ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด - ตอนที่ 666 บีบบังคับ / ตอนที่ 667 เสียสติไปแล้ว
ตอนที่ 666 บีบบังคับ
ไม่ได้ นางจะต้องพาหลิงอวี้จื้อไป จะยอมให้ร่างของเจียงอวี้ยืนเคียงข้างเซียวเหยี่ยนไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ต้องทำให้เจียงอวี้หลับใหลไปตลอดกาลก็ตาม ก็ยังดีเสียกว่าที่จะให้นางต้องกลายเป็นหลิงอวี้จื้อ
เมื่อคิดได้ดังนั้นเจียงสือจึงตระเตรียมที่จะลงมือ
ทว่าเซียวเหยี่ยนออกมาคราวนี้ได้พาองค์รักษ์ลับติดตามมาด้วย ซึ่งพวกเขาซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยม และเมื่อได้รับสัญญาณลับจากองค์รักษ์ข้างกายเซียวเหยี่ยนพวกเขาก็รีบเร่งเดินทางมาถึงยังโรงเตี๊ยมและเข้าล้อมกรอบเจียงสือไว้ทันที
เจียงสือชักกระบี่ออกจากฝัก ซึ่งแม้ว่าวรยุทธ์ของนางจะถือว่าใช้ได้ แต่บัดนี้นางลำพังตัวนางเพียงคนเดียว ไม่ใช่ประมุขแห่งสำนักอู๋จี๋ผู้ทรงอำนาจเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งก่อนหน้าที่จะเดินทางมาถึง เจียงสือเผชิญหน้ากับมือสังหารในป่าจนได้รับบาดเจ็บ คราวนี้นางต้องเผชิญหน้ากับองค์รักษ์ฝีมือร้ายกาจถึงเจ็ดแปดคนรวมกับเซียวเหยี่ยนอีก หากดึงดันสู้ต่อไปนางจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นแม้ว่าเจียงสือจะชักกระบี่ออกมาแล้วก็ตามทีแต่นางลับมิได้ลงมือในทันที เพียงแต่จ้องมองเซียวเหยี่ยนและหลิงอวี้จื้อด้วยสายตาเย็นชา ปากก็เอ่ยกล่าวว่า
“มั่วชิงอยู่ในมือของข้า หากว่าข้ามีอันเป็นไปละก็ ข้าก็จะให้นางตายไปพร้อมกับข้าด้วย”
เมื่อได้ยินว่ามั่วชิงถูกเจียงสือจับตัวไป เซียวเหยี่ยนก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้มยิ่งกว่าเดิม จึงเห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดที่จะปล่อยเจียงสือไปอย่างแน่นอน
ส่วนหลิงอวี้จื้อนั้นเริ่มอารมณ์คุกครุ่น นางก้าวออกมายืนเคียงข้างเซียวเหยี่ยนหลังจากที่เขาก้าวเข้ามาขวางหน้าปกป้องนางเอาไว้
“เพราะอะไรท่านถึงไม่ยอมปล่อยมั่วชิงไป”
“พี่…เจียงสือ ในเมื่อท่านรักเอ็นดูเจียงอวี้ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ชัดเจนว่าท่านให้ความสำคัญกับคนใกล้ชิดยิ่งนัก มั่วชิงมิได้ทรยศท่าน ปีนั้นท่านจับมั่วชิงที่ยังเยาว์วัยไปยังสำนักอู๋จี๋ นางจึงเพียงแค่อยากกลับบ้านเท่านั้นเอง”
“ปีนั้นมั่วชิงแอบหลบหนีกลับบ้านเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ท่านกลับสังหารครอบครัวของมั่วชิงทั้งหมดต่อหน้าต่อตานาง ทั้งยังทรมานมั่วชิงอีก”
“นางรอดชีวิตมาได้นับว่าเป็นโชคดีเท่าไหร่แล้ว มั่วชิงกระทำการทรยศหักท่านที่ไหนกัน ตั้งแต่ต้นจนจบท่านต่างหากที่ถึงเป็นอาจารย์กลับกระทำเรื่องที่ผิดต่อนาง”
“เมื่อเข้าสู่สำนักอู๋จี๋แล้วก็เท่ากับเป็นคนของสำนัก แล้วจะมีญาติมิตรที่ไหนได้อีก”
“เช่นนั้นท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่ากรรมที่ท่านก่อขึ้นทั้งหมดจะมาสนองที่เจียงอวี้?”
