เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 601 แววตาร้อนแรง / ตอนที่ 602 เป็นฮ่องเต้อย่าทรงใจแคบไปหน่อยเลย
- Home
- เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ
- ตอนที่ 601 แววตาร้อนแรง / ตอนที่ 602 เป็นฮ่องเต้อย่าทรงใจแคบไปหน่อยเลย
ตอนที่ 601 แววตาร้อนแรง
“อาหลี…”
“ฝ่าบาทเสด็จ!” ในตอนเซี่ยอวี่เสียนกำลังจะเปิดปากเอ่ย ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีเสียงขันทีดังขึ้น
ซูหลีสบตาเขาครู่หนึ่ง ทั้งสองชะงักนิ่งไปพร้อมกัน จากนั้นจึงคุกเข่าลงพร้อมกับผู้เข้าร่วมสอบทุกคนทันที
“ลุกขึ้น!” ชายภูษาสีเหลืองสะบัดผ่านหน้าซูหลีไป นางจ้องด้วยแววตานิ่งชะงัก ส่วนฉินเย่หานนั้นเดินไปบนบัลลังก์ในตำหนักอวิ๋นเซียวและทรุดตัวนั่งลง
ซูหลีลุกขึ้นยืน หลุบแววตา ทำเหมือนตนเองไร้ตัวตน
หลายเดือนมานี้นางไม่พบหน้าใคร รวมไปถึงฮ่องเต้ด้วย
ซูหลีเป็นคน แต่นางเองก็เป็นผู้หญิง มีสัมผัสที่หกและลางสังหรณ์ของผู้หญิง นางรู้สึกว่าฉินเย่หานทรงผ่อนคลายกับนางทุกที ซึ่งนี่สำหรับนางแล้วไม่ถือเป็นเรื่องดี ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงหลบหน้าเขาแทน
แต่วันนี้หลบหน้าไม่ได้จริงๆ!
อีกทั้งนางเองก็ตะขิดตะขวงใจไม่น้อยเลย นางยังไม่ลืมยามเจอฮ่องเต้เมื่อครั้งก่อน คำพูดที่ทรงเตือนนาง หากวันนี้ฉินเย่หานเอาคืนวันนี้ จนทำให้นางสอบตกล่ะก็นั่นสิถึงจะแย่จริงๆ…
“ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ล้วนแต่เป็นนักปราชญ์ เราปลาบปลื้มใจจริงๆ…” เสียงเล็กแหลมของหวงเผยซานดังกึกก้องทั่วตำหนักอวิ๋นเซียว ซูหลีชะงักนิ่งงัน เปิดเปลือกตาน้อยๆ และมองไปที่ตำหนัก
พอนางมองไป ก็สบประสานสายตาเข้ากับดวงตาดำสนิทราวบ่อลึกพอดี ใจซูหลีเต้นระรัวเร็ว รีบร้อนหลุบสายตาตนเองก้มศีรษะลงอีกครั้ง
ในตำหนัก ดวงตาฉินเย่หานไม่ละสายตาจากนางแม้แต่น้อย นี่ก็ออกจะ…
หวงเผยซานประกาศพระบรมราชโองการเรียบร้อยแล้วก็มีขันทีท่าทางหลักแหลมสองคนตั้งโครงขาตั้งขนาดใหญ่ ด้านบนขาตั้งนั้นแขวนม้วนกระดาษเอาไว้ซึ่งเป็นเนื้อหาที่จะต้องสอบในวันนี้
การสอบนี้ไม่เพียงแต่ทดสอบความสามารถในการเขียนเรียงความ ยังทดสอบความสามารถในการตอบคำถามของพวกเขา
ในตอนนี้ซูหลีถึงได้สังเกตเห็นในตำหนักอวิ๋นเซียว นอกจากฉินเย่หานแล้วยังมีขุนนางคนอื่นยืนอยู่ด้วย แต่เพราะพวกเขาก้มหน้าก้มตาไม่ส่งเสียงอะไร จึงไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความน่าเกรงขามของฉินเย่หาน
พรึ่บ! ในตอนที่ซูหลียังสับสนอยู่นั้นเอง กระดาษคำถามก็ถูกเปิดออก
นางเหลือบตามอง ด้านบนนั้นเขียนอักษรขนาดใหญ่สามตัว
หลักธรรมของข้าราชบริพาร
