เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 755 การเผชิญหน้า / ตอนที่ 756 ยังมีหลักฐาน!
ตอนที่ 755 การเผชิญหน้า
ความเป็นสตรีของนางคงไม่อาจปิดบังต่อไปได้แล้ว ในเวลานี้เรื่องอื่นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือท่าทีของฮ่องเต้
ซูหลีหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง เพื่อให้ตนเองสงบลง
เรื่องนี้ยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่แก้ไขไม่ได้ และไม่ได้ถึงขั้นสิ้นหวังเกินไป หากต้องถูกเปิดเผยต่อหน้าขุนนางทั้งหมดนี้และฉินเย่หานไม่อาจให้อภัยได้ อย่างมากนางก็แค่มอบชีวิตนี้ให้แก่เขาเท่านั้น
เพียงแต่เสียดายที่นางไม่อาจแก้แค้นให้กับวิญญาณของสกุลหลี่นับจำนวนหนึ่งร้อยสี่สิบสามคนได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มีความเย็นยะเยียบพาดผ่านบนใบหน้าของซูหลี
นางไม่ทราบเลยว่า ทุกการเคลื่อนไหวของนางตกอยู่ในสายตาของฉินเย่หาน ฉินเย่หานเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางแล้ว รู้สึกปวดหน่วงในใจเล็กน้อย
ในดวงตาปรากฏความไม่เบิกบานใจ
น้อยครั้งที่ฉินเย่หานจะรู้สึกหวั่นไหวต่อสิ่งอื่นใด ทว่าขอเพียงเขาแสดงความไม่สบายใจ ก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบเกิดความเปลี่ยนแปลง และความไม่เบิกบานใจของเขานี้ ก็สามารถทำให้คนอื่นๆ ในตำหนักแห่งนี้จับสังเกตได้
ป๋ายไต้ซือยืนอยู่ตรงหน้าขุนนางนับร้อย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่เยียบเย็น
ครานี้ เขาอยากจะดูว่าซูหลีจะหนีรอดออกจากเรื่องนี้ได้อย่างไร!
ขันทีที่ออกไปส่งข่าว ผ่านไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับสตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวพื้นๆ และมีใบหน้าธรรมดา
ซูหลีมองคนผู้นั้นปราดหนึ่ง นางรู้สึกคุ้นหน้าคนผู้นี้เป็นอย่างมาก
แม้นางจะมีความทรงจำในอดีตของซูหลี ทว่าผู้ติดตามข้างกายมารดาแท้ๆของนาง หลังจากมารดาให้กำเนิดนางออกมาแล้ว ทุกคนก็ถูกส่งตัวกลับบ้านที่จากมาทั้งหมด เหลือเพียงแค่แม่นมชุยที่เป็นผู้ติดตามเอาไว้
ถึงแม้คนผู้นี้จะเป็นผู้ติดตามข้างกายมารดาของซูหลีจริง นางก็จำไม่ได้แล้ว
“คุณหนู!” คิดไม่ถึงว่าทันทีที่สตรีผู้นั้นเข้ามา และเห็นซูหลีที่ยืนลำตัวเหยียดตรง ดวงตาของนางก็แดงก่ำอย่างอดไม่ได้
“บังอาจนัก!” นางถูกขันทีที่อยู่ด้านข้างตะโกนด้วยเสียงเย็นชาใส่ สตรีผู้นั้นถึงได้หวนคืนสติกลับมาร่างกายของนางสั่นเทิ้ม จากนั้นจึงรีบคุกเข่าลงและเอ่ยว่า
“หม่อมฉันถวายบังคมเพคะฝ่าบาท!” ร่างกายของนางยังคงสั่นงกๆ สีหน้าที่นางแสร้งแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ ได้มลายหายไปแล้ว
ความน่าเกรงขามของราชสำนัก คนสามัญทั่วไปจะมีใครที่บังอาจปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมากัน
สตรีผู้นี้ถือว่าโชคดี
“ทูลฝ่าบาท นางคนนี้คือสาวรับใช้ที่อยู่ข้างกายมารดาแท้ๆของซูหลี ชุนจวี๋เจ้าเงยหน้าดูสิ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเจ้ารู้จักหรือไม่” หลี่ซื่อเห็นว่าคนตรงหน้าใช้การไม่ได้นัก จึงคอยพูดสนับสนุนอยู่ด้านข้าง
สตรีผู้นั้นได้ยินดังนั้น พอผ่านไปนานนางจึงเงยหน้ามองซูหลีครู่หนึ่ง และเพียงครู่เดียวนางก็รีบผงกศีรษะลงแล้วเอ่ยว่า
“หม่อมฉันรู้จักคนผู้นี้ดี นางคือบุตรีของคุณหนูของหม่อมฉัน ซึ่งมีนามว่าซูหลี!”