“เจียงอวี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แต่ท่านกลับทำเรื่องเลวทรามทุกอย่าง ไม่มีใครทำอะไรท่านได้ แต่เจียงอวี้มิใช่เช่นนั้น กงกรรมกงเกวียน กรรมชั่วที่ท่านกระทำ ทำให้ผู้คนที่ต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานเหล่านั้นเจ็บแค้นเจียงอวี้ที่แสนบริสุทธิ์ กล่าวให้ถูกต้องก็คือ ท่านต่างหากที่ทำให้เจียงอวี้ต้องเดือดร้อน เพราะมีพี่สาวเช่นท่าน เจียงอวี้ถึงต้องตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา”
คำพูดของหลิงอวี้จื้อทำให้เจียงสือถึงกับหน้าถอดสี ซึ่งสิ่งที่หลิงอวี้จื้อกล่าวมาทั้งหมด นางเองก็ยอมรับ
การที่เจียงอวี้ต้องเผชิญกับอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่าต้นเหตุมาจากนางทั้งสิ้น เพียงแต่ตัวนางเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปว่าจะสามารถปกป้องเจียงอวี้ได้ แต่ในท้ายที่สุดนางก็ไม่สามารถปกป้องเจียงอวี้เอาไว้ได้ แม้จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง สวรรค์ก็ยังคงพรากญาติสนิทเพียงคนเดียวของนางไปอยู่ดี
‘หรือนี่ที่เขาเรียกว่ากรรมตามสนองใช่หรือไม่?’
เพียงแต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้สิ่งที่ทำให้เจียงอวี้เจ็บแค้นยิ่งนักนั่นก็คือ ผู้ที่ออกมาชี้มูลความผิดของนางซึ่งหน้านั่นก็คือ หลิงอวี้จื้อ
เจียงสือจึงหันไปตวาดหลิงอวี้จื้อ
“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นะ หากว่าข้าตาย มั่วชิงก็ต้องตายเช่นกัน”
“ท่านปล่อยมั่วชิงไป พวกเราก็จะปล่อยท่าน แต่พวกเราจะต้องเห็นคนเสียก่อน มิเช่นนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเล่นตุกติกหรือเปล่ากันแน่”
หลิงอวี้จื้อเลือกที่จะช่วยชีวิตมั่วชิง
เมื่อเซียวเหยี่ยนไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเท่ากับว่ายอมรับการตัดสินใจของหลิงอวี้จื้อ
เซียวเหยี่ยนหันไปพยักหน้าให้กับองค์รักษ์ของตน พวกเขาเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจคำสั่งของเซียวเหยี่ยนทันที จึงพากันพุ่งตัวเข้าไปในห้องของเจียงสือทันที ซึ่งก็คือห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมนั่นเอง
เจียงสือสบถเยาะเย้ย
“มั่วชิงมิได้อยู่ในโรงเตี๊ยม ข้าจะเก็บนางเอาไว้ในโรงเตี๊ยมได้อย่างไรกัน”
