เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 1235 ร้องขอคำตอบ / ตอนที่ 1236 ส่งข่าวให้ฉินเฮ่า!
ตอนที่ 1235 ร้องขอคำตอบ
คนที่นางสนใจนั้น ไม่ใช่แค่ฉินเฮ่า
ยังมีฉินมู่ปิงอีกคนหนึ่ง
ในปีนั้นพระโอรสคนโตของฮ่องเต้ก็ถูกองค์รัชทายาททำร้าย ซ้ำยังเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับองค์รัชทายาท ทำให้ในเวลาอันสั้นฮ่องเต้องค์ก่อนสูญเสียพระโอรสถึงสองคน
จึงเหลือเพียงฉินเฮ่า ฉินเย่หาน และฉินม่อโจว
ฉินม่อโจวนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึง พวกเขานั้นเกิดมาด้วยฐานะที่ต่ำต้อย กอปรกับเป็นคนสำมะเลเทเมา จะพูดอย่างไรก็ไม่อาจสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ได้แน่นอน อีกทั้งเขาเป็นโอรสที่อายุน้อยที่สุด คนที่เกิดก่อนเขานั้นยังมีฉินเฮ่ากับฉินเย่หาน จะพูดอย่างไรตำแหน่งฮ่องเต้ก็ไม่มีทางตกเป็นของเขา
ส่วนฉินเฮ่าพิการโดยธรรมชาติตั้งแต่กำเนิด แม้จะมีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ก็มิอาจข้ามผ่านภาระอันแสนหนักอึ้งได้
ทว่าฉินเย่หานที่มีแผนการอยู่ในใจ ชะตาชีวิตค่อนข้างจะดี เหมาะสมที่จะครองราชยสมบัติมากที่สุด
ส่วนสำหรับเรื่องชาติกำเนิดของฉินเย่หานนั้น ผู้ที่ทราบเรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น อย่างไรต่อหน้าสาธารณชนเต๋อเฟยก็ยังเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเขาอยู่ เมื่อเขาครองราชยสมบัติ เต๋อเฟยก็ถูกแต่งตั้งเป็นไทเฮา นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
เพียงแต่…
แต่ก่อนนั้นไทเฮากับฉินเฮ่าไม่มีความคิดที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งฮ่องเต้ นั่นเป็นเพราะขาของฉินเฮ่าพิการทั้งสองข้าง ไม่มีทางครองราชยสมบัติได้
ทว่าบัดนี้ฉินเฮ่ามีบุตรชายแล้ว อีกทั้งบุตรชายผู้นี้ยังมีร่างกายที่ครบถ้วนสมบูรณ์และมีสุขภาพที่แข็งแรงดี แม้แต่แผนการในใจก็ยังฉลาดลึกล้ำเลิศ แม้ฉินเฮ่าจะครองราชยสมบัติไม่ได้ ทว่าหากสามารถทำให้บุตรชายผู้นี้ขึ้นดำรงตำแหน่งที่สูงศักดิ์ได้
เช่นนั้นก็มิต่างกันไม่ใช่หรือ
หลังจากซูหลีเริ่มเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้ว นางก็หัวเราะเยาะขึ้นอย่างกะทันหัน ดังนั้นนางพอจะเข้าใจแล้วว่าการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของสองพ่อลูกฉินเฮ่าในเวลานี้ รวมถึงการปรากฏตัวของมือสังหารอย่างกะทันหันและหมายจะเอาชีวิตฉินเย่หานนั้น มีความหมายว่าอย่างไร
“ทูลฝ่าบาท โจวเว่ย ใต้เท้าโจวขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!” ในขณะที่อยู่ในความเงียบงัน เสียงของหวงเผยซานพลันดังขึ้นจากภายนอกอย่างกะทันหัน
ซูหลีหวนสติกลับมาอย่างรวดเร็ว นางเห็นร่างของตนยังนั่งอยู่บนท่อนขาของฉินเย่หาน จึงมีริ้วแดงๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าในทันที จากนั้นจึงกระเด้งตัวลุกจากท่อนขาของฉินเย่หานอย่างรวดเร็ว
ใครจะรู้ว่าบุรุษด้านหลังนั้นคล้ายกับอ่านความคิดของนางออกมาแล้วมิปาน เขาใช้แขนคว้าเอวของนางเอาไว้ ทำให้นางขยับตัวไม่ได้อย่างกะทันหัน ทั้งร่างจึงถลาเข้าหาร่างของฉินเย่หานอย่างรุนแรง
“เหวอ!” ซูหลีร้องขึ้นอย่างตกใจ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงรีบเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท!”
