ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 343 เสียงพิณเสนาะโสต / ตอนที่ 344 สิ้นเยื่อใยอีกครั้ง
ตอนที่ 343 เสียงพิณเสนาะโสต
ดูเหมือนเด็กน้อยจะเห็นหน้าเขาชัดเจนจึงปล่อยเสียงร่ำไห้ อึดใจเดียวก็พุ่งไปยังข้างกายหนิงอวี้แล้วแกว่งหมัด
“เจ้าคนชั่ว! ห้ามรังแกท่านปู่ข้านะ!”
“เซิ่งเอ๋อร์ ห้ามเสียมารยาท!”
หนิงอวี้ยื่นมือไปคว้าสาบเสื้อเด็กผู้นั้นเอาไว้แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “บอกข้ามา ไม่เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าต้องตายที่นี่”
เด็กน้อยในมืออ้าปากปล่อยโฮร้องไห้ออกมาดัง ยกมือขึ้นตีแขนหนิงอวี้อย่างแรง หนิงอวี้มองไปที่หมอหลิ่วสีหน้าเรียบเฉย คอยฟังคำตอบจากเขาอยู่เงียบๆ
“…ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้สั่งกระหม่อมให้จ่ายยานี้”
ทันทีที่สิ้นเสียง หมอหลวงหลิ่วก็กระอักเลือดพุ่งกระเซ็นออกมานับไม่ถ้วน
หนิงอวี้นิ่งอึ้ง เด็กน้อยฉวยจังหวะที่ดิ้นหลุด กัดลงบนมือนางหนึ่งทีแล้ววิ่งพุ่งไปยังไปยังเบื้องหน้าหมอหลิ่ว
“ท่านปู่ ตื่นสิ! ท่านไม่ต้องการข้าแล้วหรือ!”
หนิงอวี้โคลงศีรษะมองไปยังทั้งสอง ครั้นแล้วก็หัวเราะเบาๆ หนึ่งที นางออกคำสั่งเสียงทุ้มว่า “ส่งท่านหมอหลิ่วกลับที่พัก แล้วส่งหมอหลวงไปรักษาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ชายกระโปรงที่เปรอะเลอะลากไปบนพื้น หนิงอวี้เดินซวดเซยกมือขึ้นค้ำประตูห้องขัง หงหลิงทำตัวไม่ถูก ได้แต่รีบเข้าไปประคองนางไว้
“ฮองเฮา นี่ต้องเป็นแผนยุแยงให้แตกคอกัน ฮ่องเต้ทรงรักใคร่พระองค์ยิ่งนัก แล้วจะทรงทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
หนิงอวี้ไม่เอ่ยวาจา ยื่นมือไปคว้ามือนางแล้วเหยียดหลังตรงเดินออกจากห้องขังช้าๆ ท่ามกลางคุกอันมืดมิด แสงเทียนสว่างกระพริบไหว สะท้อนเงานางตกกระทบลงพื้น
——
“ฮองเฮา จะวู่วามไม่ได้นะเพคะ!” หงหลิงเห็นนางเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในใจก็รู้สึกกังวลขึ้นมา “คงมีคนอยากยุแยง….กรี๊ด!”
หนิงอวี้ได้ยินเสียงกรีดร้องจึงหันกายกลับโดยพลันก็เห็นหงหลิงหกล้มอยู่กับพื้น ผ้าขาวที่ตาตุ่มมีเลือดสดซึมออกมา ใบหน้าที่นิ่งเฉยของหนิงอวี้พลันปรากฏความร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย นางรีบเดินเข้าไปหมายจะประคองนาง
“ไม่เป็นอะไรเพคะ ฮองเฮา พระองค์อย่าได้เชื่อคำพูดของเขาเป็นอันขาดนะเพคะ!”
หนิงอวี้โบกมือเรียกสาวใช้
“ไปเชิญหมอหลวงมา”
เดิมทีตั้งใจจะประคองหงหลิงลุกขึ้น เมื่อนึกได้ว่านางบาดเจ็บ จะขยับนางสุมสี่สุ่มห้ามิได้ ก็ย่อเข่าลงนั่งประสานตากับนาง
“นางทึ่ม เจ็บไหม”
หงหลิงน้ำตาแทบล้นเบ้า ได้ยินดังนั้นก็สูดหายใจแล้วส่ายหน้าทันที
“ไม่เจ็บเพคะ พระองค์อย่าได้ติดกับเด็ดขาดนะเพคะ ตอนนี้เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างหมายจะส่งบุตรสาวเข้าวัง หากพระองค์จากไปต้อง…”
หนิงอวี้ได้ยินนางยืนยันให้เชื่อมั่นในตัวเว่ยหยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ ตอนแรกตั้งใจจะเอาความคิดของตนบอกกล่าวออกไปแต่ก็กลัวนางจะกังวลกลัว ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ได้แต่รับปากนาง
“ข้ารู้แล้ว ข้าแค่จะไปถามพระองค์ก็เท่านั้น”
“รับปากหรือไม่ว่าจะไม่ฉุนเฉียว”
“ข้าจะไม่ฉุนเฉียว”
หงหลิงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วหันความคิดไปยังตาตุ่มที่บาดเจ็บ นางใช้มือป้องข้างตาตุ่มแล้วร้องขึ้นดัง “โอ๊ยๆ”
“จิ้นอิน เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลหงหลิง”
“เพคะ”
หนิงอวี้หันกายกลับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนของหงหลิงแว่วมาจากด้านหลัง
“ต้องเชื่อพระทัยฮ่องเต้นะเพคะ!”
