เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 565 บทกลอนทำนองดอกเหมย
งานชมดอกเหมยที่ดีครั้งหนึ่งต้องพังลงเพราะเจียงโม่อวี้ผู้นั้น!
อารมณ์ของซูหลีในเวลานี้ถือว่าไม่ค่อยดีนัก
นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็สั่งให้สาวใช้ทั้งสองคนขนาบซ้ายขวาเพื่อประคองขึ้นมา จากนั้นจึงเดินเข้าไปภายในบ้านพักตากอากาศของจี้ฉิน
คนของสำนักเต๋อซั่นเมื่อเห็นท่าทางของนางเช่นนี้ ก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้ ซูหลีมองค้อนอย่างไม่สบอารมณ์ ทว่าก็ทำได้เพียงถูกคนประคองไว้ จากนั้นนั่งลงมองพวกเรากระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาพทิวทัศน์ของบ้านพักตากอากาศหลังนี้ที่พบเห็นได้ยาก
ดอกเหมยที่มีเสน่ห์เย้ายวนในหิมะ ดอกไม้ช่อสีแดงและขาวผลิบานขึ้นบนกิ่ง เพียงมองไกลๆ ก็ทำให้ผู้ที่มองรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
ซูหลีนั่งภายในศาลาด้วยรอยยิ้มหยีไปถึงตา นางกวาดมองไปยังภาพทิวทัศน์นี้โดยรอบอย่างค่อนข้างพอใจ
เป็นเพราะทัศนียภาพตรงหน้านี้เป็นภาพที่หายาก ดังนั้นจึงทำให้คนแห่มาที่นี่ ยกเว้นบ้านพักตากอากาศซึ่งมีจี้ฉินเป็นเจ้าของ ด้านนอกของบ้านพักนี้มีพื้นที่หลายลี้ ทว่าจี้ฉินกลับไม่ห้ามให้คนนอกเข้ามา ดังนั้นก่อนที่พวกซูหลีจะมาที่นี่ ภายในสวนดอกเหมยที่อยู่ด้านนอกจึงมีคนเดินทางมาที่นี่หลายกลุ่มแล้ว
มิน่าเล่านางถึงพบเจียงโม่อวี้ที่นี่ จะว่าไปแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ส่วนใหญ่เป็นเพราะทั้งสองคนนั้นโชคไม่ดี เดิมคงจะคิดหาสถานที่ที่ไม่มีใครรับรู้เพื่อวางแผนร้าย ใครคิดว่าจะบังเอิญได้พบกับซูหลีที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องที่นี่กัน
“วันนี้เป็นโอกาสได้ยากที่ข้าจะอารมณ์ดี ข้าให้คนไปต้มสุราชิงเหมยมาให้ชิม” เมื่อเห็นว่าซูหลีนั่งใจลอย แตกต่างจากท่าทางสดใสร่าเริงเหมือนที่ผ่านมา จี้ฉินก็ถือสุราสองจอกนั่งลงที่ด้านข้างของซูหลี
“ยังจะดื่มสุราอยู่อีกรึ…” ซูหลีมองที่สุราสองจอกนั้นปราดหนึ่ง มุมปากกระตุกขึ้น จากนั้นถึงเอ่ยว่า “ขาของข้าล้มลงจนจะหักแล้ว ยังให้ข้าดื่มสุราอีก อีกสักครู่หากดื่มจนเดินไม่ไหวแล้ว ข้าจะพึ่งเจ้าแล้วนะ!”
จี้ฉินได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขากลับหมองหม่นลง เขากวาดตามองยังขาที่คลุมด้วยพรมขนอ่อนก่อน จากนั้นถึงเคลื่อนสายตาจับจ้องยังใบหน้าของซูหลี และเอ่ยอย่างจริงจังว่า
“หากเจ้าต้องการพึ่งพา ก็สามารถพึ่งพาข้าได้ทั้งชีวิต ข้าสมัครใจ!”
ทันทีคำพูดนี้จบลง ทั้งซูหลีและเขาก็อ้ำอึ้งไปพร้อมกัน
ซูหลีอดที่จะหันศีรษะมองเขาปราดหนึ่งไม่ได้ ดวงตาของนางทอประกายบางอย่างออกมา
จี้ฉินถูกนางใช้สายตาเช่นนี้จ้องมอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกแห้งกร้านในหัวใจ และพุ่งตรงเข้าไปเช่นนี้
“แค่ก! พี่จี้พูดล้อเล่นเก่งโดยแท้!” ซูหลีไอเสียงเบา บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนพลันแผ่ปกคลุมในห้องนี้ นางยกจอกชาบนโต๊ะขึ้นจิบหนึ่งอึก
จี้ฉินก็ไม่ได้มองหน้าต่อไปอีก สายตาสอดส่องไปมา อีกทั้งใบหน้าฉายแววแปลกประหลาด มีเพียงหัวใจเต้นรัวที่เขาไม่สามารถปิดบังได้
“มัวทำอะไรกันอยู่ นี่! วันนี้เป็นโอกาสอันหาได้ยากที่ได้ออกมาข้างนอกเสียที พวกเรานั้นเป็นปัญญาชน ถ้าอย่างนั้นประพันธ์บทกลอน ‘ทำนองดอกเหมย’ เพื่อเพิ่มความรื่นเริงกันดีหรือไม่!?” ท่ามกลางบรรยากาศแปลกประหลาดเล็กน้อยของทั้งสองคน หวงฮ่าวพลันพุ่งตรงเข้ามาจากด้านนอกพอดี และตะโกนอย่างใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
“หึ!” ทันทีที่ซูหลีเห็นท่าทางของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองค้อน
“ยังจะประพันธ์ ‘ทำนองดอกเหมย’ อีกหรือ หวงฮ่าว แม้แต่ตัวหนังสือเจ้าก็ยังจดจำได้ไม่ครบ บัดนี้ยังจะอยากเลียนแบบผู้อื่นโดยประพันธ์บทกลอนอะไร นี่เจ้ายังปกติดีหรือไม่”
ทันทีพูดจบ โดยรอบก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะลั่น
ซูหลีกล่าวว่าหวงฮ่าวยังจดจำตัวอักษรได้ไม่ครบ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พูดออกมาส่งเดช ทว่ามีครั้งหนึ่งหวงฮ่าวถูกอาจารย์สั่งให้อ่านบทความบทหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เขาอ่านจะอ่านผิดไปหลายคำ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เพียงแค่ครั้งเดียวก็กลายเป็นจุดอ่อนที่น่าหัวเราะทั้งสำนักเต๋อซั่นเสียแล้ว
ทว่าข้อเสนอแนะที่เขาแนะนำกลับแปลกประหลาดมาก คนของสำนักเต๋อซั่นไฉนจะเหมือนคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์ที่ใช้บทกลอนในการแสดงความรู้สึกกัน…