ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 345 ไม่มีหนิงฮองเฮาแล้ว / ตอนที่ 346 เหตุผลข้างๆ คูๆ
ตอนที่ 345 ไม่มีหนิงฮองเฮาแล้ว
“ฮองเฮา…”
“หงหลิงเป็นอย่างไรบ้าง”
หนิงอวี้ตัดบทจิ้นอิน นางเดินเข้ายังหอบรรทมสีหน้านิ่งเฉย จิ้นอินเห็นหางตานางแดงก่ำก็รู้ได้ทันทีว่าความแตกแล้วจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที
หนิงอวี้กวาดสายตามองนางปราดหนึ่งอย่างเย็นชาแล้วยกเท้าก้าวเดินเข้าไปในหอบรรทมก็เห็นหงหลิงหลับแล้ว ตาตุ่มถูกพันด้วยผ้าแพรบางจนหนา หมอหลวงกำลังถือพู่กันเขียนใบสั่งยา
“หงหลิงเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทูลฮองเฮา” หมอหลวงวางพู่กันลงแล้วคุกเข่ากับพื้น “ฮูหยินมั่วไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก เพียงพักผ่อนสักหน่อยก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงอวี้จ้องไปยังใบหน้ายามหลับของนาง ครั้นแล้วก็ผินกายเดินไปหน้าโต๊ะ หยิบพู่กันขนเพียงพอนขึ้น แล้วดึงกระดาษสีขาวดั่งหิมะแผ่นหนึ่งออกมา
หนิงฮูหยินแห่งสกุลเว่ย ขี้หึง ไม่ฟังคำผู้เป็นสามี นับแต่วันนี้ขอแยกทางกับเว่ยหยวน จากนี้ไปชีวิตการแต่งงาน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป
เขียนจดหมายเสร็จ มือหนิงอวี้สั่นเทาไม่หยุด
“เอาสารนี้ ไปมอบให้กับนายที่แท้จริงของเจ้า”
หนิงอวี้เหวี่ยงจดหมายลงกับพื้น แล้วรีบเดินออกไป
“ฮองเฮา…”
หนิงอวี้ไม่เหลียวกลับแม้แต่น้อย ฮองเฮาหรือ นั่นเป็นผู้ใดกัน โลกนี้ไม่มีหนิงฮองเฮาอีกแล้ว มีเพียงหนิงอวี้เท่านั้น
ยกมือขึ้นยังมุมปากแล้วผิวปากหนึ่งที ม้าเหงื่อโลหิตก็วิ่งทะยานมาหา หนิงอวี้ขึ้นหลังม้าแล้วตะหวัดแส้ วิ่งควบออกไปโดยเร็ว นางได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนเรียกอยู่แว่วๆ ตามหลังมา
ประตูวังสีแดงชาดบานมหึมาปรากฏสู่สายตา บนนั้นตอกฝังด้วยตะปูทองแดงหนึ่งร้อยแปดตัว ประตูวังไม่เปิด หนิงอวี้ได้แต่ดึงรั้งสายบังเ**ยน ม้าร้องเสียงแหลมหนึ่งทีแล้วยั้งฝีเท้า
“ผู้ใดคิดจะออกประตูวัง”
หนิงอวี้ควานหาไปทั่วแล้วล้วงเอาป้ายที่เหน็บบนเอวป้ายหนึ่งขึ้นมา
“กระหม่อมถวายบังคมฮองเฮา”
เสียงจากด้านหลังดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ประตูวังบานยักษ์ค่อยๆ แง้มเปิด หนิงอวี้เหลียวกลับไปมองฝูงชนที่ตามมาปราดหนึ่ง นางหัวเราะเย้ยหยันหนึ่งทีแล้วตวัดแส้บังคับม้า ม้าทะยานขึ้นกลางอากาศ วิ่งออกประตูวังไป
จากนี้เป็นต้นไป คือแผ่นดินท้องอันกว้างใหญ่ หนิงอวี้ยกมือขึ้นป้องตา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแสงแดดจ้ายิ่งนัก คงเพราะแสงแดดที่แยงตา ไม่เช่นนั้นน้ำตานางจะไหลออกมาได้อย่างไร
“ฮองเฮา พระองค์จะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทกำลังเสด็จมา ทรงรอสักครู่เถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮองเฮา!”
