เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 599 ให้ทุกท่านลองชมก่อน / ตอนที่ 600 การสอบในท้องพระโรง
ตอนที่ 599 ให้ทุกท่านลองชมก่อน
คนอย่างซูหลีนี้ เอาเงินคนอื่นไปได้แล้วก็น่าจะพอ แต่ยังเอาเงินที่ได้มาโอ้อวดแถมขอบคุณทุกคนอีก!
นี่ออกจะ…
“ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่ด้วยความตั้งใจเช่นนี้ ในใจก็ครุ่นคิดว่าเกิดเป็นคนจะต้องไม่เห็นแก่ตัวจนเกินไป!”
ซูหลีพูดด้วยท่าทีขึงขัง ฉินมู่ปิงก็เลิกคิ้วมอง หรือว่าเขาจะแบ่งเงินใน**บเหล่านี้ให้ทุกคนที่นี่?
หากแบ่งให้กันขึ้นมาจริงๆ เรื่องนี้เกิดแพร่งพรายออกไปในวันหน้าก็ไม่น่าฟังนัก ที่ซูหลีได้เงินมาเยอะขนาดนี้นั้นก็ทำให้คนเสียหน้ามากพอแล้ว
“โบราณว่าไว้ มีความสุขเพียงคนเดียวจะสุขเท่าร่วมยินดีไปกับคนอื่นได้อย่างไร!” ซูหลียิ้มอย่างพออกพอใจ อย่าบอกนะว่าจะแบ่งเงินพวกนี้ให้ทุกคนจริงๆ
แต่ซูหลีวางแผนอะไรเอาไว้กันแน่?
ทำเอาสนุกหรือ? หรือว่างจนไม่มีอะไรทำ ถึงได้ใช้วิธีเช่นนี้นำเสนอตัวเอง?
บางทีซูหลีอาจดีใจที่สอบได้ฮุ่ยหยวนจนเสียสติ ถึงได้เฉลิมฉลองโดยวิธีเช่นนี้!?
ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่ก็ทำให้คนรู้สึกเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือซูหลีเสียสติไปแล้ว!
เพราะนอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้ว
“ดังนั้นวันนี้ข้าน้อยถึงได้ตั้งใจนำเงินที่ชนะพนันนี้มา ให้ทุกท่านเชยชม ดีใจไปด้วยกัน!” หน้าผู้คนที่อยู่อีกฝั่งเปลี่ยนสี แต่ใบหน้าซูหลีกลับเรียบสนิทนิ่งเฉยขณะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา
อะไรนะ!?
แปลว่าที่พูดมาเสียยืดยาวก็คือหอบเงินกองใหญ่มาให้พวกเขาดูแค่นั้นสิ!?
“…” ทุกคนล้วนพูดไม่ออก
หรือซูหลีคิดว่าตนเองอายุยืนเกินไป ดังนั้นถึงได้จงใจหาเรื่องให้คนเกลียดกระมัง!
“อย่างไรเสียในนี้ย่อมต้องมีเงินของทุกท่านแน่ พวกมันเป็นอย่างไร จะไปไหน จะอยู่อย่างไร พวกท่านก็ควรต้องรู้สักหน่อย” ซูหลียื่นมือออกมมาหยิบเงินก้อนหนึ่งใน**บและเอ่ยกับมันอย่างลึกซึ้ง
แต่คนรอบบริเวณมองท่าทางเช่นนี้ของเขา สีหน้าซีดเผือดและดำคล้ำสลับไปมา ใบหน้าเหมือนถูกสีต่างๆ ป้ายหน้า ไม่น่ามองยิ่งนัก
“เรียบร้อยแล้ว!” แต่ซูหลีกลับทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพียงโบกมือและเอ่ย “ปิด**บเถอะ ทุกคนได้เห็นสิ่งควรเห็นกันหมดแล้ว”
จากนั้น**บใส่เงินจำนวนสิบกว่ากล่องนั้นก็ถูกปิดลงในทันที
“ข้าน้อยคงไม่อยู่นาน ทุกท่านเชิญดื่มกินกันให้สบายเถอะ!” ซูหลีประสานมือทำความเคารพฝ่ายตรงข้าม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินหายลับไปจากครรลองสายตาพร้อมกับองครักษ์สิบกว่าคน ไม่สิ ต้องบอกว่า**บที่บรรจุเงินหลายสิบ**บต่างหาก
“…” กลุ่มคนยังคงไม่รู้ว่าควรจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
ดังนั้นการที่อีกฝ่ายมาคราวนี้เพื่อให้พวกเขาเห็นเงินที่เสียไปของตนเอง จากนั้นก็จากไป!
