เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 661 คิดไม่ถึง / ตอนที่ 662 ยังมีหลักฐาน
ตอนที่ 661 คิดไม่ถึง
ในใจเขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ทว่าเขาไม่สามารถทำอะไรกับซูหลีได้
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดกลั้นเพลิงโทสะไว้ เขาหมุนกายพยายามบังคับให้ตนเองเย็นลง จากนั้นเอ่ยกับฉินเย่หานที่ไม่ปริปากพูดอะไรมาโดยตลอดว่า
“ทูลฝ่าบาท หากบุตรของกระหม่อมกระทำเรื่องเช่นนี้จริง กระหม่อมไม่มีทางจะให้อภัย จักต้องลงโทษเขาอย่างเฉียบขาด ทว่าในใจของกระหม่อมมีเรื่องสงสัย หวังว่าใต้เท้าซูกับแม่ทัพลู่จะสามารถตอบคำถามได้อย่างละเอียด!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเย่หานจึงตวัดสายตามองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น และเอ่ยว่า “ถามมา”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หลังจากเฉิงเหว่ยได้รับคำอนุญาตจากฉินเย่หาน เขาก็หมุนนกายจ้องมองที่แม่ทัพลู่ แล้วเอ่ยว่า “ขอถามแม่ทัพลู่ ท่านกล่าวว่าบุตรของข้าข่มเหงบุตรีของเจ้า ทว่าจากที่ข้าทราบมา บุตรีของท่านอยู่ข้างกายท่านตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังมีพลังยุทธ์”
“บุตรชายของข้าร่างกายอ่อนแอ เขาจะสามารถทำให้บุตรีที่เก่งกาจของท่านอ่อนแรงได้อย่างไรกัน?!” เฉิงเค่อนั้นพอจะขี่ม้าและยิงธนูเป็นบ้าง ทว่าไม่ได้ฝึกยุทธ์ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เฉิงเหว่ยอธิบายอะไรมาก
แม้แต่คนที่คุ้นเคยกับเฉิงเค่อ ก็ล้วนจะพูดออกมาเช่นนี้
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ลู่เหมียนเหมียนกลับมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนักในเมืองหลวง ล้วนกล่าวว่านางกล้าหาญไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป เรื่องเหล่านี้ทุกคนล้วนเคยได้ยิน
“อีกทั้ง! แม่ทัพลู่อย่าได้โทษว่าคำพูดข้าน้อยจะไม่ลื่นหูเท่าไหร่นัก ทว่าข้าน้อยจำได้ว่าบุตรีของท่านนั้นมีความสนใจต่อบุตรของข้ามาโดยตลอด นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งเมืองหลวงล้วนทราบดี ทุกท่านคงยังจะไม่ทราบว่า บุตรชายของข้าใกล้จะหมั้นหมายแล้ว ทว่าลู่เหมียนเหมียนผู้นั้นกลับมีใจชื่นชมต่อบุตรของข้ามาโดยตลอด หากนางรู้เรื่องหมั้นหมายของบุตรของข้า คงยากจะรับประกันได้ว่านางจะกระทำเรื่องอะไรขึ้นมา…”
“เฉิงเหว่ย!” คำพูดของเฉิงเหว่ยสามารถกระตุ้นความโกรธของแม่ทัพลู่ได้ในชั่วพริบตา
ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด[1] วาจาคำรบนี้ของเฉิงเหว่ยทำเรื่องที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนนี้บิดเบือนจนกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากอิงจากคำพูดของเขา นั่นหมายความว่าเป็นเพราะความรักที่ลู่เหมียนเหมียนมีต่อเฉิงเค่อแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น ดังนั้นถึงได้กระทำเรื่องนี้ออกมา เพื่อต้องการใส่ร้ายป้ายสีเฉิงเค่อ!