ซูหลีตัวแข็ง ข้อสอบของฉินเย่หานนั้นง่ายอย่างมาก แต่เมื่อย้อนคิดอย่างละเอียดกลับพบว่าไม่ง่ายอย่างที่เห็น เพราะเขาให้คำจำกัดความมาไม่กี่คำ และไม่ได้ให้ขอบเขตมา จึงทำให้ตอบคำถามได้ยากเมื่อเจอกับหัวข้อที่กว้างขนาดนี้
คนข้างกายนางเองก็ย่อมมีความคิดเช่นเดียวกัน
จากนั้นหวงเผยซานจึงยกกระถางธูปทองคำแปดขาใบหนึ่งมา ในกระถางธูปปักก้านธูปเล็กๆ เอาไว้
“การสอบหน้าพระพักตร์ในราชวงศ์ต้าโจวปีที่สี่สิบเจ็ด เริ่มได้!” เมื่อหวงเผยซานเอ่ยจบ คนรอบบริเวณต่างเดินไปยังที่นั่งที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ และก้มหน้าก้มตาเขียนกันทันที
ซูหลีช้ากว่าคนอื่น นั่งลงเป็นลำดับสุดท้าย
นางมักรู้สึกได้ถึงแววตาร้อนแรงที่ไม่อาจมองข้ามได้จ้องตามนางมา ทำให้นางกระวนกระวายใจ จนช้าไปกว่าคนอื่นๆ
จนนางนั่งลงแล้วสายตาคู่นั้นก็ยังไม่ยอมเลิกรา
ยังเอาแต่จดจ้องนาง!
ซูหลีสูดลมหายใจเข้าปอดลึกปิดเปลือกตาลง พยายามบังคับตนเองไม่ให้ไปใส่ใจแววตาจาบจ้วงนั่น ครู่หนึ่งจึงเริ่มลืมตาและลงมือเขียนหนังสือ
ทันทีที่จรดพู่กันลงก็ไม่หยุดเขียน ลงมือเขียนจนเสร็จในคราวเดียว!
ตอนที่ 602 เป็นฮ่องเต้อย่าทรงใจแคบไปหน่อยเลย
เมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ก็มีขันทีท่าทางหลักแหลม เก็บกระดาษคำตอบของพวกเขาส่งให้หวงเผยซาน แล้วหวงเผยซานจะเป็นคนนำขึ้นทูลเกล้าฮ่องเต้อีกที
ซูหลีเก็บพู่กัน ชันกายลุกขึ้นยืน มองนางกำนัลและขันทีเก็บโต๊ะเขียนคำตอบอย่างรวดเร็ว
ซูหลีเหลือบตามอง พลันประสานสบตาเข้ากับเซี่ยอวี่เสียน พวกเขาสองคนสบตากันด้วยใบหน้าเรียบเฉย
แต่ที่จริงเป็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น แต่ในส่วนที่ซูหลีมองไม่เห็นนั้น มือเซี่ยอวี่เสียนกำเข้าหากันแน่น ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ ในตำหนักอวิ๋นเซียวกว้างอย่างยิ่ง ลมในยามวสันต์พัดเข้ามาจนหลังเย็นวูบ
การสอบหน้าพระพักตร์ไม่ใช่การสอบทั่วไป อนาคตภายหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับวันนี้ทั้งสิ้น
ในใจซูหลีรู้สึกตึงเครียดอยู่บ้าง แต่ความกังวลของตัวนางนั้นแตกต่างกับผู้อื่น นางกังวลใจว่าตนเองหลบหน้าพระองค์มานาน อาจจะทรงใช้เรื่องนี้เอาคืนนาง
ตึก ตึก ตึก! เสียงประหลาดดังลอยมาจากด้านข้าง ทำให้ซูหลีเหลือบมองอย่างเผลอไผล ก็เห็นบุรุษผู้ไว้หนวดโค้งงอนในชุดสีเทาอ่อน ร่างกายสั่นเทิ้ม
ใบหน้าซีดเผือด ราวกับจะเป็นลมสลบไสลได้ทุกเมื่อ
ซูหลีชะงักเล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้
“เซี่ยอวี่เสียน” และในขณะนี้เอง ฉินเย่หานที่อยู่บนพระที่นั่ง จู่ๆ ก็ทรงเรียกหา
“พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยอวี่เสียนสาวเท้าออกไปด้านหน้า
