอะเลือน เขาคิด
หนิงอวี้ลุกขึ้นยืนใบหน้าแดงด้วยความอาย นางยื่นมือไปดึงสาบเสื้อเว่ยหยวน แล้วซุกศีรษะเข้าไปอย่างเสียมิได้ เว่ยหยวนหัวเราะเบาๆ จุมพิตลงบนเรือนผมนางหนึ่งทีแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “เข้ามา”
แก้มที่เจ้าเนื้อบนหน้าหัวหน้าขันทีกระตุกไม่หยุด เขารีบโค้งกายคำนับแล้วถอยออกไปโดยเร็ว เสียงฝีเท้าสั้นๆดังไกลออกไป ไม่นานก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าน้อยถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา ฮองเฮาเพคะ องค์ชายทรงกรรแสงไม่หยุดตั้งแต่หลังบรรทมบ่าย ทรงหันทอดพระเนตรไปมาตลอด คงกำลังมองหาพระองค์อยู่”
หนิงอวี้เห็นนางสีหน้าเคร่งขรึมตอนแรกคิดว่ามีเรื่องอะไรใหญ่โต คิดไม่ถึงว่าเป็นเพียงเรื่องน้อยนิดแค่นี้ คิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางคอยอยู่ข้างกายอันเอ๋อร์ ตอนนี้กลับไม่อยู่ด้วย อันเอ๋อร์ย่อมต้องร้องไห้แน่นอน
“หม่อมฉันขอทูลลาก่อนเพคะ”
“อืม รอข้าเสร็จราชกิจแล้วจะไปหาเจ้า”
เว่ยหยวนมองนางเดินจนหายลับตาไป ครั้นแล้วก็ยื่นมือไปหยิบม้วนหนังวัวเมื่อครู่ขึ้น อวี้เอ๋อร์ชอบอันเอ๋อร์ นี้ดีทีเดียว หากนางสูญเสียวรยุทธ์กำลังภายในก็คงไม่ถึงกับทำให้หมดอาลัยตายอยากนักหรอก
ดูจากนิสัยนางแล้ว หากนางได้รู้ความคิดตนแล้วต้องหาทางจากไปแน่นอน
ไม่เป็นไร ขอเพียงปิดซ่อนเอาไว้สักหน่อยก็พอ หากไม่หักปีกเสีย พญาเหยี่ยวจะยอมอยู่ในกรงเล็กๆ โดยศิโรราบได้อย่างไร
——
บนสมรภูมิรบเลือดสดไหลหลั่งดั่งธารน้ำ ซากศพกลาดเกลื่อนไปทั่ว หนิงอวี้ยื่นมือไปดึงหอกยาวด้ามหนึ่งออกมาจากศีรษะบนศพร่างหนึ่งแล้วซัดออกไปยังหัวหน้าฝ่ายข้าศึก เพียงชั่วอึดใจเดียวก็แทงทะลุอกของคนผู้นั้น
เสียงดัง “โครม” คนผู้นั้นเลือดทะลักพุ่งออกจากปาก ม้าศึกส่งเสียงร้องแหลม ทะยานขึ้นกลางอากาศสะบัดเขาร่วงลง หนิงอวี้ยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดอุ่นบนหน้า สองวัน เพียงสองวันเท่านั้น อาณาจักรจูซางก็พินาศ
เว่ยหยวนจัดส่งเสบียงอาหารอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นดีมา เหล้าทหารขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม ฮึกห้าวกล้าหาญอย่างยิ่ง หนิงอวี้จัดเหล่าทหารนายพลพิชิตอาณาจักจูซางได้อย่างง่ายดาย
เศษซากปรักหักพัง คือเมืองหลวงแห่งอาณาจักรจูซาง รอยดำไหม้และคราบเลือดแดงบนสิ่งก่อสร้างสาดกระเซ็น ปกปิดหน้าตาเดิมของมันจนสิ้น แต่ยังคงมองเห็นความงดงามโชติช่วงของมันในอดีต
“เจ้าพวกราชวงศ์ใต้สมควรตาย! ฮ่องเต้ราชวงศ์เหนือจะส่งกำลังพลมาช่วยเราแน่!” ชายฉกรรจ์ที่พันกายด้วยหนังสัตว์สบถอยู่ไม่หยุด “พวกเจ้าบุกมาเต็มที่เลย! พวกเราชาวจูซางจะไม่มีวันถอย ไม่ร้องขอชีวิตเด็ดขาด”
หนิงอวี้ตวัดแส้ ม้าเหงื่อโลหิตควบพุ่งไปยังคนผู้นั้น ชายฉกรรจ์สองมือถือดาบคอยรับ แต่ถูกกระบี่ยาวของหนิงอวี้ปัดออก เสียงดังขึ้น “พรูด” เลือดสดพุ่งทะลักออกจากบริเวณลำคอเขา
เลือดสดสาดกระเซ็น เกาะเลอะรอยแผลยาวบนหน้านาง สายลมโหมแรงพัดเส้นผมปลิวไหว หนิงอวี้ยื่นมือไปดึงธงที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาชูเหนือศีรษะ
กองกำลังนับพันหมื่นบุกทะลวงประตูวัง ตามหลังเสียงฝีเท้าม้าคือเสียงร่ำไห้ระงมนับไม่ถ้วน หนิงอวี้ถือสายบังเ**ยน ขมวดคิ้วนั่งบนหลังม้ายืนอยู่ที่ประตูวัง
คนผู้นั้นบอกว่าราชวงศ์เหนือจะส่งทหารมาช่วย เห็นได้ว่าราชวงศ์เหนือมีความคิดที่จะทำการรบ ทว่ากองทัพราชวงศ์ใต้โจมตีจูซาง พวกเขากลับอยู่นิ่งไม่แยแส
ได้ยินมาว่า…มู่หรงเหยียนขึ้นครองราชย์เมื่อวานนี้ หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมองออกไปไกลๆ ดูเหมือนเขาคงได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
‘อำนาจ’ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาโดยตลอด เว่ยหลิง มู่หรงเหยียน หรือแม้แต่เว่ยอวิ้นผู้ไร้ความคิดนั้นด้วย
มีเพียงเว่ยหยวน ระหว่างอำนาจกับนางแล้ว เขาเลือกนางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หนิงอวี้สีหน้าผ่อนลง แววสังหารบนใบหน้าลดลงไปเล็กน้อย คราบเลือดเป็นดวงๆ ดูละม้ายดอกไม้ที่ผลิบานสวยงาม