หนิงอวี้เดินจากไปโดยเร็ว ดูเหมือนกับทหารที่กำลังรีบหนีกองทัพ ตอนนี้เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างรีบหาทางส่งบุตรสาวเข้าวัง ยากนักที่จะมั่นใจในความคิดของเว่ยหยวน
หนึ่ง นางเคยหายตัวกลางสนามรบ ทำให้เขาสิ้นหวัง สอง หากเขาจะรับพระสนมเพิ่ม ต่อให้นางมีเหตุผลมากมายก็ยากที่จะจากที่นี่ไปได้อยู่ดี
อันเอ๋อร์ผูกมัดรั้งเอาไว้ ทั้งวิทยายุทธที่เสื่อมสิ้นจนไม่อาจต่อสู้ได้อีกต่อไป…เว่ยหยวน เจ้าช่างวางแผนได้ดีเหลือเกิน
นางควรรู้แต่แรกแล้ว ว่าเขาใช้ความสามารถของนางจนขึ้นครองบัลลังก์ฮ่องเต้ กุมอำนาจราชวงศใต้เอาไว้ได้ ภายใต้อิทธิพลของเขา หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเขาแล้วจะมีใครอีกที่กล้าวางยานาง
เลี้ยวผ่านอุทยานหลวง กำลังมุ่งสู่ห้องทรงอักษร ก็ได้ยินเสียงพิณแว่วมาฟังดูไพเราะไม่น้อย
ตอนที่ 344 สิ้นเยื่อใยอีกครั้ง
หนิงอวี้นิ่งอึ้งกับที่ ทันใดนั้นริมฝีปากก็ขยับขึ้นยิ้มเจื่อน ดูเหมือนคงไม่ต้องไปตามหาแล้ว เขาอยู่ที่นี่เอง
วังหลังไร้เหล่าสนม ทั้งยังมีสาวงามน้อยยิ่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครจะมาดีดพิณกลางอุทยานหลวง เสียงพิณไพเราะชวนประทับใจ คิดแล้วนักพิณจะต้องเป็นหญิงงามแน่นอน หนิงอวี้ขบริมฝีปากโกรธจัด ในสัมปชัญญะที่ยังเหลืออยู่ในความคิดเตือนสตินางว่าทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาสุ่มๆ เท่านั้น
เลี้ยวผ่านมุมหนึ่งของภูเขาจำลอง ยังเดินไม่ทันถึงศาลาก็เห็นคนสามคนกำลังนั่งอยู่กลางศาลา หญิงสาวรูปงามกำลังก้มหน้าดีดบรรเลงพิณโบราณ หน้าตาดูอ่อนโยน อีกสองคนที่อยู่หน้านาง ผู้หนึ่งสวมชุดสีเหลืองทอง อีกคนคืออัครเสนาบดีฝ่ายขวา
เดิมทีนางควรโกรธดั่งไฟลุกแต่นางกลับรู้สึกโศกเศร้า ความกังวลรุ่มร้อนในใจนั้นพลันเลือนหายไป จิตใจหดหู่สิ้นหวัง ความรู้สึกนั้นคงเป็นเช่นนี้นี่เอง
“เพลงบทนี้มอบเพื่อสวรรค์เท่านั้น ยากนักที่จะได้ฟัง”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น หนิงอวี้ยั้งฝีเท้า วินาทีถัดมาก็เดินไปยังศาลาช้าๆ
“ถวายบังคมฮองเฮา”
หญิงสาวคุกเข่าลงกับพื้น ชุดกระโปรงยาวสีน้ำทะเลดูงามประณีต ชั่ววินาทีที่เดินเฉียดไหล่นาง หนิงอวี้ได้กลิ่นหอมแป้งชาดจากกายนางได้อย่างชัดเจน
“คารวะฝ่าบาท”
“ไม่ต้องคำนับ เวลานี้ควรนอนกลางวันไม่ใช่หรือ”
เว่ยหยวนใบหน้าประดับยิ้ม ยกมือขึ้นมากุมมือนางไว้ แต่เขากลับถูกหนิงอวี้สะบัดออกอย่างเย็นชา
หนิงอวี้หันกายกลับแล้วประคองหญิงสาวผู้นั้นลุกขึ้นด้วยตนเองพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ได้ยินเสียงพิณของแม่นางไพเราะจับใจยิ่งนัก ข้าเองก็อยากร่ายรำด้วยสักหน่อย”
