เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 751 เผชิญหน้ากับการเข้าวัง / ตอนที่ 752 ถูกคณะขุนนางฟ้องร้อง
- Home
- เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ
- ตอนที่ 751 เผชิญหน้ากับการเข้าวัง / ตอนที่ 752 ถูกคณะขุนนางฟ้องร้อง
ตอนที่ 751 เผชิญหน้ากับการเข้าวัง
ความรู้สึกชาที่ใบหน้าของซูหลีสลายไปทันตา
นี่เป็นการมุ่งทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับนางโดยแท้ เพื่อความสำเร็จถึงกับคิดวิธีเช่นนี้ออกมา
โดยรอบมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่หยุดหย่อน กระทั่งยังมีคนจำนวนมากส่งเสียงตอบคำถามแทนนาง กล่าวว่าพิสูจน์ร่างกาย พิสูจน์ร่างกาย ไม่มีอะไรต้องกลัว
เสียงจ้อกแจ้กที่ดังขึ้น ทำให้จี้เหิงหรานเงยหน้ามองซูหลี
ซูหลีกลับไม่ได้ตกใจเกินไป นางเป็นผู้ที่ฉลาดปราดเปรียวกว่าใครๆ มิน่าเล่ายามที่นางเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ราบรื่นเป็นอย่างมาก ยังสามารถรักษาท่าทีนิ่งเฉยได้เช่นนี้
เขาอดฉุกคิดถึงสตรีที่มีผ้าคลุมหน้าที่เขาพบที่ด้านหน้าประตูห้องทรงอักษรมิได้
หากซูหลีเป็นสตรีคนหนึ่งจริงๆ เช่นนั้นเขาก็เสียเปรียบซูหลีแล้วจริงๆ
นางยังสามารถได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้… จี้เหิงหรานติดตามอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้อยู่หลายปี กลับไม่เคยเห็นฮ่องเต้ทรงหวั่นไหวหรือมีเยื่อใยกับใคร
“ใต้เท้า นี่จะทำอย่างไรดี” ขุนนางที่ได้รับขวดยาที่หลี่ซื่อส่งให้ เดินเข้าไปใกล้จี้เหิงหรานแล้วถามขึ้นอย่างกลัดกลุ้มใจ
ในเมื่อพูดเช่นนี้ ทว่าคนผู้นี้ยังกำขวดยาที่หลี่ซื่อยัดเยียดให้อย่างแน่นหนา เขาไม่มีความคิดจะเปิดออกเลยแม้แต่น้อย
จี้เหิงหรานเงยหน้ามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จึงพบว่าคนผู้นี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับสกุลป๋าย ที่เขาประจำการที่กรมธรรมการได้ ดูเหมือนจะเป็นการแนะนำจากป๋ายไต้ซือ
เมื่อจี้เหิงหรานคิดเช่นนี้ก็มองซูหลีปราดหนึ่งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
ท่ามกลางสายตาของผู้คน ก่อความวุ่นวายมากขนาดนี้ไม่มีทางที่จะสามารถใจดีต่อไปได้
“ใต้เท้าซู ฮูหยินซู บัดนี้ฮ่องเต้ยังทรงรออยู่ เช่นนั้นทั้งสองคนก็สู้ไปพิสูจน์กับข้าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ดีหรือไม่” จี้เหิงหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ดูท่าทีของเขาแล้วเป็นการไม่ลำเอียงต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
และถึงแม้ซูหลีจะเป็นสตรี เรื่องที่ซูหลีกระทำในอดีตเหล่านั้นก็ไม่เพียงพอจะที่เขาจะช่วยเหลือ
“ใช่แล้ว! อย่างไรที่ใต้เท้าพูดมาก็ถูก เรื่องเช่นนี้จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนยามที่ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่นั่นด้วย มิเช่นนั้นคนภายนอกจะเข้าใจว่า ข้าน้อยด่าประณามซูหลีแล้ว” หลี่ซื่อนั้นมีท่าทีตอบสนองไวมาก ทันทีที่จี้เหิงหรานเอ่ยขึ้น นางก็รีบตอบรับทันที
ซูหลีที่อยู่ด้านข้างถึงกับแสยะยิ้มเย็นออกมา ดูท่าแล้วเข้าไปในวัง อาจจะมีขุนนางทุกฝ่ายรอนางอยู่ก็ได้!
