ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด - ตอนที่ 744 องค์หญิงเติบใหญ่แล้ว / ตอนที่ 745 ใฝ่หาอิสระ
ตอนที่ 744 องค์หญิงเติบใหญ่แล้ว
ปีที่สิบเก้าเดือนหก รัชศกเทียนหยวน
ย่างเข้าสู่คิมหันต์ อากาศเริ่มร้อนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เมืองหลวงก็เช่นกัน
เซียวหนิงสวมชุดสีเหลืองไข่นั่งดีดพิณอยู่ในห้อง เสียงพิณอันไพเราะลอยละล่องออกไปด้านนอก ชุนฉิน นางกำนัลคนสนิทของเซียวหนิงคอยนั่งเฝ้าอยู่ด้านข้าง เมื่อเซียวหนิงหยุดมือลงกะทันหัน ชุนฉินจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจว่า “เหตุใดองค์หญิงจึงหยุดมือเล่าเพคะ”
“เบื่อเหลือเกิน ชุนฉิน เจ้าว่านอกวังจะเป็นเช่นไรหรือ ทุกวันเอาแต่ดีดพิณวาดภาพอยู่ในวัง น่าเบื่อเหลือเกิน” เซียวหนิงนั่งพิงหลังบนเก้าอี้ เอ่ยด้วยท่าทีเบื่อหน่ายสุดกำลัง
“องค์หญิงทรงออกนอกวังไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือเพคะ”
“นั่นเรียกออกนอกวังที่ใดกัน แค่ออกไปเดินเล่นตามท้องถนนนอกวังเท่านั้น ที่ข้าบอกว่าออกนอกวังคือออกนอกเมืองหลวงต่างหาก เสด็จแม่เคยตรัสว่าด้านนอกนั้นมีวิวทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งมิใช่หรือ โลกออกจะกว้างใหญ่ แต่ข้ากลับต้องถูกขังอยู่ในวังเล็กแคบนี้ คิดดูแล้วช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจริง”
ชุนฉินกลัวเหลือเกินว่าสักวันองค์หญิงของนางจะปีนกำแพงออกไปนอกวังด้วยพระองค์เอง องค์หญิงเป็นคนมีความกล้ามาแต่ไหนแต่ไร และไม่ยอมถูกกฎธรรมเนียมบีบบังคับ ทั้งฝ่าบาทเองก็ไม่ได้เข้มงวดกับองค์หญิงมากมายนัก ยิ่งทำให้องค์หญิงของพวกนางแปลกแตกต่างไม่เหมือนสตรีสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อมอย่างคุณหนูทั่วไปเลยสักนิด
“องค์หญิง พระองค์เป็นพระธิดาองค์โต อีกไม่นานก็จะมีการเลือกราชบุตรเขยแล้ว ถึงตอนนั้นพระองค์จะได้ย้ายไปที่จวนองค์หญิง ต่อไปจะเข้าจะออกก็สามารถทำได้ตามแต่พระทัยเพคะ”
“แล้วอย่างไรเล่า ก็ยังถูกขังอยู่ในเมืองหลวงเช่นเดิม” เห็นชัดว่าเซียวหนิงไม่พอใจชีวิตเช่นนี้ “ชีวิตเช่นนี้ช่างน่าเบื่อนัก ข้าไม่ชอบคุณชายในเมืองหลวงสักคน ชุนฉิน ต่อไปอย่าพูดเรื่องราชบุตรเขยกับข้าอีก หากไม่มีคนที่ข้าพึงใจ ข้ายอมไม่ออกเรือนเสียดีกว่า”
“ไม่มีเหตุผลใดที่สตรีจะไม่ออกเรือนนะเพคะ”
ชุนฉินอายุมากกว่าสักหน่อย จึงรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้มิได้อยู่บ้าง
“ไม่ใช่ไม่ออกเรือน แต่จะแต่งให้กับคนที่ตนเองพึงใจเท่านั้น เสด็จแม่ตรัสไว้แล้วว่าคนทั้งสองมีจิตใจตรงกันจึงจะอยู่อย่างมีความสุข ตอนนี้ข้ายังไม่พบคนผู้นั้นก็ไม่ต้องรีบร้อนออกเรือน ชุนฉิน เจ้าไปตำหนักเจาหยางกับข้าที ข้าจะไปพูดคุยกับเสด็จแม่ ในวังนี้มีเพียงท่านแม่ที่พูดคุยด้วยแล้วสนุกที่สุด อาอวี่ช่างเหมือนเสด็จพ่อนัก สนใจแต่งานราชการ อาเหิงกับอาอู่ก็ยังเล็ก เป็นพี่ใหญ่ช่างน่าเศร้าจริงๆ หากท่านแม่มีน้องสาวให้ข้าบ้างคงจะดี แต่กลับเป็นน้องชายทั้งสิ้น”