แม่ทัพลู่จะไม่โมโหได้อย่างไรกัน! เขาโมโหจนสีหน้าแดงก่ำไปหมด จากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงฮ่องเต้ที่ประทับอยู่เบื้องบน เกรงว่าเขาคงถลันเข้าไปตีเฉิงเค่อแล้ว
“แม่ทัพลู่อย่าโมโหเลย” สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือคนที่ออกมาปลอบใจแม่ทัพลู่กลับเป็นซูหลี
ซูหลีดึงร่างของแม่ทัพลู่เอาไว้ จากนั้นใช้สายตาจ้องมองเขา
เรื่องวันนี้ หลังจากที่ซูหลีส่งลู่เหมียนเหมียนกลับจวน นางก็ปรึกษากับคนสกุลลู่จนได้ผลออกมา
ที่จริงเรื่องนี้พูดออกมาแล้ว ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับลู่เหมียนเหมียนเท่าไหร่นัก เรื่องนี้เมื่อถูกเผยแพร่ออกไปชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์
เกรงว่าในสายตาของคนในเมืองหลวงนั้น จะไม่มีใครไปสู่ขอลู่เหมียนเหมียนอีก
ทว่าคนสกุลลู่นั้นล้วนเป็นคนมุ่งมั่นมาก พวกเขามุ่งมั่นที่จะทำให้เรื่องนี้เปิดเผยออกมา
ซูหลีไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่มีสิทธิ์ในการเปิดเผยเรื่องนี้ นางจึงสอบถามความคิดเห็นของคนสกุลลู่ วันนี้เรื่องถึงได้เป็นเช่นนี้
ทว่านางสามารถเข้าใจความรู้สึกของคนสกุลลู่ดี ลู่เหมียนเหมียนเกือบจะประสบกับเรื่องเช่นนี้แล้ว เดิมทีก็ทำให้คนสกุลลู่โมโหแล้ว กอปรกับพ่อลูกสกุลเฉิงนี้ไม่ใช่คนดีอะไรนัก
เรื่องนี้หากพวกเขาไม่เผยอะไรออกมา เกรงว่าในใจของเฉิงเค่อผู้นั้นคงคิดว่าสกุลลู่หวาดกลัวเขา จึงอยากจะใช้จุดอ่อนในมือนี้ข่มขู่สกุลลู่ นั่นเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ที่แย่กว่านั้นคือ หากเฉิงเค่อผู้นี้อยากจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ อันดับแรกจักต้องปัดความผิดไปให้อีกฝ่าย เขาจึงนำเรื่องไม่ดีทั้งหมดซัดสาดไปที่ลู่เหมียนเหมียน ถึงเวลานั้นชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนก็จะถูกทำลาย
ทว่าเฉิงเค่อกลับไม่ได้รับการลงโทษอะไรทั้งสิ้น
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการนำเรื่องนี้เปิดเผยออกมา แม้จะทำให้ลู่เหมียนเหมียนได้รับความเจ็บปวด ทว่าอย่างไรก็สามารถจัดการกับเฉิงเค่อได้
เพียงแต่พวกเขาคาดคิดไม่ถึง…
——
[1] ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด เป็นการเปรียบเปรย หมายถึงคนที่มีอายุ ยิ่งมากประสบการณ์
ตอนที่ 662 ยังมีหลักฐาน
คิดไม่ถึงว่าสองพ่อลูกสกุลเฉิงจะเป็นคนไร้ซึ่งยางอายขนาดนี้
เรื่องดำเนินไปถึงบัดนี้แล้ว เฉิงเหว่ยผู้เป็นบิดายังสามารถสาดโคลนใส่ลู่เหมียนเหมียนซึ่งเป็นสตรีได้อีก
ในเวลานี้ในใจแม่ทัพลู่ทั้งเต็มไปด้วยความแค้นและเกลียดชัง ทั้งเต็มไปด้วยความดีใจระคนกัน
ดีใจที่ตนเองตัดสินใจเช่นนี้ ไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องเช่นนี้ หากปิดบังเรื่องนี้เกรงว่าผ่านไปไม่ถึงวัน ลู่เหมียนเหมียนคงจะกลายเป็นคนสตรีที่ปล่อยตัว สำส่อนไปแล้ว
ทว่าเฉิงเหว่ยที่อยู่ตรงหน้ากลับเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกกมา เขาควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี
แม่ทัพลู่เชื่อมั่นฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณพระองค์นี้ ทว่าก็รู้สึกร้อนใจ หากวันนี้อธิบายไม่ชัดแจ้งและเรื่องนี้ถูกลือออกไป เกรงว่าชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนจะจบสิ้นแล้วจริงๆ
แม้ในเวลานี้มีชื่อเสียงไม่น่าฟัง ทว่าเมื่อเปรียบกันแล้วยังดีกว่าต้องขึ้นชื่อว่าเป็นคนโหดเ**้ยม มีแผนการที่ไม่อาจคาดคะเนได้!
“ใต้เท้าเฉิง” แม่ทัพลู่ชะงักไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ทว่าซูหลีกลับลุกขึ้นยืน
ใบหน้านางประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าในดวงตากลับไม่ปรากฏรอยยิ้มไปด้วย แต่กลับมีประกายเย็นชา นางมองที่เฉิงเหว่ยแล้วพลันเอ่ยว่า
“ใต้เท้าเฉิงเป็นถึงผู้บังคับบัญชาศาลต้าหลี่ หรือแม้แต่ยาที่ทำให้หลงเสน่ห์ก็ยังไม่รู้จักหรือ ช่างทำให้คนสงสัยโดยแท้ว่า หลายปีมานี้ใต้เท้าเฉิงจัดการเรื่องคดีได้อย่างไรกัน!” ขณะที่ซูหลีพูด ใบหน้านั้นดูเฉยเมยเป็นอย่างมาก
ทว่าความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดประโยคนี้ ทำให้เขาอดกลัวจนตัวสั่นไม่ได้
เฉิงเหว่ยเพียงเอ่ยว่าลู่เหมียนเหมียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทว่าซูหลีกลับพูดเกินเลยว่า เฉิงเหว่ยละเลยต่อหน้าที่ มิได้ทำหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาศาลต้าหลี่!