ฉินเย่หานส่งม้วนกระดาษคำตอบในมือให้หวงเผยซาน แล้วหวงเผยซานจึงส่งต่อไปให้บรรดาข้าหลวงที่ยืนอยู่ด้านล่างอ่านต่อกันเป็นทอดๆ
เขาอ่านกระดาษคำตอบของทั้งสิบคนหมดแล้ว ที่เรียกหาในตอนนี้เพราะมีคำถามอยากจะถาม
การสอบหน้าพระพักตร์คราวนี้ต่างจากอดีตอย่างมาก เขียนคำตอบได้ดี ยังต้องตอบคำถามได้ดี ถึงจะโดดเด่น
แน่นอนว่าที่นี่มีทั้งหมดสิบคน แต่ฮ่องเต้คงไม่ตรัสถามหมดทุกคน
หลังจากเซี่ยอวี่เสียนแล้ว เขาก็ขานชื่ออีกคนหนึ่งขึ้นอีก ซูหลีมองไปที่บุรุษหนวดโค้งงอนผู้นั้นที่ตัวสั่นเทาข้างกายนางสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้า
“พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นก้าวเท้าไปด้านหน้า แต่พอฟังคำถามจากฉินเย่หานแล้วกลับอ้ำๆ อึ้งๆ พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน พลันแข้งขาอ่อน แล้วเป็นลมสลบลงไป
“เร็วเข้า รีบตามหมอหลวงมา! พาเขาไป!” หวงเผยซานได้สติกลับมาอย่างรวดเร็วเขาเรียกองครักษ์รูปร่างกำยำหลายคนเข้ามายกตัวบุรุษผู้นี้ออกไป
“จิ๊ น่าสงสารนัก” ซูหลีแอบได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านข้าง
ในสายตาคนเหล่านี้ คนผู้นี้น่าสงสารจริงๆ ตรากตรำร่ำเรียนสิบกว่าปี กว่าจะมีวันนี้ไม่ง่ายเลย แต่กลับสลบต่อหน้าพระพักตร์ เท่ากับว่าเขาเสียโอกาสไปอย่างเปล่าประโยชน์!
และนี่ก็คือความเ**้ยมโหดของการสอบขุนนางเคอจวี่
ซูหลีจ้องมอง หลุบตาลงไม่พูดจา
หัวข้อการสอบวันนี้คือเรื่องหลักธรรมของขุนนาง หนึ่งในเงื่อนไขที่ข้าราชบริพารพึงมีนั้นคือต้องสามารถพูดจาต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ได้ ไม่ต้องถึงกับพูดได้ไหลรื่น แต่ถ้าขนาดพูดให้จบประโยคยังทำไม่ได้
เกรงว่าต่อให้คนผู้นี้เก่งกาจขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์
ยามเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรงพวกเขาไม่ได้เพียงต้องฟังเท่านั้น แต่หลายครั้งหลายคราวที่ขุนนางต้องพูด ส่วนโอรสสวรรค์เป็นผู้ฟัง
ดังนั้นถึงได้มีธรรมเนียมที่ฮ่องเต้ทรงซักถามเช่นนี้
จากนั้น…
ฉินเย่หานก็ถามต่ออีกสามคน
แต่ก็ไม่ได้ทรงถามซูหลี
อีกอย่างดูจากท่าทางฮ่องเต้แล้ว หลังจากถามทั้งสามคนแล้วก็เหมือนจะไม่ทรงตรัสอีก
ซูหลี…
เป็นถึงฮ่องเต้อย่าทรงใจแคบเลยได้ไหม?
มีเรื่องอะไร พวกเราแก้ไขเป็นการส่วนตัวไม่ได้หรือ?
จะต้องเมินเฉยใส่นางในยามสำคัญเช่นนี้ให้ได้เลยหรือไร!
“ฮ่องเต้ทรงตรัสถามเรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าทุกท่านมีคำถามใดอยากถามหรือไม่?” หวงเผยซานเห็นท่าทีของนายเหนือหัวจึงเอ่ยออกมา
ทางด้านนั้นหวงเผยซานได้เห็นท่าทีของฝ่าบาทแล้ว