ใบหน้าของนางมีประกายเย็นชาพาดผ่าน นางเห็นจี้เหิงหรานหันกลับมาและมองนางปราดหนึ่ง นางผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นจึงผงกศีรษะ
ในเมื่อผู้อื่นได้สร้างปัญหาด้วยวิธีนี้ก่อนแล้ว ในเวลานี้แม้นางไม่อยากไปก็คงไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ในอดีตขุนนางที่ไปว่าราชการนอกเมือง หลังจากกลับมาแล้วจักต้องไปเข้าวังเพื่อรายงานตัวกับฮ่องเต้เป็นเวลาแรก
ซูหลีไม่มีทางหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้
บัดนี้สิ่งที่นางหวังว่า จดหมายที่นางส่งให้ไป๋ฉินฉบับนั้น ทำให้ผู้คนเหล่านั้นจะเห็นแก่ใบหน้านางในอดีตและสามารถช่วยเหลือนางได้
ส่วนเรื่องตัวตนของสตรี…
นางนั้นเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว นางทราบดีว่าตนเองไม่อาจปลอมตัวเป็นบุรุษไปได้ตลอดชีวิต เพียงแค่มันเกิดเร็วขึ้นเท่านั้น อีกทั้งถูกเปิดโปงในช่วงที่นางมีความดีความชอบ นี่เป็นสิ่งที่นางคาดไม่ถึง
ช่างเถอะ คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์
“ใต้เท้าจี้ โปรดนำทางไปเถิด” ซูหลีเอ่ยเสียงเบา ใบหน้าที่มีความนิ่งเฉยอย่างบอกไม่ถูก
อากัปกิริยาเช่นนี้ของนาง ทำให้จี้เหิงหรานแอบมองนางอยู่หลายรอบอย่างอดใจไม่ได้
“ดูเหมือนใต้เท้าซูจะมีความมั่นใจมาก” เขาอาจเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมามิได้ ทว่าสิ่งที่ตอบเขากลับมาคือสายตานิ่งเฉยของซูหลี
ตอนที่ 752 ถูกคณะขุนนางฟ้องร้อง
ซูหลีนั้นไม่มีอะไรต้องพูดกับจี้เหิงหราน
ทางที่ดีเขาไม่ควรยุแหย่นาง มิเช่นนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาจะรับรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าสิ้นหวัง!
…
ในเวลานี้ใกล้ถึงช่วงยามอู่[1]แล้ว ตามหลักความจริงแล้ว เวลานี้ราชกิจยามเช้าคงจะใกล้เลิกแล้ว ทว่าบัดนี้ภายในตำหนักอวิ๋นเซียวกับครึกครื้นเป็นพิเศษ
หวงเผยซานมองฮ่องเต้ผู้ซึ่งมีพระพักตร์ไร้ความรู้สึกแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้
วันนี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รับมีหนังสือฟ้องร้องซูหลีจากขุนนางฝ่ายบุ๋น เนื้อความเขียนเอาไว้ว่า นางหลอกลวงปิดบังอำพรางฮ่องเต้ ไม่สนใจศีลธรรมจารีต เป็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษ เพื่อสอบติดราชการและคลุกคลีอยู่ในราชสำนัก
ฮ่องเต้นั้นมิทรงเอ่ยอะไรมาโดยตลอด หวงเผยซานก็ไม่แน่ใจว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่
ทว่าคนฉลาดนั้นสามารถมองออกว่า นี่มีคนเจตนาทำร้ายซูหลี อีกทั้งคนที่อยู่เบื้องหลังนี้ยังถือว่าเป็นคนเก่งกาจไม่น้อย
“ทูลฝ่าบาท การกระทำเช่นนี้เป็นการดูถูกราชสำนัก ดูแคลนคนที่มีอำนาจ กระหม่อมคิดว่าควรจะลากไปที่ประตูอู๋ และตัดหัวประจานในทันที!”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาท ราชวงศ์ต้าโจวสถาปนามานานมากขนาดนี้ ทว่ายังไม่เคยมีเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้เกิดขึ้น!”
“ยังมีสตรีที่ใจกล้าเท่าผืนฟ้าเช่นนี้ ช่างไม่เข้าท่าเลยสักนิด!”
