เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 789 องค์หญิงใหญ่ / ตอนที่ 790 นำของเข้ามา
ตอนที่ 789 องค์หญิงใหญ่
“เอ๋ เจ้าเป็นใครกัน นี่คือจวนป๋าย ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาตามอำเภอใจได้!” ซูหลีเพิ่งจะหยุดเดิน ก็ได้ยินเสียงกระวนกระวายของเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูนั้น
ทันทีที่เด็กรับใช้คนนั้นพูดขึ้น ก็ทำให้คนที่กำลังคุยกันในสวนบุปผาหันไปมองทันทีทันใด
ซูหลีเลิกคิ้วและถือโอกาสไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นางเรียกพวกชุยตานเดินไปในสวนบุปผา
สวนบุปผาของสกุลป๋ายนั้นงดงามประณีตมาก และเนื่องจากเป็นช่วงเหมันตฤดูพอดี หวังซื่อก็ไม่ได้ให้องค์หญิงใหญ่อยู่แต่ในห้องหับ แต่กลับนำนางมาที่นี่เพื่อรับลมเย็น
แมลงภายในสวนถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดเรียบร้อยแล้ว ในเวลานี้ได้กลิ่นหอมหวนของดอกไม้จึงรู้สึกอารมณ์ดี
เพียงแต่…
หวังซื่อผู้นั้นหันศีรษะก็มองไปทางสตรีที่มีรูปโฉมงามสะคราญปราดหนึ่ง จากนั้นจึงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “นี่คือใครกัน”
ป๋ายเฮ่อที่อยู่ด้านหลังของนางรู้ว่า คนผู้นั้นคือซูหลี
แม้ในเวลานี้ซูหลีจะสวมอาภรณ์ของสตรี ทว่าสำหรับป๋ายเฮ่อที่เกลียดนางเข้ากระดูกดำ ไยถึงจะจำนางไม่ได้ เมื่อเห็นนางพาคนเข้ามาในจวนของตน สีหน้าของป๋ายเฮ่อจึงเปลี่ยนไป
“ซูหลี! นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร!?” ป๋ายเฮ่อถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ
แม้แต่ฉินมู่ปิงที่อยู่ด้านข้างก็ยังอ้ำอึ้งไป ไยซูหลีถึงได้ปรากฏตัวที่จวนป๋ายในเวลานี้ และยัง…สวมอาภรณ์เช่นนี้อีก!
แม้แต่เซี่ยอวี่เสียนกับเซี่ยเสียนก็ยังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นซูหลีสวมอาภรณ์สตรี อีกทั้งเป็นการสวมอาภรณ์สตรีโดยไม่ต้องปิดบังตัวตน
คราก่อนที่เห็นที่สำนักเต๋อซั่นนั้นไม่นับ ในเวลานั้นซูหลียังมีน้ำเสียงทุ้มต่ำ ลำคอยังมีลูกกระเดือก หน้าอกยังแบนราบ ไม่มีท่าทางสง่าละเมียดละไมเหมือนกับเวลานี้
“นางมาได้อย่างไร” เมื่อฉินมู่ปิงหวนสติกลับมา จึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
ซูหลีมีรูปโฉมที่ได้รับพรจากสวรรค์มากเป็นพิเศษ จึงสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้ง่าย
“ปิงเอ๋อร์รู้จักนางหรือ” สตรีที่อยู่ในชุดหรูหราที่อยู่ข้างกายของฉินมู่ปิงนั้นก็คือองค์หญิงใหญ่ ฉินเข่อซินเห็นดังนั้น จึงถามขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“องค์หญิง ท่านผู้นี้คือใต้เท้าซู ซูหลี ผู้ซึ่งทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายหลายวันนี้ในเมืองหลวง” หากอิงจากความอาวุโส ฉินมู่ปิงควรจะเรียกฉินเข่อซินว่ายาย ทว่าบุตรที่เกิดช้า อายุยังไม่มากนัก กอปรกับนางดูแลตัวเองเป็นอย่างดี บัดนี้ถึงดูคล้ายกับอายุสามสิบกว่าปีเท่านั้น
