เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 827 คำถากถาง / ตอนที่ 828 นางจิ้งจอก
ตอนที่ 827 คำถากถาง
หลังจากได้ยินเรื่องราวเช่นนั้น นางก็ไม่อาจขุดเอาความสนใจใดๆ ขึ้นมาได้เลยจริงๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องที่สกุลหลี่ถูกผู้อื่นวางแผนใส่ร้ายจนมีสภาพกลายเป็นเช่นนั้น ซูหลีรู้สึกได้ว่าในกระดูกของตนเริ่มจะหนาวเย็นขึ้นมา
มันหนาวเย็นไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
สำหรับงานเฉลิมฉลองนี้นั้นย่อมไม่ได้คึกคักเหมือนเช่นดังก่อนแล้ว
ทว่านางเพียงแค่พูดน้อยลงไปมาก แต่ยังคงนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นฟังผู้คนรอบข้างพูดคุยกัน
“เนี่ยนเอ๋อร์อย่าเสียใจไปเลย” ถัดไปจากที่ของเหล่าสำนักเต๋อซั่นเป็นตำแหน่งของสำนักฉยงสือ ซูหลีได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยจึงเหลือบตาไปมองอย่างเกียจคร้านครู่หนึ่ง
เมื่อหันมองก็เห็นซูเนี่ยนเอ๋อร์กับผู้หญิงอีกสองสามคนกำลังเดินตรงมาทางด้านนี้
เมื่อเห็นซูเนี่ยนเอ๋อร์ ด้านซูหลีจึงนึกถึงเรื่องของหลี่ซื่อผู้นั้น
หลังจากนางออกจากจวนสกุลซูได้ไม่นานก็ได้ยินว่าซูไท่ได้ให้คนส่งตัวหลี่ซื่อออกไปแล้ว
บอกกล่าวกับคนนอกเพียงว่าหลี่ซื่อไม่สบายจึงกลับไปพักฟื้นร่างกายที่บ้านเกิดของตนเอง ทว่าทุกคนในบ้านสกุลซูต่างรู้ดีว่านี่ถือเป็นการปลดหลี่ซื่อผู้นั้นแล้ว
เพียงแต่เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ยากที่จะบอกกล่าวออกไปเพียงเท่านั้น
ส่วนผู้ดูแลบ้านสกุลซูผู้นั้นซูหลีไม่ได้สนใจอะไร บ่าวประเภทที่หลอกลวงตบตานายราวกับเป็นคนโง่เช่นนั้นจะได้พบเจอกับจุดจบเช่นไรต่างก็รนหาที่เองทั้งนั้น!
ส่วนซูเนี่ยนเอ๋อร์…
อายุไม่ใช่น้อยแล้ว เดิมทีตอนที่หลี่ซื่อยังอยู่ก็ดูแลใส่ใจแค่เรื่องมีบุตรและจัดการกับซูหลี ไม่ได้คิดหาเรื่องหมั้นหมายให้บุตรสาวของตนเอง ตอนนี้หลี่ซื่อถูกปลดตำแหน่งกลับบ้านเกิดไปแล้ว
ปล่อยให้ซูเนี่ยนเอ๋อร์อยู่ที่จวนซูเพียงผู้เดียว ทำหน้าที่บุตรสาวที่น่าอับอายของนางต่อไป
ทั้งยังไม่ทันได้หมั้นหมายอีก มันช่างยากที่จะเอ่ยว่าชีวิตผ่านไปได้อย่างดี
ซูหลีได้ยินมาว่าตอนนี้ภายในจวนสกุลซูมีจงคุ่ย[1]ที่มาควบคุมดูแลคือมารดาผู้ให้กำเนิดซูหรุ่ย
ซูหรุ่ยกับซูเนี่ยนเอ๋อร์ขัดแย้งกันมาโดยตลอด หากชีวิตในจวนของซูเนี่ยนเอ๋อร์ผ่านไปได้ด้วยดี เช่นนั้นถึงจะเรียกว่าแปลก
ซูเนี่ยนเอ๋อร์ก็ดูซีดเซียวผอมแห้งลงไปมากจริง
เดิมทีนางก็ผอมแห้งอ่อนแรงมากอยู่แล้ว หลังจากได้ประสบปัญหาเช่นนี้ก็ยิ่งผอมลงไปอีกหลายเท่าตัว คางแหลมขึ้นไม่ใช่น้อย โหนกแก้มนูนสูงแก้มตอบลึกเข้าไปมาก
แต่เดิมยังถือว่าสวยงามพอมีสีสันอยู่บ้าง แต่ดูตอนนี้แล้วขี้เหร่ลงไปมาก
ส่วนผู้หญิงสองสามคนรอบตัวนางนั้นดูเหมือนจะเป็นมิตรสหายที่สนิทสนมไปมาหาสู่กับนางและศึกษาอยู่ในสำนักฉยงสือเช่นกัน
ตลอดทางนั้นต่างช่วยปลอบใจนางเสียงค่อยเสียงเบา
ราวกับว่านางได้รับความไม่เป็นธรรมหนักหนาก็ไม่ปาน!
