เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 1103 ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองสามวัน / ตอนที่ 1104 ไม่หยุดหย่อน
- Home
- เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ
- ตอนที่ 1103 ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองสามวัน / ตอนที่ 1104 ไม่หยุดหย่อน
ตอนที่ 1103 ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองสามวัน
กิจการของหอหร่วนเซียงอยู่ในเมืองหลวงมาหลายต่อหลายปี ไม่มีทางที่จะไม่มีข้อกำหนดนี้และปล่อยให้คนที่ไม่มีฐานะอะไรขึ้นไปที่ชั้นสองได้อย่างแน่นอน!
“สกุลเซียวทำวิถีทางเพื่อจัดการกับเจ้าขนาดนี้ เจ้ายังสามารถอดกลั้นต่อไปได้” ในขณะที่ซูหลีกำลังขบคิดเรื่องฐานะของคนที่อยู่ชั้นสอง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดประโยคนี้
นางชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นแหงนหน้าขึ้นสบเข้ากับดวงตาที่นิ่งสุขุมของฉินมู่ปิง
“นี่ซื่อจื่อหมายความว่าอย่างไรกัน ซูหลีมิใช่คนที่ไม่พูดด้วยเหตุผลถึงเพียงนั้น” ซูหลีหลุบตาลงต่ำ นางจับแขนเสื้อของตนเองเล่นไปมาและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ตอนที่เจ้าจัดการกับสกุลป๋าย เจ้ามิได้เป็นเช่นนี้” ฉินมู่ปิงมองนางอย่างล้ำลึกปราดหนึ่ง คำพูดของเขาแฝงไปด้วยความแปลกประหลาดบางอย่าง
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงยกมุมปากขึ้นยิ้ม รอยยิ้มของนางแฝงด้วยความหมายลึกซึ้งบางอย่าง
ทันทีที่นางเสสายตามองก็พบว่า ความสนใจของทุกคนตกไปอยู่ที่ร่างของหงหลัว จึงไม่มีใครสังเกตเห็นนางกับฉินมู่ปิง มิน่าซื่อจื่อผู้แสร้งทำเป็นบุรุษเจ้าสำราญถึงได้เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา
“ซื่อจื่ออย่าเพิ่งร้อนใจไป นี่เพียงให้คนบางคนมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองสามวัน” หลังจากนางกวาดตามองไปโดยรอบ นางจึงเดินเข้ามาใกล้ฉินมู่ปิงแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
คำพูดที่แผ่วเบานี้ เมื่อกระทบเข้าสู่โสตประสาทของฉินมู่ปิงแล้ว สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนแปลงไปครู่หนึ่ง
เขาพลันเงยหน้าขึ้นมองซูหลี ต้องการอ่านเงื่อนงำบางอย่างจากสีหน้าของซูหลี ซูหลียิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสา ไม่มีพิรุธอะไรจากการแสดงสีหน้าเลยแม้แต่น้อย
ความหมายของซูหลีก็คือ นางคงจะลงมือจัดการสกุลเซียวแล้วกระมัง
ดวงตาของฉินมู่ปิงเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย นี่ไม่ได้หมายความว่าเขายืนอยู่ฝ่ายสกุลเซียว อีกทั้งเขาพลันรู้สึกว่าซูหลีนั้นเหมือนกับที่เสด็จพ่อตรัสไว้ นางเป็นคนที่ควบคุมได้ยาก
นางไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ฉินมู่ปิงจึงคิดว่านางยังมีความอดกลั้นต่อสกุลเซียว
คิดไม่ถึงว่าจะไม่เป็นดังที่คาดการณ์ไว้
หากนางลงมือ พวกเขาคงรู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้าย คงจะยิ่งทำให้เสด็จพ่อทนซูหลีต่อไปไม่ไหว
นางสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ เช่นนั้นก็สามารถกล่าวได้ว่า ซูหลีนั้นฉลาดและอันตรายกว่าที่เขาคิดไว้มาก
“พูดไป วันนี้หากซื่อจื่อไม่เอ่ยขึ้น ซูหลีก็ต้องไปหาเจ้าอยู่ดี” ซูหลีคล้ายกับไม่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปจนมิอาจคาดการณ์ได้ของฉินมู่ปิงมิปาน นางฉีกยิ้มบาง ดวงตาเปล่งประกายแวววาว
“อ้อ ดูเหมือนว่าใต้เท้าซูจะมีแผนอะไรในใจแล้ว เช่นนั้นมีเรื่องอะไรรึ ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าหรือ” ฉินมู่ปิงดึงสติกลับคืนมา เขาพยายามเก็บสายตาไม่ให้กระโตกกระตากออกมาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ง่ายมาก” ซูหลีชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง นัยน์ตาเคลื่อนไปมาอย่างมีเลศนัย “ขอเพียงซื่อจื่อบอกข้าหน่อยเถิด เรื่องของสกุลหลีในปีนั้นนอกจากสกุลเซียวแล้ว ยังมีใครมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้อีก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
ฉินมู่ปิงผงะไปเล็กน้อย
สำหรับเรื่องนี้ เขาพอจะคาดเดาได้
หากซูหลีสืบค้นเรื่องที่สกุลเซียวเคยกระทำมาทั้งหมดจริงๆ อีกทั้งยังลงมือกับสกุลเซียวเพราะเรื่องนี้ อย่างไรก็ต้องมาถามเขาอย่างแน่นอน
เพียงแต่เขาไม่คิดว่าเวลานี้จะมาถึงเร็วปานนี้
เขาพลันแหงนหน้ามองไปยังซูหลี
ซูหลีที่อยู่ภายใต้แสงไฟช่างงดงามจับตา ทำให้ผู้ที่มองมิอาจละสายตาออกจากนางได้
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงนั้น มิใช่เพราะรูปโฉมของนาง แต่เป็นเพราะแผนการที่ร้ายกาจของนาง
ไม่ว่าจะเป็นสกุลป๋ายหรือสกุลเซียว ทั้งสองสกุลนั้นล้วนเป็นสกุลที่ดำรงอยู่ในเมืองหลวงนับหลายสิบปี กินอยู่อย่างหรูหรา เป็นสกุลที่เป็นขุนนางจากรุ่นสู่รุ่น
ทว่าในเวลาถึงไม่ปีนี้ ทั้งสองสกุลถูกทำลายในกำมือของซูหลี
นี่นางเป็นคนอย่างไรกันแน่…
คนที่ดูแคลนหรือไม่เห็นว่านางเป็นคู่ต่อสู้ คนเหล่านั้นถึงเรียกว่าคนเขลาโดยแท้
“ทำไมรึ หรือแม้แต่ซื่อจื่อก็ยังมิทราบ”
ตอนที่ 1104 ไม่หยุดหย่อน
ซูหลีมองฉินมู่ปิงที่มีดวงตาเคร่งขรึม ทว่าเมื่อผ่านไปพักหนึ่ง เขายังไม่ทันได้เอ่ยอะไร นางจึงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
ที่จริงคำพูดของฉินมู่ปิงไม่สามารถเชื่อทั้งหมด เรื่องนี้ซูหลีนั้นทราบดี
ทว่าเรื่องของสกุลเซียวก่อนหน้านี้ก็ตรงไปตามที่เขาเอ่ยมา
ดังนั้นคำพูดของเขา หากรับฟังสักนิดก็ไม่เห็นเป็นไร
เพราะอย่างไรคนที่ตัดสินใจก็คือนาง
หากแม้แต่ฉินมู่ปิงยังไม่รู้ เรื่องต่อจากนี้นางคงต้องไปถามฝ่าบาท
ทว่าสำหรับฉินเย่หานนั้น ซูหลียังสงวนท่าทีเอาไว้ หากนางถามเรื่องสกุลหลี่โดยตรงแล้วล่ะก็ คงจะทำให้ฉินเย่หานเกิดความสงสัย
ข้ออ้างเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างซูหลีกับสกุลหลี่นั้น นางสามารถนำมาใช้จัดการลู่อวี้เหิงหรือแม้กระทั่งฉินมู่ปิงที่อยู่ตรงหน้าได้ ทว่ากับฉินเย่หาน ซูหลีไม่แน่ใจเช่นกัน
นางไม่แน่ใจว่าฉินเย่หานจะเชื่อคำพูดของนางหรือไม่
อีกทั้งจะเป็นการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองหรือไม่
เรื่องแบบนี้ คิดดูแล้วก็ต้องดูว่าอีกฝ่ายยอมที่จะเชื่อหรือไม่!