…
ซูไท่ที่ยืนอยู่ท่างกลางกลุ่มขุนนางนับร้อย เมื่อได้ยินคนเหล่านี้ต่างพูดกันไปต่างๆนานา สีหน้าก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นย่ำแย่เป็นอย่างมาก
“ใต้เท้าทุกท่านพูดเช่นนี้ เปิ่นหวังฟังแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจนัก” ฉินม่อโจวที่อยู่บนท้องพระโรงมีสีหน้าคล้ำเขียว เขาเดินออกมาและพูดหยั่งเชิงกับขุนนางเหล่านี้
“ทุกท่านจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่า ซูหลีเป็นสตรีอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เปิ่นหวังยังจำได้ว่า ดูเหมือนจะเกิดความวุ่นวายเพราะเรื่องนี้มาคราหนึ่งแล้ว กล่าวว่าซูหลีเป็นสตรี ทว่าหลังจากนั้นก็ไปเรียกคนทั้งสำนักหมอหลวงมาตรวจชีพจรของซูหลีแล้ว ก็พิสูจน์และยืนยันความเป็นบุุรุษของซูหลีแล้ว ทำไมรึ หรือผลพิสูจน์ของหมอหลวงยังมีข้อผิดพลาดอยู่อีก”
ฉินม่อโจวแค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมา เขาไม่เปิดโอกาสให้กับคนเหล่านั้นและเอ่ยต่อว่า
“และหากถอยมาดูอีกก้าว แม้ซูหลีจะเป็นสตรี เรื่องก่อนหน้านี้ที่เขากระทำไว้ คุณูปการที่สร้างให้แก่พวกเราราชวงศ์ต้าโจว จะสามารถตัดหัวซูหลีทิ้งอย่างง่ายๆหรือ”
“ไม่ว่าจะเป็นการรักษาต้นเหตุของโรคระบาด ถอนรากถอนโคนผงฝิ่นให้สิ้นซาก และบัดนี้ยังแก้ไขจัดการกับปัญหาน้ำท่วม หากเปลี่ยนจากซูหลีเป็นพวกเจ้า พวกเจ้าจะสามารถทำได้หรือ ใต้เท้าจางสามารถทำได้หรือไม่ ยังมีใต้เท้าหวัง เจ้าจัดการได้หรือไม่”
เหล่าขุนนางที่ถูกฉินม่อโจวเรียกชื่อ ต่างพากันหลบสายตา
“ท่านอ๋อง คำพูดนี้ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ แม้จะสร้างคุณูปการมากถึงเพียงใด ซูหลีก็หลอกลวง ตบตาฮ่องเต้ ฮ่องเต้นั้นเป็นถึงโอรสสวรรค์ จะปล่อยให้สตรีหลอกลวงได้เช่นนี้หรือ มิหนำซ้ำกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ของพวกเราได้กำหนดไว้แล้วว่า มีแต่บุรุษที่เข้าร่วมการสอบราชการ ซูหลีกระทำเช่นนี้ นางเห็นแก่ใบหน้าและเกียรติยศของราชวงศ์ต้าโจวแล้วหรือ”
แม้คนเหล่านี้จะไม่เอ่ยอะไรออกมา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนพูดโต้แย้ง คนที่โผล่ขึ้นมาพูดอย่างกะทันหัน คนผู้นี้มีนามว่า หลิ่วเหอ ฉินม่อโจวรู้จักเขาดี เขาเป็นศิษย์ที่ไต้ซือที่ภูมิใจมากที่สุด
และเรื่องการฟ้องร้องซูหลีในวันนี้ หลิ่วเหอผู้นี้ก็เป็นคนเริ่มเรื่องขึ้น
ฉินม่อโจวได้ยินคำพูดของเขา ก็หัวเราะออกมาด้วยความโมโห
“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าจี้ไปรับใต้เท้าซูและเดินทางเข้าวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่เขาเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างออกมา กลับเห็นขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในท้องพระโรงที่อลหม่านไปหมด เขาคุกเข่าและเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา
ทันใดนั้นทั้งตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบ
“ทูลฝ่าบาท ในเมื่อซูหลีกลับมาแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็มาพิสูจน์กันซึ่งหน้าว่า นางเป็นสตรีหรือไม่ หากนางไม่ใช่สตรี เรื่องนี้ก็เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมยินยอมที่จะรับโทษพ่ะย่ะค่ะ!” หลิ่วเหอเดินออกมาก้าวหนึ่งและเอ่ยเสียงดัง
——
[1] ยามอู่ เป็นหน่วยบอกเวลา เป็นช่วงเวลา 11.00 – 13.00 น.