เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 1089 เจ้ามาที่นี่ทำไม / ตอนที่ 1090 รำลึกความหลัง
ตอนที่ 1089 เจ้ามาที่นี่ทำไม
วันนี้การตกแต่งหอหร่วนเซียงได้บรรยากาศมาก เมื่อซูหลีเดินเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้
ทั้งหอเปลี่ยนผ้าม่านเป็นสีชมพูโปร่งบาง อากาศภายในอบอุ่นแตกต่างกับอากาศหนาวเหน็บภายนอกอย่างกับคนละโลก
ซูหลีเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเดินเข้าไปภายในห้องโถงใหญ่
“ข้าจะบอกเจ้าให้ แม่นางยอดดอกเหมยคนใหม่ในวันนี้ รูปโฉมช่าง…” หวงฮ่าวกำลังคุยกับคนอื่นอย่างไม่สะทกสะท้าน จู่ๆ ก็ถูกคนดึงมืออย่างกะทันหัน เขาขมวดคิ้วเตรียมจะหันไปด่าทอ ทันทีที่สายตาเเลเห็นซูหลียืนอยู่ภายในห้องโถง
คำพูดทั้งหมดของเขาถูกสกัดกลับเข้าไป!
“ซูหลี!?” เจียงหยางที่อยู่ด้านข้างหันกลับมา ครั้นเห็นซูหลีทั้งร่างของเขาพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด!
ไยซูหลีถึงปรากฏตัวที่นี่ได้กัน!?
ช้าก่อน!?
เจียงหยางมีสติขึ้นมาทันใดจึงหันกลับไปมองหวงฮ่าว เป็นดังที่คิดไว้จริงๆ หวงฮ่าวที่เดิมใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกลับหมองหม่นไปในชั่วพริบตา
เจียงหยางอดที่จะทอดถอนใจมิได้
ตั้งแต่ที่คราวที่แล้วสร้างเรื่องปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม หวงฮ่าวก็เปลี่ยนไปพิลึกพิลั่นขึ้นเรื่อยๆ
ใต้เท้าหวงหาคู่หมั้นให้แก่เขา เขาแสดงท่าทีไม่ยินยอมอย่างชัดเจน ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสุดท้ายเขาก็ยินยอม
ยินยอมแล้วก็ช่างเถอะ แต่คล้ายกับเขาเปลี่ยนไปจนกลายเป็นอีกคน
นับวันยิ่งไม่มีวินัยขึ้นเรื่อยๆ
เดิมกลุ่มของพวกเขานั้นก็มิใช่คนดีอะไร ทว่าอย่างไรเจ้าสำราญกับกระทำการอย่างกำเริบเสิบสานมีความแตกต่างกันมาก
โดยเฉพาะท่าทางของหวงฮ่าวในเวลานี้ ช่างทำให้คนอื่นเป็นกังวลใจ!
เขามักทำตัวเหมือนคนไม่มีอะไรทำมิปาน เขาไม่ฟังคำพูดที่คนอื่นแนะนำ ทำให้เจียงหยางรู้สึกเป็นห่วงมาก
อย่างไรเจียงหยางก็รู้สึกว่าซูหลีมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหวงฮ่าว เพียงเขาเอ่ยถึงซูหลี หวงฮ่าวจะเบนออกประเด็นอื่นตลอด เขาก็มิได้ถามอะไรออกมาเช่นกัน
บัดนี้เมื่อพบกับซูหลี สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปโดยปริยาย เจียงหยางยิ่งมั่นใจในความคิดของตนเองยิ่งกว่าเดิม
“คุณหนู” ซูหลีถอดเสื้อกันลมตัวนอกออกและส่งให้ไป๋ฉินที่แต่งตัวเป็นเด็กรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง
ด้านในสวมด้วยเสื้ออ๋าว[1]ที่ตกแต่งด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีน้ำเงินอ่อน สิ่งที่ทำให้เสื้ออ๋าวนี้มิเหมือนใครก็คือ ชายเสื้อค่อยๆ ไล่สีเปลี่ยนเป็นสีแดง ซึ่งรับกับกระโปรงสิบสองจีบสีแดงที่ปักด้วยดิ้นทอง
ร่างอรชรอ้อนแอ้น งดงามดุจภาพวาด
ใบหน้างามสะคราญประหนึ่งคนในภาพวาดก็มิปาน บนศีรษะประดับด้วยปิ่นทองรูปนกสี่เชวี่ย[2]เกาะกิ่งต้นเหมย ซึ่งบนปิ่นปักผมนั้นร้อยเรียงด้วยไข่มุกตะวันออกเม็ดเล็กและเม็ดใหญ่ห้อยระย้าลงมาข้างขมับ
จุดเด่นแต่ละส่วนเสริมซึ่งกันและกันจนทำให้ทั้งร่างของนางงามเพริศพริ้งยิ่งขึ้น
“นางเป็นใครกัน แม่นางยอดดอกเหมยคนใหม่หรือ”
“เฮ้ย นางคนนี้เจ้าไม่รู้จักหรือ นางก็คือใต้เท้าซูที่มีชื่อเลื่องลือไปทั้งเมืองหลวง”
“คือนางหรือ!?”