โจวเว่ยรออยู่ด้านนอก นี่เขาต้องการกระทำสิ่งใดกัน!?
ซูหลีไม่คิดจะกระทำเรื่องเช่นนั้นกับเขาภายในหอเก็บตำรายามกลางวันแสกๆหรอกนะ!
“ฟังเรื่องของข้าไปตั้งมากมาย ก็เป็นเช่นนี้หรือ?” ฉินเย่หานมองนาง ทันทีที่เขาเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าก็เต็มไปด้วยความหยอกล้อ
เมื่อเห็นใบหน้าเช่นนี้ ประกอบกับกิริยาท่าทางของเขาแล้ว ซูหลีเพียงรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นกระหน่ำ มีริ้วแดงระเรื่อแผ่ซ่านทั่วทั้งใบหน้า
จะมีคนแบบนี้ที่ไหนอีกกัน
นี่ไม่ใช่เขาสมัครใจจะเล่าให้นางฟังเองหรือ
ไยบัดนี้ถึงร้องขอคำตอบจากนางอีก!
“ฝ่าบาท! ทรงปล่อยข้าก่อน!” ซูหลีข่มความรู้สึกเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ นางพยายามลุกขึ้นจากร่างของเขา ทว่าท่อนแขนใหญ่ที่พาดอยู่ช่วงเอวของนางกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
นางเริ่มรู้สึกกลัดกลุ้มใจ นางถลึงตามองเขา ทว่ากลับพบกับดวงตาลุ่มลึกที่กำลังจับจ้องมาทางตนตาไม่กระพริบ
ซูหลีกับเขาสบตากันอยู่นาน ทว่าเขาไม่คิดที่จะโอนอ่อนให้กับนาง
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ?” หวงเผยซานที่อยู่ด้านนอกส่งเสียงเรียกขึ้น
โจวเว่ยเพิ่งไปส่งฉินมู่ปิงที่ตำหนักของฉินมู่ปิงและย้อนกลับมาหาฉินเย่หาน ดังนั้นแน่นอนว่าเขาจะต้องมีเรื่องสำคัญที่ต้องการรายงานฉินเย่หาน
ซูหลีไม่อยากจะเรื่องนี้ล่าช้าเพราะตนเอง ทว่าบุรุษที่อยู่ด้านหลังของตนกลับร้ายกาจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิยอมปล่อยมือนาง
ซูหลีจนปัญญาจะพูดกับเขาแล้ว นางมองหน้าหล่อเหลาของเขาไปพลาง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปพลาง สุดท้ายก็ยังพยายามไกล่เกลี่ย
นางรีบโน้มตัวเข้าไปแล้ว นางกดริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขาอย่างแนบแน่น
“จุ๊บ!” เสียงจุมพิตดังขึ้น! ทำให้หัวใจของคนที่ได้ยินถึงกับวูบไหว
“พอใจแล้วใช่หรือไม่”
ตอนที่ 1236 ส่งข่าวให้ฉินเฮ่า!
ซูหลีหันกลับไปถามเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
คิดไม่ถึงว่าหลังจากบุรุษผู้นี้ได้ยินแล้ว เขาจะเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ที่เหลือ หลังจากนี้คงต้องชดเชย”
ซูหลี…
ยังต้องชดเชยอีกหรือ
นางได้แต่ด่าฉินเย่หานในใจ ช่วงนี้ฉินเย่หานนับวันยิ่งทำเกินกว่าเหตุเกินไปแล้ว!
“ให้เขาเข้ามาเถิด” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด กลับได้ยินฉินเย่หานเอ่ยขึ้น นางรีบดึงสติกลับมา แล้วรีบลุกขึ้นจากท่อนขาของฉินเย่หานอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อให้ตนเองดูปกติที่สุด
ที่นางไม่ทราบก็คือเสื้อผ้าจะเรียบร้อยหรือไม่นั่นเป็นเรื่องรองลงมา ใบหน้าขวยเขินที่แดงระเรื่อดุจดั่งวสันตฤดู ขอเพียงคนผู้นั้นมีดวงตามองนางอยู่สองปราดก็จะเดาได้ว่าครู่นี้นางกับฉินเย่หานกระทำเรื่องอันดีอะไรบ้าง
“พ่ะย่ะค่ะ” หวงเผยซานที่อยู่ด้านนอกขานรับ ซูหลีเงยหน้าขึ้นอีกคราก็พบกับโจวเว่ยที่สวมหมวกเหล็กและเสื้อเกราะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เขาก้มหน้าก้มตาคล้ายกับมิได้สังเกตเห็นซูหลีที่อยู่ด้านข้างมิปาน เขาเพียงก้มศีรษะทำความเคารพฉินเย่หาน
“ลุกขึ้น” ฉินเย่หานมีสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก ความเยือกเย็นที่ปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลามาโดยตลอดของเขามาโดยตลอดนั้น ช่างแตกต่างกับท่าทีที่เสเพลยามอยู่ต่อหน้าซูหลีโดยสิ้นเชิง
ซูหลียกมุมปากขึ้น อดไม่ได้ที่จะตำหนิเขาอยู่ในใจ
เขาเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็วโดยแท้!
