เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 667 สารพิษ / ตอนที่ 668 ตรวจอาการ
ตอนที่ 667 สารพิษ
คำตอบย่อมเป็นประโยคปฏิเสธ เฉิงเค่อสามารถสอบผ่านการสอบขุนนางได้ จะดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนเสียสติ
เช่นนั้นก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น…
ซูหลีกวาดสายตามองจี้เหิงหรานอย่างเฉยเมยปราดหนึ่ง นางกลับไม่ถือสาอะไรกับเขาอีก เพียงค่อยๆผงกศีรษะและเอ่ยว่า “ที่ใต้เท้าจี้กล่าวมานั้นมิผิด นอกเสียจากคนผู้นี้จะไม่มีสติหรือตื่นเต้นในเวลานั้น สภาพเช่นนี้มีผลกระทบถึงเขาโดยตรง อย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถแยกแยะเบื้องหลังของเรื่องนี้ได้”
“เขาเพียงอาศัยอุปนิสัยของตนเองในเวลานั้นไปกระทำเรื่องต่างๆ”
ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกมา เหล่าขุนนางก็ตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาจำต้องเห็นด้วย คำพูดของซูหลีนั้นมีเหตุผลเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะคนที่รู้จักเฉิงเค่อ ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดออกมานั้นถูกต้อง
ในเวลานี้เซี่ยอวี่เสียนก็รู้สึกเช่นนี้
เขาผงะเล็กน้อย จากนั้นมองไปที่เฉิงเค่ออย่างห้ามไม่ได้ ทว่าบัดนี้ใบหน้าของเฉิงเค่อซีดจนไร้สีไปแล้ว คล้ายกับสูญเสียความหวังทั้งหมดไปแล้วมิปาน
เซี่ยอวี่เสียนขมวดคิ้ว สรุปแล้วภายในเรื่องนี้มีสาเหตุอะไรกันแน่ เพราะเหตุใดเฉิงเค่อถึงรู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้
“ใต้เท้าฉาง” จู่ๆ ซูหลีก็เรียกชื่อคนผู้หนึ่งขึ้น
ฉางลู่ยืนอยู่ด้านข้าง เขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน อาการของเฉิงเค่อนี้ทำให้เกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยมาก ทว่าเขาพูดไม่ถูกว่าความคุ้นเคยนี้เคยเห็นที่ใด
ทันใดนั้นเมื่อเขาถูกซูหลีขานชื่อขึ้น เขายังรู้สึกตกใจอยู่บ้างทว่าก็รู้สึกตัวทัน เขาก้าวไปทางด้านหน้าแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าซู”
ฉางลู่เป็นขุนนางชำระประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้าโจว ทั้งยังเป็นขุนนางที่ค่อนข้างจะมีชื่อในราชสำนัก
“ขอถามใต้เท้าฉาง เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ในปีที่ยี่สิบเอ็ดของราชวงศ์ต้าโจวหรือไม่” ซูหลีฉีกยิ้มและเอ่ยคำถามเช่นนี้ออกมา ทันทีที่เปิดปากพูดก็ถามถึงเรื่องราวเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ฉางลู่ได้ยินดังนั้นจึงตะลึงงัน จากนั้นในสมองคล้ายดังมีประกายแสงบางอย่างพาดผ่าน
เขาแหงนศีรษะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองไปที่ซูหลีด้วยความเหลือเชื่อ
ซูหลีเห็นอากัปกิริยาของเขาจึงผงกศีรษะเล็กน้อย