เซียวหนิงเอ่ยบ่น นางเป็นพระธิดาองค์โตของฮ่องเต้และฮองเฮา และเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียว ยามนี้ฮองเฮาทรงมีพระธิดาหนึ่งพระโอรสสามพระองค์แล้ว เพราะเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียว ความโปรดปรานที่จะได้รับแค่คิดก็คงทราบแล้ว ทั้งยังงดงาม อ้อนแอ้นอรชร คุณชายที่อยากจะแต่งองค์หญิงนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน
ชุนฉินคุ้นเคยกับวิธีการพูดเช่นนี้ของเซียวหนิงแล้ว นางจึงไปตำหนักเจาหยางกับเซียวหนิง แต่นางกำนัลกลับบอกว่าฮองเฮาไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง
เซียวหนิงตามหลิงอวี้จื้อไปที่อุทยานหลวงทันที แต่กลับมองเห็นมาแต่ไกลว่าหลิงอวี้จื้อกำลังคล้องแขนเดินเล่นอยู่กับเซียวเหยี่ยน หลิงอวี้จื้อกำลังพูดคุยกับเซียวเหยี่ยนด้วยท่าทีตื่นเต้นดีใจ เซียวเหยี่ยนก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าพกพารอยยิ้ม หลิงอวี้จื้อจึงหัวเราะออกมาแผ่วเบา
แม้เธอจะเป็นมารดาที่มีบุตรถึงสี่คนแล้ว แต่ยามอยู่ต่อหน้าเซียวเหยี่ยนกลับยังคงเป็นเช่นสาวน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น เซียวหนิงรู้ว่านั่นคือท่าทางของคนที่มีความสุข
นางจึงไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะ แค่ยืนมองอยู่ไกลๆ ก็รู้สึกมีความสุขแล้ว และได้แต่หวังว่าต่อไปตนเองจะได้พบกับสามีเช่นนี้บ้าง
ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ หลิงอวี้จื้อก็เรียกเซียวหนิงไว้ “หนิงเอ๋อร์ ในเมื่อมาแล้วก็มานี่เถิด”
เซียวหนิงรีบเดินเข้าไปส่งยิ้มเจิดจ้าให้ “ลูกแค่กลัวว่าจะเข้ามาขัดจังหวะเสด็จพ่อกับเสด็จแม่อย่างไรเพคะ พวกท่านสนทนาอันใดกันหรือถึงได้ดูสนุกเพียงนั้น เล่าให้ลูกฟังบ้างได้หรือไม่”
“เราคุยอันใดกันก็สนุกทั้งสิ้น”
เซียวเหยี่ยนมองหลิงอวี้จื้อแล้วเอ่ยขึ้นด้วยแววตากรุ้มกริ่ม
ตอนที่ 745 ใฝ่หาอิสระ
หลิงอวี้จื้อถลึงตาใส่เซียวเหยี่ยน “ใครว่ากันเล่า เมื่อวานท่านยังโมโหให้ข้าอยู่แท้ๆ ห้ามพูดปดต่อหน้าลูก”
“ลูกไม่ยอมเป็นพยานให้พวกท่านหรอก ถึงตอนนั้นก็จะมาโทษข้าอีก”
หลิงอวี้จื้อยิ้มพลางพูดว่า “เจ้านี่ช่างฉลาดนัก”
เซียวเหยี่ยนหันไปมองหลิงอวี้จื้อด้วยความอ่อนโยน “ค่ำนี้ข้าจะมากินข้าวกับเจ้า แต่ตอนนี้มีราชกิจต้องไปสะสางก่อน ให้หนิงเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้วกันนะ” พูดจบเซียวเหยี่ยนก็จากไปทันที
หลังจากเซียวเหยี่ยนไปแล้ว เซียวหนิงก็เข้ามาเดินคล้องแขนหลิงอวี้จื้อเพื่อเดินเล่นเป็นเพื่อนเธอต่อไป “เสด็จแม่ เสด็จพ่อชอบท่านถึงเพียงนี้ ท่านทำอย่างไรถึงมัดใจเสด็จพ่อได้หรือ”
“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“แต่เสด็จพ่อเป็นฮ่องเต้ แต่แม้จะไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ก่อนหน้านี้ก็เป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ท่านไม่ได้ใช้กลวิธีใดเลย แล้วเหตุใดเสด็จพ่อถึงได้รักท่านถึงเพียงนี้เล่า”
หลิงอวี้จื้อยื่นมือไปดีดหน้าผากเซียวหนิงคราหนึ่ง แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “หนิงเอ๋อร์ เราสามารถพยายามที่จะช่วงชิงความรักได้ แต่การที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้นานหรือไม่นั้นการแย่งชิงไม่จำเป็นเลย แต่ต้องดูว่าเขารับในตัวตนของเจ้าได้หรือไม่ เจ้าไม่ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่ต้องไปเอาอกเอาใจเขาทุกสิ่ง แค่เป็นตัวของตัวเอง แต่คนคนนั้นก็ยังคงชอบเจ้าอยู่ นั่นแหละถึงจะอยู่กันได้ยาวนาน ไม่ต้องมีวิธีใดๆ แค่ใจข้ามีเจ้า ใจเจ้ามีข้า ต่างฝ่ายต่างรักและให้อภัยกัน”