ฉินมู่ปิงนั้นเรียกนางว่า องค์หญิง ตามความชื่นชอบของนาง และไม่ได้เรียกนางว่ายาย ซึ่งดูแก่ชราไร้ชีวิตชีวา
“อ้อ” ทันทีที่เขาเอ่ยเช่นนี้ ในดวงตาขององค์หญิงใหญ่ก็มีประกายพาดผ่าน แล้วเอ่ยไปที่ซูหลีที่อยู่ไม่ไกลนักอย่างพินิจพิเคราะห์
คิดไม่ถึงว่ายามนางกำลังจ้องมองซูหลี จะเห็นซูหลีมองมาทางนี้พอดี ทำให้สายตาของทั้งสองคนประสานกันอยู่วูบหนึ่ง ซูหลีก้าวเท้าเข้ามาบริเวณที่พวกเขากำลังนั่งอยู่
“กระหม่อมซูหลี ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันๆ ปี” ซูหลีโค้งตัวทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ปราดหนึ่ง
ฉินเข่อซินเงยหน้ามองนาง ฉินเข่อซินชำเลืองมองนางประหนึ่งผู้มีรูปโฉมที่สามารถสร้างความโกลาหลได้แล้ว ก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนาง
สัญชาตญาณของนางไม่ชื่นชอบสตรีที่มีรูปโฉมเย้ายวนเหมือนกับซูหลี นางรู้สึกอยู่ตลอดว่าคนที่ปฏิบัติตนไม่ถูกทำนองคลองธรรมถึงจะมีหน้าตาเช่นนี้
“ลุกขึ้นเถิด” แม้จะไม่ชอบอย่างไรองค์หญิงใหญ่ก็ไม่ต้องการกลั่นแกล้งซูหลีนัก ทุกคนล้วนทราบดีว่าบัดนี้ซูหลีเก่งกาจถึงเพียงใด จึงไม่อาจเป็นปฏิปักษ์กับนางได้ง่าย องค์หญิงอยู่ห่างจากราชสำนักเป็นเวลาหลายปี สำหรับเรื่องนี้นางจึงเข้าใจอย่างชัดแจ้ง
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีก็ยืนขึ้นตามที่นางเอ่ย นางไม่ได้สนใจป๋ายเฮ่อที่อยู่ด้านข้างมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งการกระทำของนางทำให้ป๋ายเฮ่อโมโหเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 790 นำของเข้ามา
“ซูหลี เจ้ารู้สึกเสียมารยาทหรือไม่ นี่เป็นจวนสกุลป๋ายของข้า ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะทะเล่อทะล่าเข้ามาตามอำเภอใจ!” ป๋ายเฮ่อพูดเตือนสติซูหลีด้วยเสียงเยียบเย็น
และในครานี้เอง ในที่สุดซูหลีก็ชายตามองปราดหนึ่ง
อีกทั้งยังเป็นสายตาดูแคลนเหยียดหยาม
สีหน้าของป๋ายเฮ่อยิ่งเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูกว่าเดิม
“ท่านนี้คือใต้เท้าซูกระมัง” หวังซื่อผู้ซึ่งเป็นมารดาของป๋ายเฮ่อและป๋ายถานเห็นดังนั้นจึงปะนีประนอม
รูปร่างของหวังซื่อค่อนข้างจะอวบอิ่ม ทว่าหน้าตาของนางนั้นดูมีความเมตตาเป็นอย่างมาก ดูแล้วเหมือนผู้สูงวัยที่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงทางโลกแล้วมิปาน ทว่าซูหลีนั้นทราบดีว่า หวังซื่อนั้นเป็นภรรยาของป๋ายไต้ซือ นางจะไม่มีพิษสงเหมือนกับท่าทางที่แสดงออกมาได้อย่างไรกัน
“ป๋ายฮูหยิน” ซูหลีฉีกยิ้มและก้มศีรษะให้แก่หวังซื่อเล็กน้อย
อย่างไรหวังซื่อก็เป็นผู้ใหญ่ ทว่านางเพียงผงกศีรษะให้แก่หวังซื่อ มารยาทนี้ดูอย่างไรก็ไม่ครอบคลุมอะไรนัก องค์หญิงใหญ่เห็นดังนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
นางยกจอกชาตรงหน้าขึ้นจิบเบาๆ อึกหนึ่ง ทันทีที่เงยหน้าก็พบว่าบุตรของตนมองซูหลีตาเขม็ง