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมส่งตัวซื่อจื่อกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” โจ่วเว่ยลุกขึ้นยืนจากนั้นจึงรายงานเรื่องที่ตนไปจัดการมา
“อืม มีความผิดปกติหรือไม่” ฉินเย่หานด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่จู๋ซย่าผู้ซึ่งเป็นข้ารับใช้ข้างกายซือจื่อกล่าวว่า จะไปเข้าเฝ้าไทเฮาเหนียงเหนียงแทนซื่อจื่อ ทหารเหล่านั้นไม่รู้ว่าควรปล่อยเขาไปหรือไม่”
ไปเข้าเฝ้าไทเฮาเหนียงเหนียงหรือ
ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่เขานำเรื่องที่เขาถูกกักบริเวณไปรายงานต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาหรือ
ทว่าไทเฮาจะสามารถทำอะไรได้กัน เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ไม่ใช่เพียงพูดประโยคเดียวก็สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้
“ฝ่าบาท เรื่องนี้มัน…” โจวเว่ยไม่สามารถตัดสินใจเรื่องเช่นนี้ได้ ถึงได้ตัดสินใจมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยเฉพาะ
นี่ไม่ใช่การกักบริเวณธรรมดา เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีมากจนเกินไป หากทำตามความคิดของโจวเว่ยแต่เพียงผู้เดียวนั้นเขาคงมิให้ใครเข้าออกที่นั่น ทว่าตำแหน่งของฉินมู่ปิงแตกต่างออกไป เบื้องบนยังมีไทเฮาอีกคน เมื่อเขาคิดได้ดังนั้นจึงรีบมาถามความเห็นจากฉินเย่หาน
“ปล่อยเขาไปซะ” หลังจากฉินเย่หานได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาโดยไม่แม้แต่กระพริบตา
โจวเว่ยอ้ำอึ้งเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางฉินเย่หาน กลับเห็นสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกของเขา ทว่ากลับทำให้คนเกิดความนับถืออย่างยิ่ง
โจวเว่ยผงะไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากดึงสติกลับมาแล้วจึงเอ่ยว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างไรก็คอยเฝ้าเอาไว้ให้ดี นอกจากจู๋ซย่าแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าออกที่นั่น” สุดท้ายฉินเย่หานจึงถ่ายทอดคำสั่งด้วยเสียงเรียบเฉย หลังจากโจวเว่ยได้รับคำสั่งแล้ว จากนั้นจึงหมุนกายเดินออกไปจัดการเรื่องของตน
เรื่องเหล่านี้ปรากฏในสายตาของซูหลีหมดแล้ว นางไม่ค่อยเข้าใจความคิดของฉินเย่หานเท่าไรนัก และไม่เข้าใจว่าเขาทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน ทว่านางก็มิได้เอ่ยถามในทันที
บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างจะแปลกประหลาด ซูหลียังไม่มีท่าทีตอบสนอง ก็ได้ยินฉินเย่หานกล่าวว่า
“อั้นอี”
อั้นอีผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน พลันเหาะลงมาจากฟ้าแล้วเอ่ยว่า “นายท่าน”
ซูหลีถึงกับอ้ำอึ้งไป อั้นอีอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ เช่นนั้นคำพูดที่นางกับฉินเย่หานพูดคุยกันเมื่อครู่ รวมถึงการกระทำเมื่อครู่นั้น
ซูหลีรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ทว่านางก็รู้สึกว่านี่มันจะ…
“ให้คนทำเรื่องนี้ไปแจ้งจิ้งหนานอ๋อง” ฉินเย่หานเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชา
ซูหลีถึงกับสะดุ้งโหยง พลันมีปฏิกิริยาตอบโต้ในทันที
นี่เขาส่งข่าวเรื่องนี้ให้กับฉินเฮ่าหรือ
ฉินเย่หานต้องการกระทำสิ่งใดกัน
“พ่ะย่ะค่ะ!”