ซูหลีที่มองอยู่แทบจะอดหัวเราะเยาะไม่ได้
ทว่าเพราะการปรากฏตัวอย่างน่าประหลาดของซูเนี่ยนเอ๋อร์ทำให้อารมณ์หดหู่ใจของนางเมื่อครู่ผ่อนคลายลงไปไม่น้อยเลย
“เนี่ยนเอ๋อร์อย่าได้คิดมากไปเลย ซูไท่ไท่เป็นคนดีมาก ใต้เท้าซูคงจะแค่ถูกหลอกไปเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เดี๋ยวคงจะไปรับซูไท่ไท่กลับมาในไม่ช้านี้แน่” สตรีทางด้านซ้ายมือของซูเนี่ยนเอ๋อร์ผู้นั้นนามว่า เฝิงเจิง
เฝิงเจิงถิ่นกำเนิดไม่สูงนัก นางเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้น้อยใต้อำนาจของซูไท่ผู้หนึ่ง
ดูเหมือนจะใช้เวลาลงแรงไปไม่ใช่น้อยถึงได้เข้าศึกษาในสำนักฉยงสือและกลายเป็นสหายสนิทกับซูเนี่ยนเอ๋อร์ ยกยอปอปั้นซูเนี่ยนเอ๋อร์เป็นประจำจนเคยชิน
“ใช่ คนบางคนประพฤติตนใฝ่ต่ำแล้วยังทำให้คนรอบข้างต้องพลอยรับโทษไปด้วย ข้าว่าคนเช่นนี้ควรจะตีให้ตายถึงจะพอ ทั้งยังมุ่งหมายจะเป็นขุนนางหญิงคนแรกแห่งต้าโจว ทำเอาผู้อื่นอยากจะหัวเราะให้ฟังร่วงไปเลย!”
ทว่าในเพลานี้เองกลับมีเสียงพิลึกพิสดารเสียงหนึ่งดังขึ้นมากะทันหัน ไม่รื่นหูไร้ที่เปรียบและดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเหลือบมองไปทางนั้นปราดหนึ่ง พบว่ามีผู้หญิงอีกคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านขวาของซูเนี่ยนเอ๋อร์ รูปร่างหน้าตาของนางผู้นี้แลดูคุ้นหน้าคุ้นตา
เพียงแต่ซูหลีนึกไม่ออกว่าคนผู้นี้เป็นใคร ทว่าคนผู้นี้พูดได้ไม่น่าฟังถึงเพียงนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังพุ่งเป้ามาที่ซูหลี แต่ซูหลีจำไม่ได้เลยว่าตนเองเคยไปล่วงเกินผิดใจกับมนุษย์หมายเลขหนึ่งเช่นนี้ด้วยหรือ!