“สรุปเกิดเรื่องอะไรกันแน่” เรื่องราวเปลี่ยนผันเป็นเช่นนี้ แม้แต่คณะเสนาบดีอาวุโสเหล่านั้นก็ยังนั่งไม่ติด พวกเขาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
สีหน้าของฉางลู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงเอ่ยออกมาว่า “…ปีที่ยี่สิบเอ็ดของราชวงศ์ต้าโจว มีสารพิษตัวหนึ่งแพร่กระจายเข้ามาในเมืองหลวง หากสูดดมและกินของสิ่งนี้เข้าไป จะสามารถทำให้คนเกิดอาการหลอน จิตใจจะตื่นตัว มีความรู้สึกเลื่อนลอย ทว่าหลังจากสูดหรือกินของสิ่งนี้เข้าไป จะกัดกร่อนจิตวิญญาณของคนผู้นั้น ทั้งยังสามารถทำให้เสพติดของสิ่งนี้…”
“ในปีนั้นเป็นเพราะของสิ่งนี้แพร่กระจ่ายไปทั่ว ผู้คนจำนวนมากในเมืองหลวงติดของสิ่งนี้ พวกเขาจะดูบ้าคลั่ง คนที่ปกติเป็นอย่างมากกลับทำเลวสารพัดชนิด ในเวลานั้นทั้งราชวงศ์วุ่นวายไม่สงบสุข หลังจากนั้นจักรพรรดิเกาจู่ตรวจสอบจนพบของสิ่งนี้ พระองค์จึงใช้กฎหมายห้ามใช้ของสิ่งนี้เป็นอันขาด และยังทรงลงโทษเหล่าขุนนางและราษฎรที่เสพติดของสิ่งนี้…”
เลือดนองเป็นแม่น้ำ
คำพูดประโยคที่เหลือนี้ ฉางลู่มิได้เอ่ยออกมาทว่าบนท้องพระโรงล้วนเป็นบุคคลผู้เจนโลก ไฉนจะต้องให้เขาเอ่ยออกมาอีกกัน
เป็นเพราะของสิ่งนี้เกือบจะทำให้ทั้งราชวงศ์ต้าโจวล่มสลาย ดังนั้นฮ่องเต้เกาจู่จึงได้ลงมืออย่างรุนแรง หรือว่า…
“ของสิ่งนี้ เป็นผลของพืชชนิดหนึ่ง แล้วนำมาบดเป็นผง สิ่งนี้เรียกว่า…” หลังจากฉางลู่หยุดชะงักก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ผงฝิ่น!”
มิผิด!
ดวงตาของซูหลีมีประกายมืดหม่นพาดผ่าน เมื่อวานนี้ครั้งแรกที่นางเห็นเฉิงเค่อก็รู้สึกได้ว่าหน้าตาเฉิงเค่อดูแปลกไปจากเดิมมาก หลังจากเข้าใกล้เขาและตรวจชีพจรเขาด้วยตนเอง นางถึงได้มั่นใจยิ่งนัก
ในวันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ของสิ่งนี้ ทำลายคนไม่น้อย
ที่นี่เรียกของสิ่งนี้ว่าผงฝิ่น ทว่าไม่ว่าของสิ่งนี้จะมีชื่อเรียกว่าอย่างไร ก็เป็นสิ่งของที่คนเกลียดเข้ากระดูกดำ คิดไม่ถึงว่าของสิ่งนี้จะเริ่มแพร่กระจายในเมืองหลวงอีกครั้ง นี่จะไม่ให้ซูหลีตกใจได้อย่างไร
นี่เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใด นางจึงต้องนำเฉิงเค่อเข้ามาในท้องพระโรงแห่งนี้
ตอนที่ 668 ตรวจอาการ
มีขุนนางที่อายุค่อนข้างมากอยู่บนท้องพระโรงจำนวนมาก อีกทั้งยังจำเรื่องเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนได้ เพราะผงฝิ่นเป็นตัวกระพือลมที่มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด
ในเวลานี้ของสิ่งนี้กลับปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง…
ทุกคนต่างทราบดีว่า ผงฝิ่นไม่มียาที่สามารถถอนพิษได้ หากเสพติดแล้วทั้งร่างกายก็ถูกทำลาย ในอดีตยามที่ท่านหมอเทวดาโจวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งใต้หล้ายังมีชิวตอยู่ ก็ยังจนปัญญากับของสิ่งนี้
คิดไม่ถึงว่า บัดนี้ผงฝิ่นจะปรากฏในท้องพระโรงอีกครั้ง!
นี่จะไม่ให้ผู้คนตื่นตระหนกได้อย่างไร!?