“หึ!” ซูหลีที่ปิดปากเงียบตั้งแต่แรก บัดนี้เมื่อนางเห็นสภาพการที่เหลวไหลสิ้นดีเช่นนี้ จึงหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นอย่างอดไม่ได้
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องการพูด” ใบหน้าของซูหลีประดับด้วยรอยยิ้มที่คล้ายกับไม่ยิ้ม จากนั้นจึงยกมือ ร้องขอคำอนุญาตจากฉินเย่หาน
ฉินเย่หานเห็นท่าทีที่ไม่เป็นกังวลของนางแล้ว ภายในดวงตาจึงเข้มขึ้นเล็กน้อย แต่สุดท้ายยังกล่าวว่า “พูดมา”
“หลี่ซื่อกล่าวว่าคนผู้นี้เป็นผู้ติดตามข้างกายของมารดากระหม่อม” ซูหลีหัวเราะออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คนผู้นี้ มองกระหม่อมปราดเดียวก็มั่นใจแล้วว่า กระหม่อมคือบุตรีของคุณหนูที่นางเคยปรนนิบัติ”
“ชุนจวี๋ใช่หรือไม่” ซูหลีชะงักไปเล็กน้อยและเอ่ยชื่อของสตรีวัยกลางคนนี้ออกมา จากนั้นนางจึงเอียงศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ในความทรงจำของข้า ยามที่ข้าอายุไม่ถึงขวบ มารดาของข้าก็ขับไล่คนข้างกายทั้งหมดให้กลับบ้านเกิด เหลือเพียงแค่แม่นมชุยเท่านั้น”
“ไม่เจอกันกว่าสิบปี เจ้ามองข้าเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วข้าเป็นใคร สายตาและความจำของเจ้านั้นช่างเก่งกาจโดยแท้!”
ทันทีที่พูดจบ ทั้งตำหนักอวิ๋นเซียวก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ตอนที่ 756 ยังมีหลักฐาน!
ชุนจวี๋รู้สึกร้อนใจจนมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้า นางอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ทว่ากลับติดอ่างพูดอะไรออกมาไม่ชัดเจน
หลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้างดูแล้วก็รู้สึกร้อนใจจนถึงขีดสุด จนต้องเปิดปากเอ่ยแทนชุนจวี๋ว่า “ชุนจวี๋ก็พูดแล้วว่า เจ้านั้นมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับมารดาของเจ้า ดังนั้นมองเพียงปราดหนึ่งก็จำเจ้าได้ทันที”
“ข้าถามนาง มิใช่ถามเจ้า” ทันทีที่หลี่ซื่อเอ่ย สีหน้าของซูหลีก็เย็นชาขึ้นทันใด จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทีนิ่งเฉย
การกระทำของซูหลีในเวลานี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งมารยาทเป็นอย่างมาก ทว่าในเวลานี้ไม่มีคนพูดถึงมารยาทของนาง
อย่างไรหลี่ซื่อก็สามารถคุกเข่าอยู่บนท้องพระโรง นั่นแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างซูหลีกับนางมิได้ดีมากนัก และถึงหลี่ซื่อจะพูดให้น่าฟังอย่างไร นี่ก็ล้วนแต่เป็นการบีบบังคับให้ซูหลีถึงทางตัน
ท่าทีของซูหลี จึงไม่ถือว่ามีการทำผิดอย่างไร
ฉินมู่ปิงที่คอยมองดูสถานการณ์ตรงหน้าโดยไม่พูดไม่จา เขานั้นได้ยินเสียงหัวใจของตนเองที่กำลังเต้นกระหน่ำ
เดิมทีเขาไม่ควรปรากฏตัวบนท้องพระโรง ทว่าหลังจากที่ฉินเฮ่ากลับมา ไทเฮาก็ตรัสว่าเขาควรจะเรียนรู้และทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว ไทเฮาจึงรับสั่งให้เขาเข้าร่วมการว่าราชกิจ บัดนี้อยู่ในตำแหน่งว่างๆในกรมธรรมการ
แม้แต่ตำแหน่งว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ยังต้องเข้าร่วมการว่าราชกิจ
