เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 1209 จี้เก๋อเหล่าผู้นี้ / ตอนที่ 1210 ไม่ใช่สกุลจี้!
ตอนที่ 1209 จี้เก๋อเหล่าผู้นี้
“…แม้ไม่ทราบว่าใต้เท้าซูเอ่ยเรื่องนี้เพราะเหตุใด ทว่าข้าสามารถบอกเจ้าอย่างมั่นใจได้ว่า ท่านลุงของข้าไม่ใช่คนที่ปั้นเรื่องใส่ความผู้อื่นอย่างแน่นอน!”
จี้เหิงหรานที่อยู่ด้านข้างเห็นฉินเย่หานพูดอธิบาย ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ในชั่วขณะนั้นมีแสงสว่างพาดผ่านในหัวของเขา คล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
หรือที่ซูหลีมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจะเป็นเพราะเรื่องนี้
จี้เหิงหรานไม่โง่เขลา ทุกเรื่องที่เกิดมักมีสาเหตุ แม้จะกล่าวว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคนมีเรื่องไม่พอใจกันบ้าง ทว่าเขากับซูหลีล้วนเป็นคนฉลาด บัดนี้ทั้งสองล้วนถวายความจงรักภักดีแด่ฮ่องเต้
ทำให้ในอดีตมีช่องว่างอะไร ซูหลีก็ไม่ถูกเขาทำร้าย เรื่องนี้นับเป็นความแค้นที่เก็บมานานหลายปี ไม่ควรจะระเบิดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
นอกจากว่ามีเรื่องอะไรที่ยั่วยุซูหลี
ทำให้นางระเบิดโทสะที่เก็บไว้มานานหลายปีออก
เรื่องถึงเป็นเช่นนี้!
ดวงตาของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย เขาหวนคิดถึงบุญคุณและความแค้นระหว่างสกุลจี้กับสกุลหลี่ ในเมื่อซูหลีเอ่ยขึ้นมาโดยไม่พูดเหตุผล ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะอธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจน
ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อซูหลี แต่…
เพื่อเย่ว์ลั่ว!
ดวงตาของจี้เหิงหรานวูบไหวเล็กน้อย พลันคิดถึงอะไรบางอย่างออก จึงเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “เรื่องของสกุลหลี่ในปีนั้น องค์รัชทายาทพระองค์ก่อนเป็นผู้ที่ทรงถ่ายทอดคำพิพากษาออกมา รายละเอียดปลีกย่อมนั้นข้าก็ไม่ทราบอย่างชัดเจนเช่นกัน เพียงแต่หลังจากข้ากลับมาอยู่ในเมืองหลวง ก็พบว่าท่านลุงดูชราลงไปมาก”
ซูหลีได้ยินถึงตรงนี้ ดวงตาวูบไหวเล็กน้อย
ที่จริงก่อนหน้านี้นางรู้สึกสงสัย จากที่เย่ว์ลั่วบรรยายให้ฟังว่าจี้เก๋อเหล่าคงยังรู้สึกรักมารดาของนางอยู่บ้าง
มิเช่นนั้นหลังจากที่มารดากับบิดาของนางแต่งงานกันไปนานมาก คงจะยินยอมแต่งภรรยาเข้ามานานแล้ว
บุรุษที่รักใคร่สตรีผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้งจะสามารถกระทำเรื่องนี้เสียสติบ้างคลั่งเช่นนั้นได้หรือ และเพราะประเด็นนี้จึงทำให้ซูหลีรู้สึกไม่มั่นใจนัก
ถึงอย่างไรความรักก็สามารถทำให้คนบ้าคลั่ง สามารถทำให้คนกลายเป็นปีศาจ
ดูอย่างป๋ายถานก็รู้แล้ว
แน่นอนว่าป๋ายถานกับจี้เก๋อเหล่ามีสิ่งที่แตกต่างกัน ป๋ายถานเดิมทีนั้นเป็นคนที่มีปรารถนาอันแรงกล้า ใจคอโหดเหี้ยม ทว่าดูเหมือนจี้เก๋อเหล่าจะไม่ใช่คนประเภทนั้น
เป็นเพราะอำนาจของสกุลจี้ในราชสำนัก จึงทำให้ในมือของจี้เก๋อเหล่ามีอำนาจจัดการเรื่องต่างๆได้
อย่างน้องสกุลจี้ก็ไม่ตกต่ำจนกลายเป็นเช่นนี้
ความไม่ฝักใฝ่ในอำนาจการบริหารของจี้เก๋อเหล่า ไม่ใช่สิ่งที่พูดเพียงลมปากเท่านั้น
ซูหลีเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนักก็เป็นเวลาไม่น้อยแล้ว นางไม่เคยเห็นเขาปริปากพูดอะไรในราชสำนักมาก่อน เขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้สักเท่าไร หากไม่ใช่เพราะมีตำแหน่งเป็นเก๋อเหล่า เขาคงเดินไปคนละทางกับราชสำนักที่มีความผันผวนอย่างสิ้นเชิง
“หลังจากข้ากลับมาอยู่ในเมืองหลวง ท่านลุงก็ฝากฝังจี้ฉินไว้กับข้า ท่านลุงกล่าวว่าข้าเป็นพี่ใหญ่ ต่อไปสกุลจี้ต้องพึ่งพาข้า ในเวลานั้นเขาก็มีความคิดอย่างจะเกษียณราชการแล้ว!”
หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดทั้งหมดของจี้เหิงหราน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
เกษียณราชการ!
นี่เขาต้องการปลีกตัวออกจากราชสำนักอย่างลับๆ!
หากเขาเป็นคนลงมือเรื่องของสกุลหลี่จริง เป็นเพราะต้องการแก้แค้นที่ถูกแย่งชิงภรรยาไป จึงไม่คำนึงถึงราชสำนักหรือ หรือมีความคิดอื่นกัน…
ซูหลีไม่มั่นใจสักเท่าไร
“เป็นเพราะเหตุใจ ข้าก็ไม่ทราบเช่นนี้ สุดท้ายบัดนี้ท่านลุงก็คงอยู่ในราชสำนักอย่างตรอมตรม ถึงอย่างไรผลจากการที่ฝ่าบาทยังทรงเหนี่ยวรั้งเขาไว้ ทำให้เขามีความคิดที่จะเกษียณราชการเท่านั้น ทุกวันนี้จึงไม่ก้าวก่ายหรือพัวพันกับเรื่องของราชสำนักอีกเลย”
“เขาเพื่อนำเรื่องทั้งในมือเขาส่งต่อให้แก่ข้า!” จี้เหิงหรานพูดจบก็มองทางซูหลีและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“…หากจะมีเรื่องอะไรที่ท่านลุงกับสกุลหลี่มีความเกี่ยวข้องกัน ข้าทราบอย่างแจ่มแจ้งอยู่เพียงเรื่องเดียว ท่านลุงเคยสัญญาหมั้นหมายครั้งหนึ่ง ฝ่ายหญิงคือเหยียนซื่อจากเจ้อเจียง!”
ตอนที่ 1210 ไม่ใช่สกุลจี้!
เขาพูดถึงตรงนี้ หยุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ซึ่งนั่นก็คือภรรยาเอกของหลี่รุ่ยอิง เหยียนหลิ่ว!”
ซูหลีได้ยินจึงหลับตาลง
สีหน้าของนางแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าหลังได้ยินชื่อของเหยียนหลิ่ว อารมณ์ของนางจะควบคุมเอาไว้ไม่ได้เล็กน้อย
จี้เหิงหรานเห็นดังนั้นจึงอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ อย่างไรเขาก็คิดไม่ออกว่าซูหลีมีความเกี่ยวข้องอะไรกับสกุลหลี่ ทำไมเมื่อเอ่ยถึงภรรยาเอกของหลี่รุ่ยอิงแล้ว ถึงได้เผยอากัปกิริยาเช่นนี้ออกมา
จี้เหิงหรานคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก จึงเหลือบตามองไปที่ฉินเย่หานปราดหนึ่ง
ทว่าเมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความลุ่มลึกของฉินเย่หานจ้องที่ซูหลี อารมณ์ที่แสดงออกมาทางสีหน้าของเขานั้นดูล้ำลึกเป็นอย่างมาก ทว่ากลับไม่ได้มองอย่างถี่ถ้วน
สีหน้าเช่นนี้…
ดูคล้ายกับฉินเย่หานทราบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างซูหลีกับสกุลหลี่มิปาน
จี้เหิงหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าในความทรงจำของเขาสกุลหลี่กับสกุลซูไม่มีความเกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง!
