เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 1159 ป่วยโรคอะไร! / ตอนที่ 1160 พูดจาส่งเดช!
ตอน 1159 ป่วยโรคอะไร!
“โยวหราน ข้าทราบดีว่าเจ้าเป็นสตรีที่ดี ทว่ามีคนบางคนมิได้เหมือนอย่างที่เจ้าคิดไว้ อยู่ในตำหนักชิงหนิงของข้าแล้วไม่สบาย หลังจากกลับมาก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันทีเลยรึ ใต้หล้าจะมีโรคเช่นนี้เสียที่ไหนกัน…”
หากอู๋โยวหรานไม่เอ่ยออกมาคงจะดี ทันทีที่นางพูดออกมา ไทเฮาก็ยิ่งทรงกริ้วมากกว่าเดิม
ซูหลีผู้นี้เผยออกมาอย่างชัดเจนว่ามิเห็นนางในสายตา นี่คือคนป่วยรึ อย่าหลอกนางให้ยาก!
โรคอะไรจะสามารถหายได้อย่างมหัศจรรย์จนกลายเป็นเช่นนี้!?
ไทเฮามีสีหน้าดำคล้ำเขียว ดวงตาคล้ายกับจะพ่นไฟออกมา ทว่าซูหลีพลันเอ่ยขึ้นในเวลานี้
“เหนียงเหนียง เป็นอย่างที่แม่นางโยวหรานพูดเอาไว้มิผิดพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่เสียงของซูหลีดังนั้น ทั้งลานกว้างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ในช่วงเวลานี้ทุกคนต่างมองไปทางนาง นี่ซูหลีเป็นอะไรไปแล้ว เสียสติไปแล้วหรือ
นี่เพียงแค่เป็นคนที่มีสติดีล้วนทราบว่า ไม่มีทางมีโรคแบบนี้ โรคอะไรจะมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ป่วยแล้วบัดนี้จะหายแล้ว ตอนอยู่ในตำหนักชิงหนิงไม่สบาย พอกลับมาก็หายป่วยอย่างทันควัน!
นี่ไม่ใช่การไม่เห็นไทเฮาอยู่ในสายตาหรอกหรือ!?
ฉินเย่หานกับเซี่ยอวี่เสียนที่ได้ยินคำพูดของนางในเวลาเดียวกัน ทั้งสองขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นทันใด
คนที่นางกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้น ไม่ใช่คนที่นางจะสามารถก่อกวนตามใจชอบได้!
นี่เป็นถึงไทเฮา!
พระชนนีของฮ่องเต้!
“เหอะ!” เป็นอย่างที่คิดได้ สีหน้าของไทเฮาเปลี่ยนไปในทันที “เช่นนั้นเจ้าก็พูดให้ข้าฟังสิว่า นี่มันโรคอะไร! หากเจ้าพูดเหตุผลออกมาไม่ได้แล้วละก็!”
“ฝ่าบาท! พระองค์อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าพระองค์!” ไทเฮาจะทรงลงโทษซูหลี ทว่ากลับตรัสว่าจะไม่ไว้หน้าฮ่องเต้
ดวงตาที่เคร่งขรึมของฉินเย่หานมองไปที่ซูหลีปราดหนึ่ง
ทว่ากลับพอว่าสีหน้าของซูหลีไม่แปรเปลี่ยนไปสักนิด สายตาที่มองไปทางไทเฮาวูบไหวอยู่บ้าง ความลึกล้ำในแววตาของฉินเย่หานพลันเบาบางลงบ้าง
อู๋โยวหรานที่อยู่ข้างพระวรกายของไทเฮามองซูหลีด้วยสีหน้าประหลาดใจ ใครก็ฟังออกว่า คำพูดประโยคที่นางเอ่ยเมื่อครู่ ก็แค่เป็นข้ออ้างให้ซูหลีหลุดพ้นจากโทษ
ทว่าซูหลีผู้นี้เป็นคนที่ไม่ฟังคำโน้มน้าวของผู้อื่น ซึ่งนี่ดูเหมือนมีความแตกต่างกับใต้เท้าซูที่เขาลือกันว่าฉลาดเป็นกรดอยู่มาก!