ใช่! จากไปทั้งเช่นนี้!
ก่อนไปยังบอกให้พวกเขาดื่มกินให้สนุกสนาน แต่ก็ไม่ได้ทิ้งเงินทองใดๆ เอาไว้ ไม่สิ กระทั่งเศษเหรียญยังไม่ทิ้งไว้แล้วจากไป!
ซูหลีคนนี้เสียสติจริงๆ!
ในเสี้ยววินาทีนั่นเองพวกคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะของสำนักฉยงสือก็สบถคำหยาบคายในใจ
ไม่ใช่ว่าพวกเขาหยาบคายแต่ซูหลีคนนี้ทำให้คนหงุดหงิดจนกัดฟันกรอด!
น่ารังเกียจเสียจริงๆ!
แต่ว่าซูหลีที่โดนรังเกียจแสดงละครต่อหน้าคนพวกนี้แล้ว ก็หอบเอาของกลับบ้านบ้าน แต่คนที่กลับมาถึงพร้อมกับนางยังมีคนที่พากันมาแสดงความยินดีกับนางด้วย!
หลังจากที่นางจากไปแล้ว ฉินมู่ปิงก็ยังคงจ้องแผ่นหลังของนางอยู่เนิ่นนาน
ตอนที่ 600 การสอบในท้องพระโรง
ดูผ่านๆ คงเหมือนว่าซูหลีทำตัวเหลวไหล และนางก็ทำเช่นนั้นจริง แต่ฉินมู่ปิงมักรู้สึกเสมอว่าใน**บจำนวนนับสิบนี้ทำให้ซูหลีทำท่าเย่อหยิ่งได้ ถ้าบอกว่านางไม่มีแผนการอะไร ฉินมู่ปิงไม่มีทางเชื่อแน่
แต่นางทำเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร?
คงจะไม่ใช่แค่เพราะอยากจะป่าวประกาศบอกคนอื่นว่ามีเงินมากหรอกกระมัง?
……
ซูหลีที่ร่ำรวยเงินทองหอบ**บใส่เงินเหล่านั้นกลับบ้าน ให้คนดูแลรักษาเรียบร้อยแล้วจึงกลับไปที่เรือนของตนเอง ไม่รู้ว่าไปก่อเรื่องอะไรอีก
เพราะการสอบหน้าพระพักตร์กำลังจะเริ่มขึ้น ซูไท่เองก็ไม่กล้าไปรบกวน ทำได้เพียงส่งคนไปถามว่ามีอะไรที่ต้องการหรือไม่ แต่ซูหลีกลับตอบว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น
นางบอกว่าไม่ต้อง ซูไท่เองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก จึงทำได้เพียงนิ่งเฉยเสีย
เพียงพริบตาก็ถึงวันที่ต้องไปสอบแล้ว
พูดไปแล้วการสอบเคอจวี่คราวนี้ควรจะเป็นการสอบเคอจวี่ครั้งแรกตั้งแต่ที่ฉินเย่หานขึ้นครองราชย์มา และเป็นการสอบครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีนี้
ในช่วงปีหลังๆ ก่อนสิ้นราชกาลของฮ่องเต้องค์ก่อน ทำให้ไม่สามารถจัดการสอบเคอจวี่เป็นระยะเวลาห้าหกปี จนได้จัดขึ้นหนึ่งครั้งในปีสุดท้ายของรัชสมัย ซึ่งทำให้พวกจี้ฉินได้เข้ารับราชการ
แต่ว่า…
การสอบเคอจวี่ครั้งนั้นทำให้เกิดเรื่องไม่งามขึ้น ถึงแม้หลังจากนั้นจะมีการพยายามทำให้เรื่องสงบลงแต่การสอบคราวนั้นก็ส่งผลกระทบไม่น้อยเลย
ดังนั้นหากนับกันขึ้นมาจริงๆ การสอบเคอจวี่ในปีนี้ถือได้ว่ายุติธรรมละเป็นทางการที่สุดแล้ว
ฮ่องเต้ทรงถ่ายทอดกระแสรับสั่งแล้ว และให้จับตามองอย่างเข้มงวด ใครฝ่าฝืนคำสั่งต้องโดนลงโทษ!
