ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด - ตอนที่ 298 การเรียกพบที่มีเจตนาร้าย
หลิงจื่อเฉิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้ว่าตนเองไม่มีหน้าจะเอ่ยอะไร แต่แค่นึกถึงท่าทางสำนึกผิดของชวีฮุ่ย เขาก็อดไม่ได้ที่จะมาหาหลิงอวี้จื้อ นึกไม่ถึงว่าหลิงอวี้จื้อจะเด็ดขาดเช่นนี้ ปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หลิงจื่อเฉิงค่อนข้างกระอักกระอ่วน ตัดสินใจว่าผ่านไปสักพัก รอหลิงอวี้จื้ออารมณ์เย็นลงแล้วค่อยมาหาเธอ เห็นหลิงอวี้จื้อดูเหนื่อยล้าจึงพูดกำชับประโยคหนึ่งแล้วก็กลับไป
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ขณะหลิงอวี้จื้อกำลังเตรียมนอนกลางวัน อยู่ๆ หรูเยียนก็เข้ามา รายงานว่า
“คุณหนูเจ้าคะ มีคนจากวังมาเจ้าค่ะ บอกว่าไทเฮาเรียกคุณหนูเข้าวังไปพบเจ้าค่ะ”
ได้ยินว่ามู่หรงกวานเย่ว์เรียกเธอเข้าเฝ้า หลิงอวี้จื้อก็ตื่นทันที เซียวเหยี่ยนเพิ่งจะก้าวเท้าออกไป มู่หรงกวานเย่ว์ก็ต้องการพบตน เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร คงไม่ได้จะลงมือทำอะไรหรอกนะ!
ไม่มีเหตุผลเลย มู่หรงกวานเย่ว์เป็นคนเงียบสงบขนาดนี้ ถ้าจะลงมือคงไม่ลงมือโจ่งแจ้งขนาดนี้ ไม่ว่านางจะมีจุดประสงค์อะไร สรุปว่าได้ว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดี ที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือตนเองไม่สามารถปฏิเสธได้นี่แหละ
“รีบหวีผมให้ข้า”
หลิงอวี้จื้อลุกขึ้นไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง คราวนี้ไม่มีความอยากนอนเลยแม้แต่น้อย สมองตื่นตัวจนไม่รู้จะตื่นตัวอย่างไรแล้ว
“มั่วชิง ตอนนี้เจ้ารีบไปที่จวนมู่หรง แจ้งคุณชายมู่หรง ปลอดภัยไว้ดีกว่าเสียใจภายหลัง พวกเราต้องระวังตัวไว้หน่อยถึงจะดี”
“ข้าไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
มั่วชิงรับคำแล้วออกไปทันที
หลิงอวี้จื้อนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ให้หรูเยียนหวีผมให้ รอมั่วชิงกลับมาแล้วค่อยเข้าวัง
เมื่อหวีผมเสร็จแล้ว หลิงอวี้จื้อก็สวมผ้าคลุมกันลมสีชมพูอ่อน มั่วชิงก็กลับมาแล้ว เธอพามั่วชิงนั่งรถม้าเข้าวัง
มั่วชิงถูกกันไว้นอกตำหนัก หลิงอวี้จื้อเข้าไปในตำหนักหลักได้คนเดียวเท่านั้น ข้างนอกลมหนาวพัดกระหน่ำ ตำหนักใหญ่ของวังฉางเล่อกลับอบอุ่น หลิงอวี้จื้อปลดผ้าคลุมกันลมออก ส่งให้สาวใช้ในวังที่ยืนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ
มู่หรงกวานเย่ว์เอนกายอยู่บนบัลลังก์ ในตำหนักจุดธูปไม้จันทน์ จื่ออีคุกเข่ากับพื้นคอยทุบขาให้มู่หรงกวานเย่ว์ นางสวมชุดสุภาพสีม่วง ปักปิ่นที่วิจิตรงดงามบนศีรษะ แต่งตัวสวยงามสูงศักดิ์ ท่าทางทั้งสง่างามและสูงส่ง
หลิงอวี้จื้อทำความเคารพมู่หรงกวานเย่ว์ตามกฎระเบียบ มู่หรงกวานเย่ว์มีน้ำเสียงเหมือนปกติ
“ลุกขึ้นเถิด!”
“ขอบพระทัยไทเฮา”
“คนมา เอาเก้าอี้ให้หลิงซื่อตู๋”
ถึงแม้หลิงอวี้จื้อจะไม่ได้เข้าวังมาเรียนหนังสือเป็นเพื่อนฮ่องเต้ต่อ แต่เซียวเหยี่ยนและเฉินมั่วฉือยังไม่ได้ยกเลิกตำแหน่งราชการของเธอ ดังนั้นเธอยังดำรงตำแหน่งราชการของพระราชสำนักอยู่ ยังสามารถมารับค่าตอบแทนได้ทุกเดือน
หลิงอวี้จื้อนั่งบนเก้าอี้ ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน รอให้มู่หรงกวานเย่ว์เอ่ยปากก่อน เธออยากรู้นัก ว่านางเรียกเธอเข้าวังมา คิดจะพูดอะไรกันแน่
“อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พูดกับเราว่า รอเขากลับเข้ากรุงมาแล้วจะแต่งงานกับเจ้า เราเตรียมการไว้แล้ว กำหนดวันไว้คือวันที่หนึ่งเดือนสอง วันนั้นเป็นวันดี มีเวลาไม่ถึงสองเดือนแล้ว หลิงซื่อตู๋ก็เตรียมตัวให้ดีๆ”
มู่หรงกวานเย่ว์ใช้น้ำเสียงแบบรุ่นพี่บอกรุ่นน้อง ไม่มีความเกลียดหรือไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย
มู่หรงกวานเย่ว์ไม่แสดงออก หลิงอวี้จื้อก็ย่อมไม่แสดงออกด้วย พูดรับปากไปตามกฎว่า
“ไทเฮาเป็นห่วงเสียแล้ว”
“เรากับท่านอ๋องรู้จักกันมานาน เขาจะแต่งงาน เราย่อมต้องเป็นห่วงสักหน่อย
เจ้าเป็นคนฉลาดแถมยังมีไหวพริบ เราเองก็ชอบเจ้ามาก เดิมทีเราอยากเก็บเจ้าไว้ ให้เจ้าได้เป็นลูกสะใภ้ของเรา คิดไม่ถึงว่าโดนท่านอ๋องแย่งไปเสียก่อน พวกเจ้าทั้งสองรักใคร่ชอบพอกัน เราย่อมต้องช่วยให้สมปรารถนา”
ตอนที่มู่หรงกวานเย่ว์พูดเรื่องเหล่านี้ ใบหน้านางยังเจือไปด้วยรอยยิ้ม หลิงอวี้จื้อเห็นมู่หรงกวานเย่ว์ยิ้ม ในใจหลิงอวี้จื้อพลันรู้สึกกลัว จิตวิทยาของมู่หรงกวานเย่ว์นั้นแข็งแกร่งไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ มองไม่เห็นพิรุธใดๆ สักจุดเดียว เทคนิคการแสดงนี้ไม่แพ้เธอเลย