เสียงตกใจฮือฮาดังขึ้นระลอกหนึ่ง คนจำนวนมากที่เคยได้ยินชื่อเสียงของซูหลี ล้วนไม่เคยคิดว่านางจะมีรูปโฉมสะคราญล่มเมืองเช่นนี้
“ซูหลี เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน” ท่ามกลางเสียงอุทานอย่างตกตะลึงพลันมีเสียงพูดที่ไม่เป็นมิตรดังแทรกขึ้นมา
ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย พลันหันศีรษะกลับมาดูก็พบกับฉินม่อโจวที่สวมชุดอาภรณ์สีดำขลิบทอง บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎ เขาเดินเข้ามาอย่างอันธพาล
ซูหลีเลิกคิ้วและหัวเราะขึ้นทันใด “ไหวอ๋องก็เสด็จมาหรือ ภายในเมืองหลวงที่ไหนมีโฉมสะคราญย่อมมีท่านอ๋องอยู่โดยแท้!”
ฉินม่อโจวได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาจึงเคร่งขรึม
“อย่าเพิ่งพูดถึงเปิ่นหวัง เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน”
——
[1] เสื้ออ๋าว หมายถึง เสื้อที่ตัดเย็บแบบมีสองชั้นสำหรับสวมกันหนาว มีทั้งแบบยัดฝ้ายไว้ตรงกลาง ระหว่างเนื้อผ้าสองชั้น เพื่อให้สามารถเก็บความอุ่นป้องกันความหนาวเย็น
[2] นกสี่เชวี่ย หมายถึง นกกางเขน เป็นนกที่มีความหมายเป็นมงคลในประเทศจีน
ตอนที่ 1090 รำลึกความหลัง
“ท่านอ๋องตรัสได้…” ทันทีที่ซูหลีได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงักค้างเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงแย้มยิ้ม
ดวงตาของนางที่เต็มไปด้วยความมีเสน่ห์กวาดมองฉินม่อโจวปราดหนึ่ง จากนั้นพลันเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องเสด็จมาทำอะไร ข้าก็มาทำอะไร มาที่นี่จะสามารถทำอะไรได้อีกกัน ท่านอ๋องช่างอารมณ์ขันนัก”
ฉินม่อโจว…
ใครจะตลกกับนางกัน
ทว่าดวงตาที่กลอกไปมาฉายแววความชั่วร้ายสามส่วนความเจ้าชู้เจ็ดส่วน ทำให้เขาพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
นางมารคนนี้!
ก่อนหน้านี้ที่แต่งกายเป็นบุรุษก็ทำให้คนมิอาจละสายตาได้แล้ว ในเวลานี้ทั้งร่างแต่งกายเป็นสตรี
มิรู้ว่าแม่นางยอดดอกเหมยคนใหม่จะสามารถงามได้สามส่วนของนางหรือไม่!
พูดตามความจริง แท้จริงแล้วนางมาทำลายบรรยากาศกระมัง!?