หนิงอวี้ได้ยินคลื่นเสียงกระหึ่มมาจากด้านหลัง แล้วฝืนยกมุมปากยิ้ม
“โลกนี้ ไม่มีหนิงฮองเฮาอีกแล้ว”
ม้าร้องเสียงแหลมหนึ่งที ราวกับกำลังขานตอบคำนาง กระโปรงสีแดงเลือดปลิวไปตามลม ดูคล้ายดอกไม้ที่เบ่งบาน ทั้งยังดูเหมือนหางปลาที่กำลังแหวกว่าย
ควบม้าลำพังเรื่อยๆ ไปบนถนน หนิงอวี้ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน และก็ไม่รู้ทางที่จะกลับเช่นกัน หลังจากวนเวียนไปมารอบหนึ่ง นางก็ควบม้ากลับไปยังจวนขุนพลหนิง
จวนขุนพลที่ครึกครื้นจอแจในอดีตบัดนี้ช่างดูหงอยเหงา มันตั้งตระหง่านอยู่กลางแสงอัสดง รอคอยคนผู้หนึ่งที่ไม่มีวันหวนกลับคืน หนิงอวี้รั้งสายบังเ**ยนแน่น น้ำตาเอ่อล้นหางตา
ผู้เฒ่าขาเป๋ผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ข้างประตู เขากำลังจะใส่กุญแจประตูไม้ หนิงอวี้เหยียบเท้าลงบนบังโกลน กระโดดลอยสู่พื้น
“ท่านพ่อบ้าน”
ผู้เฒ่าได้ยินก็นิ่งอึ้ง ยื่นมือขึ้นมาขยี้ตา เมื่อแน่ใจว่าเป็นนางก็รีบคุกเข่าลงถวายคารวะ
“ข้าน้อยถวายบังคมฮองเฮา”
หนิงอวี้ประคองตัวเขาขึ้นแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ต้อง ขาท่านเป็นอะไรหรือ”
“โอ ข้าน้อยแก่แล้วใช้การไม่ได้ กลางคืนลุกขึ้นมาเผอิญหกล้มไปหนึ่งทีพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านส่ายมือ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหนิงอวี้ “ฮองเฮา พระองค์ไยจึงเสด็จกลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงอวี้ขบริมฝีปาก มองไปยังพ่อบ้านผู้แก่ชราเบื้องหน้าก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้ากับเว่ยหยวน แยกทางกันแล้ว”
พ่อบ้านชะงักอึ้ง ครั้นแล้วก็ยื่นมือไปปัดแขนเสื้อแล้วพูดขึ้นเสียงดัง “ข้าน้อยจะไปเข้าเฝ้าพระองค์! แม้ท่านขุนพลจะจากโลกไปแล้ว แต่หากมีใครกล้ารังแกพระองค์ ข้าน้อยจะเป็นคนแรกที่บุกเข้าไปเอาเรื่องมันผู้นั้น!”
“ไม่ต้องหรอก ท่านพ่อบ้าน ช่วยข้าปัดกวาดหน่อยเถิด จากนี้ไป ข้าจะกลับมาอาศัยที่จวนขุนพล”
ตอนที่ 346 เหตุผลข้างๆ คูๆ
หนิงอวี้เอนกายบนเตียงอยู่นานแต่ยังนอนไม่หลับ ครู่ใหญ่ก็ถอนหายใจหนึ่งทีแล้วลุกขึ้นนั่ง ลมพัดผ้าแพรบางไหว หนิงอวี้กอดเข่าทั้งสองน้ำตาไหลออกมา
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น หนิงอวี้ขมวดคิ้ว ครั้นแล้วก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้ากลับไป”
หนิอวี้รีบเอนกายกลับแล้วยื่นมือไปดึงผ้านวมขึ้น
“อวี้เอ๋อร์ อันเอ๋อร์ไม่เจอเจ้านาน ร้องไห้จนเสียงแหบแล้ว เจ้าจะใจแข็งไปถึงไหนกัน”
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงทารกร้องไห้ขึ้นสองที
หนิงอวี้รีบลุกขึ้นนั่งโดยพลัน นางรีบเดินไปยังประตู คิดอยู่ชั่วครู่จึงขมวดคิ้วเปิดประตูห้องออก นอกประตูห้องแสงจันทร์สว่างอ่อนโยน เว่ยหยวนในชุดคลุมสีขาวทั้งตัว อุ้มทารกพันผ้าสีฟ้าในอ้อมกอด
แววตาเขาอ่อนโยน เขาก้มหน้าลงมองอันเอ๋อร์ปราดหนึ่งพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ามีหลายเรื่องอยากจะอธิบาย เจ้าให้เวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่”
หนิงอวี้รับอันเอ๋อร์มาแล้วอุ้มไว้ในอ้อมกอดโยกไปมาเบาๆ แต่น้ำเสียงนางกลับเย็นชาอย่างมาก “เว่ยหยวน ข้ากับท่านไม่มีเรื่องต้องพูดกันแล้ว”