“หลายปีมานี้ เราเคยพบท่านน้าเป็นการส่วนตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” จี้เก๋อเหล่าก็เป็นน้าแท้ๆของฉินเย่หาน
ซูหลีได้ยินคำพูดที่เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันของเขา กลับอดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองเขา
“ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสกุลหลี่ถูกประหารทั้งสกุล เราก็รีบกลับมาที่เมืองหลวง ท่านน้าก็ยังอยู่ที่จวนในเมืองหลวงเพื่อรอเรา” ขณะที่ฉินเย่หานเอ่ยก็มองไปที่ซูหลีโดยตรง
สายตาของเขาทำให้ซูหลีไม่มีวิธีที่จะหลีกเลี่ยง นางถึงทำได้เพียงมองเขาอย่างซึ่งๆหน้า
“ในเวลานั้นเขายังมาอำลาเรา เราถามว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาเพียงตอบเราประโยคหนึ่ง”
เรื่องนี้แม้แต่จี้เหิงหรานก็ไม่ทราบ
เพราะว่าตลอดมาหลายปีมานี้จี้เก๋อเหล่าแปรเปลี่ยนเป็นคนที่เย็นชาเกินไป
เหมือนกับเขาอยู่ในจุดที่ตัดขาดกับโลกภายนอก หากไม่ใช่เพราะจี้เก๋อเหล่าจำเป็นต้องนำสิ่งของของสกุลจี้ ทั้งยังมีคนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ส่งต่อให้แก่เขา เขาก็คงคิดว่าจี้เก๋อเหล่าคงไปศึกษาสัจธรรมของโลกนอกเสียแล้ว
แม้แต่จี้ฉินซึ่งบุตรชายของตนเอง จี้เก๋อเหล่ากลับคลุกคลีใกล้ชิดกับจี้ฉินน้อยมาก คำพูดเหล่านี้ไม่อาจพูดต่อหน้าพวกเขาได้
เพราะในสายตาของจี้เหิงหรานกับจี้ฉิน อย่างไรในครึ่งชีวิตของจี้เก๋อเหล่าก็ถือเป็นผู้ที่น่าเกรงขามคนหนึ่ง
เขาไม่ยิ้มและหัวเราะพร่ำเพรื่อ นับประสาอะไรกับพูดคุยเรื่องในใจของตนให้กับผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าฟัง
วันเวลาหลังจากนั้นเขากลับเปลี่ยนเป็นคนที่ไร้ซึ่งความปรารถนาและความต้องการ ดูไม่มีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ความเมินเฉยของเขาคือความเย็นชาที่ไม่เปิดรับผู้คนเข้ามา ซึ่งแตกต่างกับความเยียบเย็นของฉินเย่หานโดยสิ้นเชิง
“จี้เก๋อเหล่า พูดอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางมีความแหบแห้งเจือปนอยู่บ้าง หลังจากที่ถามประโยคนี้ออกมา นางก็เหมือนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างได้
“เขาเอ่ยว่า คนสำคัญที่สุดในชีวิตไม่อยู่แล้ว แม้แต่แม่น้ำเจียงเป็นหมื่นลี้ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา!” คล้ายกับเป็นการยืนยันความคิดของซูหลีมิปาน ฉินเย่หานเอ่ยประโยคนี้ออกมาโดยพูดเน้นทีละคำ
ซูหลีทรุดกายลงและหลับตาลงในทันที และในเวลานั้นเองน้ำตาของซูหลีพลันไหลออกมาจากเบ้าอย่างควบคุมไม่ได้
น้ำตาใสหยดหนึ่งไหลรินออกมาจากหางตาของนาง
ฉินเย่หานกับจี้เหิงหรานทั้งสองคนเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน
จี้เหิงหรานถูกอากัปกิริยาของซูหลีทำให้ตกใจยิ่งกว่าเดิม
เขายังคิดว่า ทั้งชีวิตนี้คงไม่มีวันที่จะเห็นซูหลีร้องไห้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเห็นในวันนี้ อีกทั้งยังร้องไห้ในสถานการณ์เช่นนี้อีก
ซูหลีมีอุปนิสัยที่ใจร้อนและเหี้ยมโหด แทบจะต่อสู้กับฟ้าและดิน ในเวลานี้กลับมีน้ำตาไหลออกมา… อย่าว่าแต่จี้เหิงหรานเห็นภาพนี้เลย เขารู้สึกสับสนเป็นอย่างมากจริงๆ
ซูหลีหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง
เดิมนางยังหลงเหลือความไม่แน่ใจอยู่บ้าง หลังจากที่ได้ยินฉินเย่หานพูดประโยคนี้ออกมา นางก็แน่ใจแล้วว่า
ดังนั้นนางมั่นใจแล้วว่าจี้เก๋อเหล่าและสกุลจี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสกุลหลี่เลยแม้แต่น้อย!
หากจี้เก๋อเหล่าสามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ แสดงว่าในหัวใจของเขายังมีมารดาของซูหลีอยู่ในนั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจะทำร้ายเหยียนซื่อเพื่ออะไรกัน