“โอ้! ท่านอ๋อง บ่าวเฝ้ารอท่านมาตลอด” ขณะที่พูดก็พลันได้กลิ่นลมหอมโชยมา ซูหลีเหลือบตาขึ้นมองเห็นมามาคนใหม่ของหอหร่วนเซียง หวังมามายืนอยู่เบื้องหน้าของตน
หอหร่วนเซียงในตลอดหนึ่งปีกว่ามีความเปลี่ยนแปลงมิน้อย แต่ก่อนยามที่มามาคนเก่าไม่อยู่แล้ว เปลี่ยนมาเป็นมามาคนใหม่นี้ มามาคนใหม่นี้มีเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้าง
งานชุมนุมดอกเหมยในวันนี้ล้วนเป็นฝีมือของนาง
“เร็วเข้า ท่านอ๋องเชิญทางนี้เพคะ!” หวังมามาพูดอย่างยิ้มแย้มกัยฉินม่อโจว ครั้นหันกลับมาก็มองซูหลีอย่างพินิจพิเคราะห์
นางชะงักค้างไป ในหอโคมเขียวปรากฏสตรีงามสะคราญเช่นนี้ เป็นใครก็ต้องตะลึง
ทว่าเพียงช่วงเวลาอันสั้นนางก็ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าอวบอิ่มเต็มไปด้วยเนื้อแน่นขนัด ในเวลานี้ฉีกยิ้มที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ…
“โอ้ นี่มิใช่ใต้เท้าซูหรือ! ท่านมิได้มาที่นี่นานแล้วเจ้าคะ! มา รีบนั่งลงเถิด!”
ในชั่วพริบตาสั้นๆ นางก็สามารถมองออกว่าเป็นซูหลี ทั้งยังสามารถต้อนรับนางอย่างเป็นธรรม หวังมามาท่านนี้เป็นบุคคลที่เก่งกาจโดยแท้
“หวังมามาเกรงใจโดยแท้” ซูหลีเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นรับพัดจีบจากมือไป๋ฉิน นางไม่สนใจฉินม่อโจวคนนั้นและเดินทอดน่องตามหลังหวังมามาไปยังที่นั่งของแขกกิตติมศักดิ์!
ฉินม่อโจวล่าช้าไปครึ่งก้าว สีหน้านั้นดำคล้ำ
ในสถานที่แห่งนี้มีเพียงซูหลีที่เป็นสตรีคนเดียว…
ไม่รู้ว่านางคิดอะไรกัน…
ไม่ใช่แค่ฉินม่อโจวเท่านั้น ทุกคนในห้องโถงใหญ่ล้วนมีสีหน้าแปลกประหลาดที่เห็นนาง
สตรีนางหนึ่ง อีกทั้งยังโฉมสะคราญล่มเมืองมาชื่นชมดอกไม้ราตรี เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็น่าประหลาดใจนัก
“มาเถิด ใต้เท้าซูเชิญนั่งเจ้าค่ะ!” หวังมามานำซูหลีมายังที่นั่งที่ใกล้กับเวทีที่สุด จะบังเอิญก็คือเมื่อซูหลีหันศีรษะก็พบกับใบหน้าของฉินมู่ปิงพอดี
ในเวลานี้นางรู้สึกเบิกบานใจ “โอ้ ซื่อจื่อ บังเอิญอะไรขนาดนี้!”
ฉินมู่ปิง…
บังเอิญรึ!?
“ไอหยา นั่งที่นี่แล้วทำให้ความทรงจำในวันวานหวนมา ซื่อจื่อยังจำได้หรือไม่ พวกเราเพิ่งรู้จักกันก็มิใช่เจอกันในหอหร่วนเซียงหรือ!?” ซูหลีกะพริบตาปริบๆ และจ้องไปที่ฉินมู่ปิง
“ใช่แล้ว ในเวลานั้นยังตีกันเพราะแม่นางยอดดอกเหมยของหอหร่วนเซียงแห่งนี้นี่นา! แม่นางยอดดอกเหมยนางนั้นชื่ออะไรนะ…อ้อ ใช่แล้ว ชื่อสุ่ยเหยียนใช่หรือไม่!” ขณะที่พูดดวงตาของนางพลันเปล่งประกายแวววาว
“พูดถึงวันนี้ซื่อจื่อก็คงมาดูแม่นางยอดดอกเหมยคนใหม่กระมัง แล้วแม่นางสุ่ยเหยียนคนนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้วหรือ หากเป็นเช่นนั้นดูเหมือนว่าวันนี้ข้าก็สามารถรำลึกความหลังกับแม่นางสุ่ยเหยียนได้แล้วนะสิ!”
ดูเหมือนนางนึกถึงอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ซูหลี!” ฉินมู่ปิงใบหน้าดำคล้ำ หลังจากหน้าผากกระตุกไปสองครา เขาจึงหันไปมองนางด้วยความโกรธ
“ทำไมต้องดุข้าด้วยเล่า!?”