“นี่…สามารถยืนยันว่าเป็นผงฝิ่นใช่หรือไม่” หลังจากเกิดความวุ่นวายในระยะสั้นๆ ก็มีคนลุกขึ้นและถามขึ้นอย่างสงสัย
ฮ่องเต้เกาจู่ใช้วิธีเด็ดขาดโดยการห้ามนำผงฝิ่นเข้ามา ไยบัดนี้ผงฝิ่นถึงเข้ามาในเมืองหลวงได้
“มิผิด!” หลังจากได้ยินคำว่าผงฝิ่น เฉิงเหว่ยที่ถูกทำให้ตื่นตกใจ ในเวลานี้เขาหวนสติกลับคืนมาแล้วมองไปที่ซูหลีและเอ่ยว่า
“สัตว์เดรัจฉานนี้กระทำเรื่องเช่นนี้ได้ ก็สมควรที่จะได้รับการลงโทษ ทว่าใต้เท้าซูมิอาจอาศัยการคาดคะเนมากล่าวหาว่าเขาเสพผงฝิ่นเข้าไป ของที่ทำร้ายผู้คนอย่างผงฝิ่นนั้น ทำไมถึง…”
“ใต้เท้าเฉิงจะรีบร้อนไปทำไมกัน” ซูหลีไม่อยากจะเสวนากับเฉิงเหว่ยแล้ว นางไม่รอให้เขาพูดจบก็ขัดจังหวะในทันที
เมื่อเห็นนางยื่นมือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อของตนเองครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบขวดเครื่องเคลือบสีม่วงอ่อนขวดเล็กออกมา
หลังจากที่เห็นนางหยิบขวดใบเล็กออกมา สีหน้าของเฉิงเค่อที่อยู่ด้านข้างจึงซีดเผือดจนไม่เห็นสีเลือด เห็นได้ชัดว่าเขาถูกทำให้ตกใจ
“ทูลฝ่าบาท ในเมื่อกระหม่อมกล้าพูด เช่นนั้นแสดงว่ากระหม่อมมีหลักฐาน นี่เป็นผงฝิ่นที่เก็บรวบรวมมาจากร่างของเฉิงเค่อ” ขณะที่ซูหลีเอ่ย ก็นำของสิ่งนั้นถวายให้กับฮ่องเต้อย่างนอบน้อม
นางหยิบของสามสิ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนมองไปที่แขนเสื้อของนางอย่างไม่รู้ตัว นี่ในแขนเสื้อนี้ไยถึงคล้ายกับถุงเก็บสมบัติ ต้องการอะไรก็มีสิ่งนั้น!
มีคนจำนวนไม่น้อยมองซูหลีด้วยแววตา ประหลาดใจ อีกทั้งขวดใบเล็กสีม่วงอ่อนนั้นก็ถูกส่งไปตรงหน้าของฉินเย่หานเรียบร้อยแล้ว
ฉินเย่หานตวัดตามองไปยังของสิ่งนั้นอยู่หลายปราด สีหน้าดูไม่น่ามองนัก
ซูหลีเป็นคนสร้างปัญหาอื่นๆ จำนวนไม่น้อย ทว่านางไม่ใช่คนชอบพูดปด สิ่งของก็ถวายขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้ยังจะเป็นเรื่องโกหกได้อีกหรือ
“อีกประการหนึ่ง ต้องมีคนสงสัยว่ากระหม่อมใช้ผงฝิ่นนี้ใส่ร้ายป้ายสีเฉิงเค่อ ดังนั้นกระหม่อมอยากขอร้องฝ่าบาทให้ทรงเรียกหมอหลวงทั้งหมดมาตรวจอาการของเฉิงเค่อ คนที่เคยเสพผงฝิ่นจะมีผงฝิ่นหลงเหลืออยู่ในร่าง เฉิงเค่อเคยแตะต้องของสิ่งนี้หรือไม่ เพียงตรวจสอบก็ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีแสดงความใจกว้างออกมา นางแม้กระทั่งเอ่ยคำพูดนี้ออกมาอย่างไม่หวาดหวั่น
“ทหาร ตามหมอหลวงเข้ามา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญ จึงไม่กล้าเอ่ยอะไรมาก เขารีบเรียกหมอหลวงเข้ามา
เดิมทียังมีคนที่อยากเอ่ยอะไรออกมา แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้วจึงพูดไม่ออก หากเฉิงเค่อไม่ได้เสพผงฝิ่นจริง แน่นอนว่าหมอหลวงจะเป็นคนล้างมลทินเขาเอง
เฉิงเหว่ยก้มศีรษะมองเฉิงเค่ออย่างห้ามไม่ได้ ทว่ากลับเห็นแววตาไร้จิตวิญญาณและใบหน้าสิ้นหวังของเขา
เมื่อมองอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเฉิงเหว่ยก็เปลี่ยนไป
บุตรของเขา เขาก็เข้าใจมากที่สุด เรื่องของเฉิงเค่อเห็นได้ชัดว่ามีปัญหาจำนวนมาก…
ทว่า!
ผงฝิ่นไม่สามารถเปรียบเทียบกับเรื่องก่อนหน้านี้ได้ หากถูกหมอหลวงตรวจพบจริง ชีวิตของเฉิงเค่อก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน!
ในปีนั้นฮ่องเต้เกาจู่ใช้กำลังและสมองจำนวนมากถึงจะสามารถควบคุมสิ่งนี้ได้ บัดนี้เฉิงเค่อนำของสิ่งนี้มาไว้ถึงตรงหน้าของทุกคน แค่ครุ่นคิดก็ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง
นี่เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้มิมีทางให้อภัยอย่างเด็ดขาด!
ทว่า…