เซียวเหนิงพยักหน้าคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ หลิงอวี้จื้อก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ต่อไปนางจะเข้าใจเอง ตอนนี้พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์
“เจ้าแค่จำไว้ว่าหากเจ้าอยู่กับคนคนนั้นแล้วสบายใจ ไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด เขาไม่เรียกร้องให้เจ้าต้องเปลี่ยนอะไร คนคนนั้นควรค่าที่เจ้าจะแต่งด้วยแล้ว เมื่อเจ้าพบคนที่พึงใจคนนั้นแล้วให้บอกแม่ แม่จะจัดการให้เอง”
เซียวหนิงทำหน้าขมขื่น “ลูกไม่ชอบคนในเมืองหลวงสักคน”
“ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถิด มีแม่อยู่ ไม่มีใครกล้าบังคับเจ้าให้แต่งงานหรอก”
เซียวหนิงกอดแขนหลิงอวี้จื้อไว้ “เสด็จแม่ดีที่สุดเลย ขอบพระทัยเสด็จแม่”
“เด็กโง่”
“เสด็จแม่ ลูกอยากจะขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง ลูกได้ยินว่าอาอวี่จะไปสืบข่าวที่เฉาโจว ให้ลูกไปด้วยได้หรือไม่ ลูกอยู่ในวัง เบื่อเหลือเกิน ได้ยินว่าเฉาโจวเป็นสถานที่งดงาม น้ำใสภูเขาเขียว ลูกอยากไปเห็นสักครั้ง อย่างไรเสียอาอวี่ก็ไมม่ได้ไปทำงานที่อันตรายอันใด ลูกจะไม่ทำให้น้องยุ่งยากเลย จะแต่งกายเป็นบ่าวรับใช้ตามติดเขา เสด็จแม่ ท่านรับปากลูกนะเพคะ”
เซียวหนิงพูดจบก็แกว่งแขนหลิงอวี้จื้อไปมาอย่างออดอ้อน
“ไม่ได้”
สิ่งแรกที่หลิงอวี้จื้อนึกได้คือการปฏิเสธ ยุคสมัยนี้กับยุคสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกัน หญิงสาวแรกรุ่นออกจากเรือนมีอันตรายอันยากจะหยั่งได้ เธอไม่วางใจให้เซียวหนิงออกไปนอกวังจริงๆ
“เสด็จแม่ ได้โปรดเถิด ผู้ใดให้ท่านเล่าเรื่องนอกวังให้ลูกฟังตั้งมากมายเช่นนั้น ท่านเล่าให้ฟังแต่ไม่ยอมให้ลูกไป มิใช่เป็นการทรมานลูกหรอกหรือ”
“เด็กคนนี้ช่างความจำดีนัก ทั้งจะคิดแต่จะออกไปข้างนอก”
“ลูกไม่ชอบถูกกักขัง ลูกอยากเห็นว่าข้างนอกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เสด็จแม่ ได้โปรดเถิด ได้โปรดเถิดเพคะ”
เซียวหนิงทั้งออดอ้อนทั้งขอร้องหลิงอวี้จื้อไม่หยุด
หากเป็นคนอื่นย่อมต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน นี่เป็นคำขอร้องอันเหลวไหลที่สุด แต่หลิงอวี้จื้อเป็นคนยุคปัจจุบัน ความคิดย่อมไม่เหมือนคนยุคนี้อยู่แล้ว
เมื่อคิดว่าเซียวหนิงไม่เคยออกนอกเมืองหลวงเลย เซียวอวี่เองก็สุขุมหนักแน่น มีเขาอยู่ เซียวหนิงคงไม่ทำเรื่องเหลวไหลแน่ ให้นางออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดีเหมือนกัน
เซียวหนิงเป็นเด็กที่รักอิสระมาแต่ไหนแต่ไหน เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว หลิงอวี้จื้อก็นึกถึงสหายเก่าที่อยู่เฉาโจวขึ้นมาได้ เธอจึงตกปากรับคำว่า “ได้ แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ เมื่อไปเฉาโจว เจ้าต้องเชื่อฟังอาอวี่ ไม่ทำตัวเหลวไหล ไม่ออกไปเตร็ดเตร่ตามใจชอบ”