“พาข้าไปพบมั่วชิง”
“ข้ากรอกยาพิษให้กับมั่วชิง หากว่าข้ามิได้หนีออกไปอย่างปลอดภัย ต่อให้พวกเจ้าได้พบนางก็ตาม มั่วชิงก็ยังต้องตายอยู่ดี”
“เจ้ากระทำเช่นนี้กับมั่วชิง เจ้าเป็นศิษย์อาจารย์แบบไหนกัน”
นึกถึงสิ่งที่เจียงสือกระทำต่อมั่วชิง ก็ทำให้หลิงอวี้จื้อโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก ก่อนหน้านี้หลิงอวี้จื้อได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากเจียงสือทำให้นางอาจจะใจอ่อนไปบ้าง ทว่าบัดนี้เมื่อเห็นเจียงสือดึงดันจะฆ่ามั่วชิงให้จงได้ ความใจอ่อนเพียงน้อยนิดนั้นก็พลันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่ 667 เสียสติไปแล้ว
หากเป็นในเวลาปกติเจียงสือคงจะโต้กลับโดยไม่เกรงใจไปแล้ว เพียงแต่ว่าบัดนี้หลิงอวี้จื้ออยู่ในร่างของเจียงอวี้ เจียงสือจึงจำเป็นต้องกลืนคำพูดทั้งหมดที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอลงไป ในตอนนี้นางเอาแต่เงียบเชียบไม่พูดจา
องค์รักษ์ลับพาตัวเจียงสือเดินนำทางไป โดยมีเซียวเหยี่ยนและหลิงอวี้จื้อเดินตามอยู่ด้านหลัง เจียงสือไม่ได้เก็บมั่วชิงเอาไว้ในเมืองจริงๆ แต่กลับกักขังนางเอาไว้ที่หมู่บ้านนอกเมืองแทน
หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก มีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย เจียงสือกักขังมั่วชิงเอาไว้ในบ้านร้างแห่งหนึ่ง และเนื่องจากบ้านถูกทิ้งร้างมานาน ขาดการซ่อมแซมบำรุงรักษา จึงผุพังมีรอยรั่วมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยังดีที่สองสามวันมานี้ไม่มีฝนตก ทว่าด้านในก็เต็มไปด้วยฝุ่นผงและหยากไย่ใยแมงมุมจำนวนมาก
องค์รักษ์ลับเปิดประตูที่ทำจากดอกหญ้าเข้าไป บริเวณพื้นด้านในเต็มไปด้วยกองฟาง และมั่วชิงนอนอยู่บนกองฟาง แต่แม้ว่ามือและเท้าของนางจะเป็นอิสระ แต่สีหน้าของนางกลับซีดเซียวราวกับไร้สิ้นเรี่ยวแรง
เมื่อเห็นสภาพของมั่วชิง หลิงอวี้จื้อก็ถลาเข้าไปสอบถามนางด้วยความห่วงใย
“มั่วชิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
มั่วชิงพยายามฝืนลืมตาขึ้น หลังจากที่อาศัยแสงจันทร์เพ่งมองจนเห็นว่าบุคคลตรงหน้าเป็นใครแล้ว มั่วชิงก็มีสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“พระชายา ท่านมาได้อย่างไรเพคะ?”
“เจ้าทำอะไรกับนางกันแน่?”