คราวนี้จึงไม่มีใครกล้าสงสัยความยุติธรรมในการสอบครั้งนี้อีก ดังนั้นต่อให้คนเหลวไหลอย่างซูหลีจะสอบได้ฮุ่ยหยวน คนจำนวนมากก็ต้องเชื่อว่าซูหลีสอบได้ด้วยตนเองอยู่ดี!
การสอบหน้าพระพักตร์นี้ต่างจากการสอบการสอบชุนเหวยและชิวเหวย สถานที่สอบนั้นคือตำหนักอวิ๋นเซียวในวังหลวง คนไปสอบก็มีเพียงแค่สิบคนเท่านั้นเอง
ซูหลีมาถึงแต่เช้า และถูกขันทีในวังนำทางไปยังตำหนักอวิ๋นเซียว
นางมาไม่เช้าไม่สาย แต่คนที่เข้าร่วมสอบพร้อมนางมาถึงกันแทบครบแล้ว
ซูหลีกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าคนเข้าสอบพร้อมกันคราวนี้ ค่อนข้างสูงวัย ดูไปแล้วล้วนแต่มีอายุสามสิบกว่าทุกคน นางก้าวออกไปยืนด้านหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
นางลูบจมูกและไม่พูดไม่จา เหลือบตามองก็เห็นคนคุ้นเคยเดินมา บนหน้านางก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มทันที
“พี่เซี่ย!” ซูหลีเรียกเซี่ยอวี่เสียน
“อาหลี” เซี่ยอวี่เสียนชะงักฝีเท้า จากนั้นจึงเดินมาหาซูหลี
ทันทีที่พวกเขาสองคนเปิดปากพูดคุยกัน ก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบๆ บริเวณทันที
ไม่มีสาเหตุอื่นใดอีก เห็นจะมีแต่ซูหลีและเซี่ยอวี่เสียนเท่านั้นที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้เข้าสอบคราวนี้ ทันใดนั้นเองคนรอบบริเวณก็กลายเป็นไม้ประดับ พวกเขาโดดเด่นจนเป็นเป้าสายตาเกินไปจริงๆ
“ไม่เจอกันตั้งนานพี่เซี่ยสบายดีหรือไม่?” ซูหลีมองเซี่ยอวี่เสียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางเองก็รู้ว่าเซี่ยอวี่เสียนเข้าสอบด้วย เพราะการสอบชุนเหวยคราวก่อน นางได้ที่หนึ่ง เซี่ยอวี่เสียนได้ที่สอง
เรื่องนี้ทำตกเป็นหัวข้อพิพาทอยู่ไม่น้อย เพราะในการสอบสองครั้ง เซี่ยอวี่เสียนตกเป็นรองซูหลีเสมอ โดนซูหลีบีบบังคับให้กลายเป็นรองอยู่เสมอ สมญานามอัจฉริยะลำดับหนึ่งในเมืองหลวงนี้ย่อมตกเป็นขี้ปากคน
ซูหลีฟังแล้วก็ไม่กล้าจะช่วยแย้งอะไร หากนางเสนอตัวออกมาปกป้องเซี่ยอวี่เสียน ตามนิสัยคนพวกนี้แล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปบอกต่อจนกลายเป็นเรื่องอะไร
นางเห็นเซี่ยอวี่เสียนเป็นสหายย่อมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น