สีหน้าของเฉิงเหว่ยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อครู่เขาอยากที่จะอธิบายอะไรออกมา ทว่ากลับเห็นซูหลีดึงสิ่งบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อของตนเอง
“ฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมพบบนร่างของคุณชายเฉิง ผงคลายเส้นเอ็นอีกทั้งยังมี…” ซูหลีผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบของออกมาจากเสื้ออีกครั้งและเอ่ยว่า
“นี่เป็นใบสั่งยาที่จางย่วนพั่น[1]ตรวจอาการให้กับคุณหนูลู่ หากจำมิผิดวันนี้เป็นวันที่จางย่วนพั่นประจำการอยู่ ฝ่าบาทสามารถเรียกจางย่วนพั่นมาสอบถามได้พ่ะย่ะค่ะ”
ในที่แห่งนั้นพลันตกอยู่ในความเงียบงัน…
ซูหลีผู้นี้…
นางกล่าวว่ามีแต่พยานบุคคลหรือ
ทุกคนต่างพากันตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่านางยังเตรียมวิธีการอีกทางหนึ่ง ดังนั้นเรื่องทั้งหมดล้วนเตรียมการรอเอาไว้หมดแล้ว คล้ายกับรอให้สองพ่อลูกตระกูลเฉิงติดกับเรื่องนี้
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังให้หมอหลวงเขียนใบสั่งยาเอาไว้อีก
ในใบสั่งยานั้น เกรงว่าเรื่องในวันนี้แม้เฉิงเหว่ยจะแก้ต่างให้กับบุตรเพียงใดก็ตาม ก็คงไม่มีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นเชื่อคำพูดทั้งสิ้น
ดวงตาของหวงเผยซานกวาดตามองอยู่ปราดหนึ่ง และมีขันทีผู้น้อยที่เฉลียวฉลาด เข้าไปรับของในมือทั้งสองข้างของซูหลีเอาไว้
“เมื่อวานตอนที่ช่วยเหลือแม่นางลู่เอาไว้ สีหน้าของนางดูไม่ดีเท่าไรนัก กระหม่อมคิดว่านางคงได้รับบาดเจ็บ สกุลลู่ถือว่าเรือนของสกุลลู่ตั้งอยู่ตรงถนนใหญ่ในเขตทางใต้ของเมืองหลวง เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านของจางย่วนพั่น”
“เพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ กระหม่อมจึงเชิญจางย่วนพั่นมาตรวจอาการให้กับคุณหนูลู่ หลังจากจางย่วนพั่นได้ตรวจชีพจรของแม่นางลู่แล้ว ก็เอ่ยว่าแม่นางลู่ได้ถูกพิษจากผงคลายเส้นเอ็น ใบสั่งยานั้นได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว อีกทั้งยังมีชื่อของจางย่วนพั่นเขียนอยู่ ฝ่าบาททรงโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ตุบ! ทันทีที่ซูหลีเอ่ยจบ คนโดยรอบยังไม่ได้มีท่าทีตอบโต้อย่างใดๆ เฉิงเค่อที่คุกเข่าและไม่พูดไม่จามาโดยตลอด สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นก็ทรุดตัวนั่งลงไปที่พื้น บนใบหน้าซีดเผือดจนไม่มีสีเลือด
ท่าทางของเขานี้ จะมีใครมองไม่ออกอีก!
“ทูลฝ่าบาท” หลักฐานเหล่านั้นถูกส่งไปตรงหน้าฉินเย่หาน ฉินเย่หานมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นแล้วกวาดตามองไปทางซูหลี จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“เฉิงเค่อ เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
นี่เขากำลังจะคาดโทษเฉิงเค่อแล้ว!
เกิดการพลิกผันไปจนยากจะคาดเดา ทุกคนในที่นี่มองแล้วล้วนอ้ำอึ้ง
ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับจุดจบของเฉิงเค่อแล้ว
——
[1] ย่วนพั่น เป็นชื่อเรียกตำแหน่งขุนนางขั้นที่หก ของหมอหลวงในสำนักหมอหลวงของราชสำนัก