องค์หญิงใหญ่ถึงกับผงะไปเล็กน้อย ภายในดวงตาเหยี่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของคนสกุลฉินนั้นปรากฏประกายแวววาว
นางลืมไปว่า ที่จริงครอบครัวของพวกเขากับซูหลีมีที่มาไม่เกี่ยวข้องกันสักเล็กน้อย ในเวลาที่เซี่ยเสียนหาข้ออ้างกลับเข้าสำนักเต๋อซั่น ก็ไม่ใช่ใช้คณูปการการเรียนเป็นเพื่อนของซูหลีหรือ
ทว่านี่เป็นเรื่องเล็กสำหรับองค์หญิง ทว่าสายตาที่เซี่ยเสียนจ้องมองซูหลีนั้น ทำให้ใจของนางถึงกับเต้นตึกตัก
สายตาเช่นนี้ ไม่ถูกต้องเท่าไรนัก
“ใต้เท้าซูนี่หมายความว่าอย่างไร บ้านของป๋ายไต้ซือก็มิใช่โรงน้ำชาหรือโรงเตี๊ยม เจ้านำคนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ทะเล่อทะล่าเข้ามา เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนักกระมัง” สถานการณ์มีความกระอักกระอ่วน และก็เป็นฉินมู่ปิงที่ปริปากพูดก่อน ซึ่งเป็นการทำลายความเงียบอย่างประหลาดของที่นี่
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้ามองเขาปราดหนึ่ง กลับเห็นซื่อจื่อลูกผู้ดีมีเงินท่านนี้มีท่าทีดูถูกเหยียดหยาม ดวงตาคู่นั้นกลับมีความคลุมเครือ
นางแสยะยิ้มก้าวเดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง จากนั้นปรบมือสองคราแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้านำของเข้ามา”
“ขอรับ!” ชุยตานที่อยู่ด้านหลังของนางขานตอบ เสียงนี้เองที่ทำให้ทุกคนในสวนบุปผาหวนคืนสติกลับมา เมื่อมองไปยังด้านหลังของซูหลีแล้ว ทุกคนถึงกับอึ้งค้างไป
นี่ซูหลีมาถึงที่นี่อย่างพิลึกก็ช่างมันเถอะ มิหนำซ้ำยังให้คนนำของชิ้นใหญ่ขนาดนี้เข้ามาเพื่ออะไรกัน
สิ่งของที่ซูหลีให้คนนำมานั้นเป็นของที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง มองดูแล้วเป็นของชิ้นใหญ่มาก ทว่ามีผ้าสีแดงปิดเอาไว้อยู่ จึงมองไม่ออกว่าเป็นของสิ่งใด
“นี่คืออะไร” หลังจากฉินมู่ปิงเห็นแล้วก็อึ้งไปอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
เซี่ยอวี่เสียนเห็นของสิ่งนั้นแล้วก็ชะงักไป จากนั้นจึงอดกวาดสายตามองซูหลีมิได้
แม้จะถูกคนมากมายจับต้องเช่นนี้ ในใจของซูหลีกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย นางปรายตามองไปทางฉินมู่ปิงที่ถามคำพูดขึ้นมา นางหัวเราะแล้วเอ่ยว่า
“คำถามนี้ซื่อจื่อไม่ควรจะถามข้า ควรจะถามคุณชายป๋ายมากกว่า”
ป๋ายเฮ่อที่จู่ๆ ถูกเอ่ยถึงถึงกับตะลึงงัน นี่เกี่ยวอะไรกับเขากัน
ซูหลีกวาดตามองรอบสวนบุปผา ก็พบว่าคนเหล่านี้ด้วยมีอากัปกิริยาแบบเดียวกัน นางก็ไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว เพียงเอ่ยเสียงเบาว่า
“นำผ้าคลุมออกซะ”
“ขอรับ!” ชุยตานเดินไปที่ของสิ่งนั้น จากนั้นจึงเดินไปหยิบผ้าสีแดงที่คลุมสิ่งนั้นออก
หลังจากนำผ้าสีแดงออกมา ตรงหน้าของทุกคนก็มีแสงวูบวาบทันที เพียงแต่…
สิ่งที่ซูหลีนำมาก็คือป้ายชื่อแผ่นหนึ่ง บนป้ายเขียนเอาไว้ว่า…ที่หนึ่งในใต้หล้า
ตัวอักษรสีทองเรืองรอง ยามอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์นั้นแสบตาเป็นพิเศษ!