อู๋โยวหรานก้มศีรษะต่ำลง ปิดซ่อนความรู้สึกในสายตาของตน
“พูดสิ! ไยถึงมิพูดออกมา! ซูหลี เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเลอะเลือนรึ?!” ผ่านไปนานก็ยังไม่เห็นซูหลีเปิดปากพูด สีหน้าของไทเฮาเปลี่ยนเป็นดูแย่กว่าเดิมไปบ้าง พระองค์จ้องซูหลีด้วยสายพระเนตรที่เย็นชา
โทสะในพระเนตรของพระองค์คล้ายดั่งจะสามารถกลบซูหลีจนมิด
ซูหลีเห็นดังนั้นจึงเลิกคิ้ว พลันลุกขึ้นจากพื้นแล้วยืนขึ้น
หลังจากที่พวกเขาเข้ามา ก็ไม่มีใครเรียกให้พวกเขาลุกขึ้น นางก็คุกเข่าแหงนศีรษะมองคนตรงหน้าทั้งสามคน แม้ว่าหัวเข่าของนางจะรับความปวดเมื่อยได้ ทว่าคอของนางนี้อดทนแหงนขึ้นไม่ไหวจริงๆ
ในเวลานี้ก็ยังไม่มีคนถ่ายทอดคำสั่ง ซูหลีจึงถือโอกาสลุกขึ้นยืนเองเสียเลย
ทันทีที่นางขยับตัว เสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ที่อยู่บนร่างของนางนั้น ประหนึ่งดวงดาวบนทางช้างเผือกกำลังเคลื่อนตัวเปล่งประกายระยิบระยับ ภายใต้แสงไฟร่างที่มีผิวขาวราวหิมะของนาง ดูประหนึ่งปีศาจสาวก็มิปาน ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าที่จะเข้าไปมองดูใกล้ๆ
ในดวงตาของอู๋โยวหรานมีประกายพาดผ่านอย่างรวดเร็ว นางได้รับความชื่นชอบจากคนในครอบครัวมาโดยตลอด สกุลอู๋นั้นถือว่าเป็นสกุลอันดับต้นๆในเมืองฉู่ ทว่ากลับมิเคยเห็นสิ่งที่งดงามประณีตเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าเสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกตัวนี้จะมีค่าเกือบจะเท่าคูเมืองแห่งหนึ่งเลยกระมัง!?
ระดับความโปรดปรานที่ใต้เท้าซูท่านนี้ได้รับคงจะไม่ธรรมดาจริงๆ!
“ทำไมรึ เจ้ายังคิดจะต่อต้านหรือ ข้ายังไม่สั่งให้เจ้าลุกขึ้น เจ้าก็ลุกขึ้นมา!” ไทเฮาทรงทอดพระเนตรเห็นนางกระทำเช่นนี้ ใบหน้าจึงตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม มองดูแล้วคล้ายกลับจะระเบิดโทสะออกมา!
ตอนที่ 1160 พูดจาส่งเดช!
ทว่า“ทูลเหนียงเหนียง” ทว่าซูหลีกลับไม่ปล่อยให้นางระเบิดอารมณ์ออกมา นางก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว จากนั้นจึงใช้ประสานมือทั้งสองและทำความเคารพเล็กน้อย
หากพูดอย่างยุติธรรม มารยาทและอากัปกิริยาของซูหลีถือว่าไม่ดีเท่าไรนัก
กิริยาท่าทางของนางยังไม่ได้มาตรฐานสู้สาวใช้ในวังคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทว่ากิริยาท่าทางใดที่นางปฏิบัติออกมา ล้วนให้ความรู้สึกเป็นเอกลักษณ์กว่าผู้อื่นอย่างชัดเจน ท่าทางของนางทั้งดูสง่าและเฉื่อยชา แม้กระทั่งมีความดูแคลนเล็กน้อยด้วย กลับทำให้ผู้อื่นมิอาจละสายตาจากนางได้ในทันทีทันใด
คนผู้นี้ ช่างได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์โดยแท้ ความงดงามจากสิ่งภายนอกขับให้นางดูงามสะคราญขึ้นไม่น้อย
อู๋โยวหรานที่มองอยู่ด้านข้าง ในดวงตาทอประกายอย่างไม่หยุดหย่อน ซูหลีผู้นี้ ยามที่เจอคราแรกก็สามารถดึงพลังชีวิตของคนได้แล้ว ครั้นมองอย่างละเอียดอีกทีก็สามารถคร่าชีวิตคนได้โดยแม้
นางพิจารณาแล้วว่าตนเคยเจอสาวงามมาจำนวนไม่น้อย โฉมสะคราญล่มเมืองก็ใช่ว่ามิเคยเห็น
ทว่าสาวงามจำนวนมากก็แค่งดงาม กลับขาดจิตวิญญาณ มีบางคนยามพบคราแรกนั้นรู้สึกว่างามเพริศพริ้ง มองดูอีกครั้งกลับรู้สึกว่าจืดชืด ทว่าซูหลีที่อยู่ตรงหน้านั้นกลับเห็นได้ชัดว่างามเป็นอันดับหนึ่ง!
อู๋โยวหรานนั้นเชื่อมั่นในรูปโฉมของตนอย่างยิ่ง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซูหลีแล้ว ก็เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจโดยไม่รู้ตัว
เกิดคลื่นยักษ์ที่น่าหวาดหวั่นขึ้นในใจของนาง ขณะนี้นางถึงทำได้เพียงปลอบใจตนเอง แม้จะมีรูปโฉมงดงามแล้วอย่างไรเล่า หากจะทำให้บุรุษคนหนึ่งรักตน ก็มิใช่มีเพียงรูปโฉมที่งดงามแล้วจะสามารถทำให้บุรุษหลงรักได้!