ก็ประจวบเหมาะที่วันนี้ได้เห็นละครฉากนี้พอดี
คนที่แตกต่างกับเขาอย่างเซี่ยอวี่เสียนยืนอยู่ในคณะสภาฮั่นหลิน สายตาที่จับจ้องซูหลีเต็มไปด้วยความกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก
เขากับซูหลีเป็นสหายคนสนิทกันแล้ว จึงไม่ต้องการให้ซูหลีเกิดเรื่องเดือดร้อน เพียงแต่เรื่องนี้ซูหลีเป็นบุรุษหรือเป็นสตรีนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจจริงๆ
“ใต้เท้าซูไม่จำเป็นต้องข่มขู่ผู้อื่นเช่นนี้ สาวใช้ผู้นี้เพิ่งจะเคยเข้าวังหลวงเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้และได้เห็นพลานุภาพ จึงรู้สึกร้อนรนไปบ้าง ใต้เท้าซูไยถึงร้อนรนและหาเรื่องนางเช่นนี้” หลิ่วเหอเห็นดังนั้น จึงลุกขึ้นพูดโต้แย้งซูหลี
ใครจะรู้ว่า ซูหลีไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เพียงแค่จับจ้องที่ชุนจวี๋ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“ชุนจวี๋ เจ้ารีบพูดออกมาสิ!” หลี่ซื่อเริ่มรู้สึกร้อนใจ นางคาดไม่ถึงว่าชุนจวี๋ผู้นี้ใช้การไม่ได้
“บ่าว….ในเวลานั้นคุณหนูให้กำเนิดบุตรีจริงๆ บ่าวยังจำได้อย่างชัดแจ้ง มะ แม้ว่า…จะผ่านไปหลายปี คะ คุณหนูผู้นั้นมีรูปโฉมอย่างไร บ่าวก็จำไม่ได้ ทะ ทว่าเด็กที่คุณหนูคลอดออกมานั้น เป็นสตรีอย่างไม่ต้องสงสัย!”
ชุนจวี๋พูดในสิ่งที่ควรพูดออกมาอย่างติดขัด พูดจบถึงให้ผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นจึงนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนปวกเปียก
ซูหลีมองนางด้วยสายตาเยียบเย็น นางอดหัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นชาไม่ได้ คนเหล่านี้ช่างมีความตั้งใจโดยแท้ เพื่อจะจัดการนาง ถึงกับเตรียมคำพูดไว้ให้แก่ชุนจวี๋
แม้ชุนจวี๋จะตื่นเต้น แต่สุดท้ายก็พูดออกมา
ในขณะนี้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนกว่าเดิม หากซูหลีไม่ใช่สตรี นั่นแสดงว่านางไม่ใช่ทายาทของซูไท่ ความเป็นมาของนางก็จะเต็มไปด้วยความคลุมเครือ หากนางเป็นสตรี นั่นก็ยิ่งดี หลังจากพิสูจน์ได้แล้วก็สามารถทำให้ซูหลีต้องโทษหลอกลวงองค์จักรพรรดิ!
เหอะ!
ช่างมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นโดยแท้!
“ทูลฝ่าบาท หากเป็นเช่นนี้จริงๆมิผิดเพคะ! หม่อมฉันยังมีหลักฐานอย่างอื่นอีกเพคะ!” ในที่สุดชุนจวี๋ก็พูดเรื่องทั้งหมดออกมา หลี่ซื่อจึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงรีบเผยหลักฐานระลอกใหม่ออกมา
“ใต้เท้าคนเมื่อครู่อยู่ที่ใดกัน” หลี่ซื่อหมุนกายไปทางกลุ่มคนที่มีจี้เหิงหรานยืนอยู่ในนั้นปราดหนึ่ง
จากนั้นจึงมีคนเดินออกมา เขาจึงคุกเข่าลงบนพื้น
“ใต้เท้าผู้นี้ สิ่งของที่ผู้น้อยขอให้ท่านเก็บไว้เมื่อครู่ยังอยู่หรือไม่”
ขุนนางผู้นั้นได้ยินดังนั้นชะงักไปเล็กน้อย จึงพลิกมือทั้งสองข้างขึ้น และเผยให้เห็นขวดยากระเบื้องสีม่วงที่เขากำไว้ในมือ
หลี่ซื่อปราดสายตามองที่ของสิ่งนั้น จึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ทูลฝ่าบาท สิ่งนี้เป็นสิ่งตรวจพบในร่างกายของซูหลี เป็นยาที่นางสามารถใช้สับขาหลอกหมอหลวงเพคะ!”