“การเคลื่อนไหวของใต้เท้าซูรวดเร็วจริงๆ ” ฉินมู่ปิงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำในทันที พลันยื่นมือเปิดฝาจอกชาและเผยให้เห็นน้ำชาที่กรองจนแยกตัวกับใบชา
ซูหลีเห็นเขาแสดงอากัปกิริยาที่แปลกประหลาดเช่นนี้แล้ว นางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองเขาอย่างวิเคราะห์ไม่ดูถูก
“เพียงแต่คนในสกุลนี้คงไม่ได้จัดการได้อย่างง่ายดายเฉกเช่นเดียวกับสกุลเซียว” ฉินมู่ปิงกลับไม่ชำเลืองมองนางเลยสักนิด เขาเพียงหลุบตามองบนโต๊ะพลันใช้นิ้วชี้แตะลงบนผิวน้ำชาอย่างแผ่วเบา
จากนั้นยกมือใช้นิ้วเขียนตัวอักษรทีละขีดบนโต๊ะตัวนั้น
ซูหลีชำเลืองมองใบหน้าของเขา ครั้นเห็นว่าเขาไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา เวลานี้นางถึงได้ค่อยๆ เคลื่อนสายตาของตนมาหยุดอยู่ที่มือที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาของเขา
นางเสมองอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป
“ที่สกุลหลี่ได้รับผลเช่นนั้น คนสกุลนี้ก็ไม่สามารถหลุดพ้นความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ อย่างไรใต้เท้าสามารถไปตรวจสอบได้เฉกเช่นครั้งก่อน” ฉินมู่ปิงยกมือขึ้น เพ่งมองตัวอักษรที่เขียนออกมาอย่างละเอียด บริเวณริมฝีปากยังมีรอยยิ้มที่สุขุมแต่งแต้มอยู่
ทว่าอากัปกิริยาของซูหลีกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก
ประหนึ่งมีคลื่นที่โหมกระหน่ำซัดสาดเข้ามาในดวงตา จ้องมองตัวอักษรที่ถูกฉินมู่ปิงเขียนทีละขีด ผ่านไปนานซูหลีก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้
“ปัง!” ในขณะที่สติของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากรอบข้าง
ซูหลีที่กำลังใจลอยเหลือบตาขึ้นมองไปทางนั้นครู่หนึ่ง
“เจ้าพูดจาส่งเดชอะไรกัน” ทันทีที่เสตามองก็พบกับหวงฮ่าวที่กำลังบันดาลโทสะ
ซูหลีขมวดคิ้ว สติสัมปชัญญะคืนกลับมาแล้วประมาณครึ่ง คำพูดของฉินมู่ปิงไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด
เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรนางก็ต้องไปตรวจสอบด้วยตนเองอย่างชัดเจน
“พูดอะไร หรือไม่ใช่เช่นนี้ หากเจ้ามิได้สนใจซูหลีจนไม่แต่งผู้อื่นเข้ามา เช่นนั้นก็หาตัวแทนซะก็สิ้นเรื่อง! นี่ล้วนเป็นมีเรื่องที่ดีต่อเจ้า!” ครั้นสติสัมปชัญญะทั้งหมดของนางกลับมา ก็ได้ยินคำพูดคำรบนี้
นางชะงักค้างไป จากนั้นสีหน้าจึงเข้มขึ้นและมองไปทางแหล่งที่เกิดเสียงดังขึ้น
ทางนั้นคือพวกหวงฮ่าวและคนจากสำนักฉยงสือ
คนเหล่านั้นซูหลีล้วนรู้จักดี แต่ก่อนนางมักจะชอบทะเลาะกับพวกเขา เพียงแต่หลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับสกุลป๋ายและสกุลเซียว คนเหล่านี้จึงสำรวมอาการไปบ้าง
พวกเขาไม่กล้าที่จะต่อกรกับสำนักเต๋อซั่นอีก
คิดไม่ถึงว่าวันนี้พวกเขาจะก่อความวุ่นวายเช่นนี้
สายตาของซูหลีพาดผ่านที่ร่างของคนเหล่านั้น มิหนำซ้ำนางยังมาเห็นคนที่คุ้นเคย เป็นผู้ที่ติดสอยห้อยตามนางแต่ก่อน นั่นก็คือหวังเฮ่อ
เพียงในเวลานี้ไม่มีคนติดตามแล้ว หวังเฮ่อไม่ปรากฏตัวต่อหน้านางนานมาก จนนางคิดว่าเขาจะหายเงียบไปเสียแล้ว!