“อวี้เอ๋อร์…”
กระบี่ยาวเลื่อนออกจากฝัก แสงเงินวาวฉายสะท้อนปลาบหนึ่ง หนิงอวี้ตวัดกระบี่ หญิงสาวสีหน้าเผยความหวาดกลัว รีบก้าวถอยอย่างลนลาน ครั้นได้สติกลับก็กลับไปนั่งหน้าพิณ
เว่ยหยวนลุกขึ้นยืน เพียงอึดใจเดียวก็นั่งกลับลงช้าๆ อวี้เอ๋อร์ เจ้าหึงหรือ
กระบี่ยาวผ่าแหวกอากาศ ดอกโบตั๋นดอกหนึ่งถูกฟันขาดครึ่ง กระบี่เงินตวัดผ่าน ใบไม้ร่วงกราวสู่พื้นดิน หนิงอวี้ใช้กำลังทั้งหมดที่มี กำด้ามกระบี่เอาไว้แน่น
หลังจากร่ายรำจนเสร็จ บนพื้นเต็มไปด้วยดอกไม้ใบไม้ สีแดงสลับเขียวกระจายจนเกลื่อน หนิงอวี้เลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มบางอย่างเย้ยหยัน ใช้กำลังทั้งหมดในกายรวมไว้ที่ปลายดาบ ตวัดมือออกไปจนดอกไม้ใบไม้บนพื้นพลันลอยขึ้นไม่หยุด
รำกระบี่จบลงเพียงเท่านี้ หนิงอวี้หัวเราะเบาๆ เอากระบี่ขึ้นพาดคอ เว่ยหยวนตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ เขาลุกขึ้นทันทีแล้วยื่นมือออกไป เพียงอึดใจ เส้นผมปอยหนึ่งก็ร่วงสู่พื้น จังหวะเดียวกันนั้นเอง ดอกไม้ใบไม้ก่อรูปเป็นอักษรคำว่า “เลิก”
หนิงอวี้ปล่อยมือลง เสียงกระบี่ร่วงลงพื้นดัง เคล้ง หนึ่งที กระทบลงบนปอยผมนั้นพอดี
“เว่ยหยวน ระหว่างเราสิ้นสุดเพียงเท่านี้”
“เจ้าพูดอะไร”
เว่ยหยวนย่นคิ้วรีบเดินเข้าไป หนิงอวี้มองเขาอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง นางก้าวถอยสองสามก้าวแล้วพูดขึ้น “เรื่องยา…ข้ารู้แล้ว”
“ข้า…”
“เจ้าเพียงแต่บอกข้ามา ว่าเรื่องนี้ เจ้าเห็นด้วยหรือ…เจ้าสั่งการหรือไม่”
หนิงอวี้จ้องตาเว่ยหยวนแล้วพูดขึ้นอย่างชัดถ้อชัดความ นางเห็นความลนลานในสายตาเขาอย่างที่คาดเอาไว้
เว่ยหยวนไม่สนผู้คนที่อยู่ที่นั่น สนใจเพียงแววตาอันเย็นชาของนาง เขายกมือขึ้นคว้ามือนางแล้วพูดขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ฟังข้าอธิบายก่อน”
แขนเจ็บอย่างรุนแรง หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นก็เห็นบริเวณข้อมือเต็มไปด้วยเลือด นางนึกได้อย่างเลือนราง ว่านี่คือรอยของฟันที่เด็กน้อยผู้นั้นทิ้งไว้
“จากนี้เราสองขาดกัน เว่ยหยวน เจ้ากับข้าไม่เหลือเยื่อใยต่อกันแล้ว”
หนิงอวี้เขี่ยฝุ่นบนพื้นอย่างใจเย็น แล้วหันกายเดินจากไป
นางคิดว่านางมองในแง่ลบเกินไป ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ผิดไปเลยแม้แต่น้อย เขาทำลายเกียรติภูมิของนาง โยนมันลงพื้นเหยียบย่ำจนแหลกซึ่งเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้อื่นเลย หนิงอวี้เดินโซซัดโซเซ น้ำตาเอ่อรื้น
แพ้แล้วหรือ ชาตินี้ แพ้จนราบคาบอีกแล้วหรือ