นางมีความมั่นใจ!
ในขณะที่อู๋โยวหรานยังสับสน ทางด้านซูหลีก็เอ่ยพูดอย่างเนิบๆว่า
“นี่หากพูดแล้ว ที่จริงก็มิถือว่าเป็นโรค ๆหนึ่ง”
ทันทีที่นางพูดจบ ไทเฮาก็ถูกนางทำให้ทรงกริ้วจนสรวลออกมาแล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ครู่หนึ่งก็กล่าวว่าเป็นโรค อีกครู่หนึ่งก็กล่าวว่าไม่ใช่โรค ซูหลี เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงโทษเจ้าจริงๆหรือ อยู่นี่แล้วยังพูดตามอำเภอใจไปเรื่อย คำพูดอะไรก็กล้าพูดออกมา!”
ซูหลีชำเลืองเห็นอิริยาบถนี้ของไทเฮาแล้วก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใจ กล่าวกระตุกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาดอกท้อที่เย้ายวนใจเปล่งประกายขึ้นในความมืด
“เหนียงเหนียงทรงมีเรื่องที่มิทราบ ตอนเด็กๆ กระหม่อมนั้นร่างกายไม่แข็งแรง ท่านพ่อเคยเรียกนักบวชผู้มีคุณธรรมสูงส่งมาตรวจอาการกระหม่อมมาก่อน นักบวชท่านนั้นกล่าวว่า โชคชะตาของกระหม่อมนี้จะขัดแย้งกับบุคคลผู้สูงศักดิ์!”
ครั้นชำเลืองเห็นคนภายในลานกว้างล้วนใช้สายตาประหนึ่งมองคนเสียสติ จ้องมองที่ซูหลี
นักบวชผู้มีคุณธรรมสูงส่ง นี่ซูหลีต้องการกระทำสิ่งใดกัน แต่งเรื่องขึ้นหรือ
“นักบวชกล่าวว่า กระหม่อมมิควรเข้าใกล้สตรีผู้สูงศักดิ์มากจนเกินไป โดยเฉพาะสถานที่ที่สตรีผู้สูงศักดิ์นั้นพำนักอยู่ สถานที่นางหงส์วนเวียนอยู่ หากกระหม่อมอยู่ในนั้นเกินหนึ่งช่วงยาม มือเท้าของกระหม่อมจะอ่อนแรง ทั้งร่างจะรู้สึกไม่สบาย อาการไม่ร้ายแรงก็สามารถวินเวียนได้ หากอาการร้ายแรงยังสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิต…”
ทุกคน…
“แค่กๆๆ!” เซี่ยอวี่เสียนเป็นคนหนึ่งที่อดกลั้นไม่ไหว จนต้องไอออกมาเสียงดัง
ที่จริงแล้วเขาอยากจะหัวเราะออกมา ทว่าในสถานการณ์แบบนี้ หากหัวเราะออกมา เช่นนั้นคงจะไม่มีมารยาทจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองอย่างสุดความสามารถ จนสุดท้ายส่งไอออกมาอย่างอดกลั้น!
ระดับนี้ยังจะเอ่ยว่านางพูดไปเรื่อยอีกหรือ
นั่นถือว่าเป็นการให้เกียรตินางแล้ว เห็นชัดว่านี่เป็นการพูดจาส่งเดชอย่างเอาจริงเอาจัง!
ที่พูดออกมานี้เป็นเรื่องอะไรกัน
ยังมีนักบวชผู้มีคุณธรรมสูง ยังมีโชคชะตาอีก!
ระลอกแล้วระลอกเล่า ช่างทำให้คนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรโดยแท้!
“จะ เจ้า…” เป็นดังที่คิดไว้ หลังจากที่ไทเฮาทรงสดับคำพูดของซูหลี พระพักตร์พลันดำทะมึนจนถึงที่สุด ขณะที่ต้องการจะพูดอะไรมา กลับรู้สึกว่าความมืดตรงหน้าของตน จนถอยหลังติดๆกันไปหลายก้าว ถึงได้ร่างของไทเฮาหยุดยืนอย่างมั่นคงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เสด็จป้า!” อู๋โยวหรานที่อยู่ข้างพระวรกายไทเฮา เมื่อเห็นดังนั้นจึงอดที่จะส่งเสียงออกมาอย่างตกใจไม่ได้ นางรีบเข้าไปประคองไทเฮา
“อ้อ! กระหม่อมลืมไปแล้ว” ทว่าในเวลานี้ซูหลีเหมือนกับรู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ ทั้งยังเอ่ยเสริมอีกประโยค