เสียงประตูผลักปิดดัง ปัง หนึ่งที เว่ยหยวนยืนอยู่ข้างประตูพูดขึ้นเสียงดัง “เรื่องนี้ข้าเห็นชอบด้วยจริง แต่นี้เป็นเพราะคำนึงถึงร่างกายของเจ้านะ”
“หมอหลวงบอกว่าเมื่อครั้งที่เจ้าคลอดพิษไอเย็นแทรกเข้ากระดูก ต้องสลายกำลังภายในเพื่อปรับร่างกาย ข้าจึงเห็นด้วย ข้าผิดที่ปิดบังเจ้า”
ตอนที่เห็นจดหมายขอแยกทางฉบับนั้น เขาจะระลึกได้ว่าเรื่องนี้เขารีบร้อนเกินไป เขาอยู่ที่หอบรรทม ใคร่ครวญอยู่นาน รอคอยอยู่นาน รอคิดเหตุผลออกมาได้ รอจนอันเอ๋อร์ร้องไห้จนเสียงแหบ ถึงได้ควบม้ามา
ความคิดจริงๆ นั้น ไม่อาจบอกเป็นอันขาด หากพญาอินทรีรู้ตัวว่าที่พันรัดมันไว้นั้นไม่ใช่เครือไม้อันอ่อนโยน แต่เป็นงูหลามสีดำเมื่อม มันต้องบินหนีแน่
หนิงอวี้พิงประตูนิ่งเงียบไม่พูดจาแล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนั่งกับพื้น หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดหมอหลวงจึงไม่บอกแต่แรก ทำไมตอนนั้นเขาไม่อธิบายออกมา
เหตุผลนี้ดูไม่สมเหตุสมผลยิ่งนัก หนิงอวี้ก้มหน้า น้ำตาร่วงลงบนแก้มอันเอ๋อร์ อันเอ๋อร์เองก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงร้องไห้ออกมาเสียงดัง
——
ยามเช้า หนิงอวี้วางอันเอ๋อร์ลงบนเตียงแล้วห่มด้วยผ้าห่มไหม นางเดินออกประตูไปช้าๆ ก็เห็นเว่ยหยวนยื่นนิ่งอยู่หน้าประตูไม่ขยับแม้แต่น้อย ชุดของเขาแนบติดตัวอย่างหมดสภาพ บนขนตามีน้ำค้างเกาะอยู่บางๆ
หนิงอวี้ไม่สนใจเขา เพียงแต่พูดกับพ่อบ้านที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง “จากนี้ไป ห้ามไม่ให้ใครย่างกรายเข้ามาในจวนขุนพลอีก”
เว่ยหยวนได้ยินก็ยกมุมปากอันชาวซีดขึ้น อ้าปากหมายจะเอ่ยคำก็ได้ยินหนิงอวี้พูดขึ้นช้าๆ ว่า “แน่นอน หญิงชาวบ้านไร้ที่พึ่ง หากฮ่องเต้ทรงหมายจะบุกรุกเข้ามา หนิงอวี้ย่อมมิอาจขัดขวาง”
ยังไม่ทันขาดคำ หนิงอวี้ก็หันกายเดินจากไป นางก้าวเดินช้าๆ ดูเหมือนเดินเล่นตามอำเภอใจ แต่ความจริงนางกลับกำลังคอยระวังสังเกตเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เขายืนอยู่นานแล้ว ร่างกายย่อมทนไม่ได้แน่นอน
แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ นางจะไม่ยอมอยู่ร่วมกับเขาอีก ไม่ว่าอย่างไร วังหลังก็ต้องมีสาวงามกรูกันเข้าไป แล้วนางจะอยู่ในฐานะสักเท่าไรกัน
นางไม่อยากสูญเสียวิทยายุทธและยิ่งไม่อยากสูญเสียเกียรติภูมิ เสียงดังแว่วมา ครั้นแล้วพ่อบ้านก็ตะโกนขึ้นอย่างร้อนรนใจ “ฝ่าบาท พระองค์เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงอวี้หยุดนิ่ง ฝีเท้าเริ่มไม่เป็นจังหวะขึ้นมาทันใด พอดูออกว่านางกำลังพยายามวิ่งหนี
กินอาหารเที่ยงทั้งใจลอย หนิงอวี้เอนกายตากแดดอยู่บนแคร่สนมอย่างเกียจคร้าน แสงแดดอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิสาดกระทบกาย หนิงอวี้หรี่ตาครึ่งหนึ่ง มองไปยังเงาไม้ไม่พูดจาอันใด
“ฮองเฮา…ท่านดูความจำของข้าสิ คุณหนู! หงหลิงกลับมาแล้ว!”
พ่อบ้านเดินเข้ามาด้านหน้า คนที่ตามมาด้านหลังสวมชุดสีเขียวดูสดใสน่ารัก นางคือหงหลิงนั่นเอง
หนิงอวี้ลุกขึ้นยืน ดึงตัวหงหลิงเข้ามาดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ครั้นแล้วก็ก้มหน้าลงดูบาดแผลของนาง แล้วถามขึ้นเสียงเบา “แผลเป็นอย่างไรบ้าง กล้ามเนื้อเส้นเอ็นบาดเจ็บทีนานถึงร้อยวัน เจ้าควรพักผ่อนแต่ที่บ้านมิใช่หรือ”