หลิงอวี้จื้อหันกลับมา ถลึงตาพร้อมกับตะเบ็งด้วยความโกรธแค้น
เมื่อเห็นหลิงอวี้จื้อถลึงตามองตนเองเช่นนี้ เจียงสือก็แทบตั้งรับไม่ทัน ภาพของเจียงอวี้ที่เคยกอดแขนออดอ้อนตนเองหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเจียงสือทันที นางไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
การที่นางนำมั่วชิงมาไว้ที่นี่ เจตนาเดิมก็คิดจะให้มั่วชิงอดตายไปเอง
เพราะก่อนหน้านี้เจียงอวี้เคยขอร้องนางเอาไว้ไม่ให้ฆ่ามั่วชิง ซึ่งนางเองก็รับปาก เจียงสือจึงไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับหลิงอวี้จื้อ ที่นางทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้หลิงอวี้จื้อต้องเสียใจ นึกไม่ถึงเลยว่าระหว่างทางที่ออกตามหาหลิงอวี้จื้อจะได้รู้ความจริงนี้เข้า
“ข้านำกู่พิษให้นางกิน”
เจียงสือเอ่ยหน้าตาย
“พระชายา ไม่ต้องสนใจข้าน้อย แต่เดิมข้าน้อยยังเป็นห่วงพระชายา แต่เมื่อพระชายาได้พบกับท่านอ๋องแล้ว ข้าน้อยก็วางใจ”
ท่าทางของมั่วชิงดูคล้ายกับกำลังเจ็บปวดทรมานอย่างหนัก แม้ว่านางจะพยายามอดทนอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ปกปิดสีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ได้
หลิงอวี้จื้อนั่งยองลงตรงหน้ามั่วชิง ซึ่งเมื่อได้อยู่ใกล้มั่วชิงในระยะประชิดเช่นนี้ พลันหลิงอวี้จื้อจึงได้เห็นว่าใต้ผิวหนังของมั่วชิง ดูราวกับมีตัวอะไรบางกำลังชอนไชไปมาอย่างรวดเร็ว สิ่งนั้นมีลักษณะยาวๆ รูปร่างคล้ายหนอน
หลิงอวี้จื้อตกตะลึง
‘หรือว่านี่คือกู่พิษที่เจียงสือนำให้นางกิน? แม้เจ้า นางต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ถึงกับกรอกหนอนพิษเช่นนี้ให้คนกินได้ มิน่าเล่ามั่วชิงถึงได้ดูทรมานถึงเพียงนี้’
พาลทำให้หลิงอวี้จื้อนึกถึงนักรบไร้ชีพและมนุษย์หมาป่าของสำนักอู่จี๋ขึ้นมา
หลิงอวี้จื้อจึงหันไปตวาดถามเอากับเจียงสือ
“ยาถอนพิษละ? เจ้ารีบนำยาถอนพิษออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
“นี่คือกู่กินคน กินเนื้อและเลือดของคนเป็นอาหาร หลังจากที่ได้กินเลือดและเนื้อของคนแล้วมันก็จะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายคนๆ นั้นก็จะเหลือเพียงซากกระดูก กู่ชนิดนี้ไม่มียาถอนพิษ”
เจียงสือมิได้รู้สึกสงสารมั่วชิงแม้แต่น้อย จึงไม่สนใจสักนิดว่ามั่วชิงจะเป็นหรือตาย
เมื่อได้ยินในสิ่งที่เจียงสือกล่าวมา เซียวเหยี่ยนก็ถลาเข้าไปบีบคอเจียงสือทันที
“อย่าทดสอบความอดทนของข้า รีบถอนพิษให้มั่วชิงเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”
“หากว่าท่านอ๋องอยากให้มั่วชิงต้องตาย ก็เชิญลงมือได้เลย”
เจียงสือรู้ดีว่าเซียวเหยี่ยนจะไม่ฆ่าตนเองเป็นแน่ ดังนั้นจึงไม่กลัวเกรง น้ำเสียงที่นางกล่าวออกมาจึงทั้งเย็นชาและเย่อหยิ่ง
“ท่านอ๋อง พระชายา ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องพวกท่าน นางพูดถูก กู่กินคนไม่มียาถอนพิษ ข้าน้อยไม่รอดแน่แล้ว พวกท่านอย่ามาเสียเวลากับข้าน้อยอีกเลย ข้าน้อยเพียงแต่อยากจะขอร้องพวกท่านให้ข้าน้อย ได้เป็นผู้ฆ่าเจียงสือด้วยมือของข้าน้อยเองด้วยเถิด เช่นนี้ข้าน้อยจะได้ตายอย่างหมดห่วง”
“มั่วชิง อย่าพูดจาเหลวไหล เป็นตายอะไรกัน เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ได้หรือเปล่า”
หลิงอวี้จื้อตบบ่ามั่วชิงเบาๆ นางชันกายลุกยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเจียงสือ
“ไม่ต้องพูดมาก บอกมาเลยดีกว่าว่าทำอย่างไรถึงจะช่วยชีวิตมั่วชิงได้”