——
[1] จงคุ่ย ‘中馈’ (ภาษาหนังสือ)ในสมัยเก่าหมายถึงสตรีควบคุมการหุงหาอาหารในบ้าน
ตอนที่ 828 นางจิ้งจอก
นางเหล่ตาแล้วมองผู้หญิงคนนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่สองสามครา ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นหน้าคุ้นตา…
แต่กลับนึกไม่ออกว่าคนผู้นี้นางเคยเจออยู่ที่ใด
“คุณหนูสกุลป๋ายพูดถูกที่สุด คนบางคนไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร เป็นสตรีไม่รู้จักเรียนรู้ความประพฤติศีลธรรมดีของผู้อื่น กลับไปเป็นข้าราชการขุนนางอะไร ไม่มองดูตนเองบ้างเลยว่าเป็นเช่นไร!” หลังจากเฝิงเจิงได้ยินคำพูดของหญิงสาวผู้นี้ก็ตามนางไปด้วยอีกคน เริ่มกระแทกกระทั้นส่อเสียดซูหลีขึ้นมา
เสียงที่พวกนางพูดเสียงดังมากและไม่ได้คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
ขณะนั้นผู้คนรอบตัวต่างเงียบสงบลงและทยอยใช้สายตามองมาที่ซูหลี
กวาดสายตามองไปทั่วทั้งราชวงศ์ต้าโจวก็คงจะมีซูหลีเพียงผู้เดียวที่อยากไปรับราชการเป็นขุนนาง
ที่พูดถึงอยู่นี้ก็คือนางเอง ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?
ป๋าย?
ซูหลีหยุดนิ่งไปชั่วขณะพลางมองไปทางหญิงสาวผู้นั้นอีกครา อย่าได้กล่าวไป หลังจากเฝิงเจิงผู้นั้นเอ่ยเตือนขึ้นมานางก็เพิ่งจะพบว่าหญิงสาวผู้นี้กับไฉหนี่ว์[1]คนแรกแห่งเมืองหลวงป๋ายถานผู้นั้นรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันมาก
นางสวมเสื้อทับสีฟ้าเกล็ดหิมะตัวน้อยคู่กับกระโปรงสีขาวพระจันทร์ บนศีรษะปักเพียงปิ่นหยกหนึ่งด้าม ในบรรดาการแต่งกายของเหล่าสตรีชั้นสูงนางดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ
การแต่งตัวสีเรียบสะอาดตานี้ไม่ว่า ทั้งคนยังมีรูปลักษณ์ไม่เลว เพียงแต่เวลามองผู้อื่นในดวงตานั้นมีความหยิ่งยโส ดูถูกเหยียดหยาม มองแล้วดูเย่อหยิ่งจองหองมากไปหน่อย
เมื่อซูหลีมองอยู่เช่นนี้ก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน คนผู้นี้นางเคยพบเจอมาก่อน
วันนั้นที่นางพาคนไปก่อความวุ่นวายที่บ้านสกุลป๋าย
ในเวลานั้นผู้หญิงคนนี้ยืนอยู่ทางด้านหลังของหวังซื่อผู้นั้น คิดไปแล้วนี่คงจะเป็นคุณหนูรองแห่งบ้านสกุลป๋าย บุตรสาวที่เกิดจากภรรยารอง ป๋ายเฉียง!
สีหน้าแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูหลี ป๋ายเฉียงผู้นี้กำลังพูดจาถากถางนาง แต่กลับไม่รู้เลยว่าครานั้นที่ป๋ายไต้ซือกับป๋ายเฮ่อมาหาถึงประตูบ้านก็เพื่ออยากจับคู่ป๋ายเฉียงให้กับนาง
นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ดูจากตอนนี้คุณหนูป๋าย ป๋ายเฉียงผู้นี้เหมือนจะไม่ใช่ผู้ดีอะไร
ไม่ได้ดูฉลาดขนาดนั้น อย่างน้อยในระดับของความฉลาดไม่มีทางเทียบเท่าป๋ายถานผู้นั้นได้เลย
“จะเป็นเช่นไร? ก็ลักษณะอย่างนางจิ้งจอก[2]อย่างไรเล่า หากไม่ใช่เพราะอาศัยสิ่งนี้เกรงว่าคงจะต้องโทษประหารไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าตอนอยู่ที่เจียงซีอวิ๋นหนานอาศัยทักษะความสามารถแบบใดถึงได้ทำให้ผู้คนมากมายวิ่งวุ่นมาขอความเมตตาให้นางถึงเมืองหลวง!”
“ว่าตามจริงมันก็แค่คนต่ำทรามผู้หนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ!?” ป๋ายเฉียงผู้นั้นพูดจาไม่น่าฟังถึงที่สุด ไปถึงจุดที่ดูถูกเหยียมหยาดผู้อื่นที่สุด
ซูหลีขมวดคิ้ว สีหน้าไม่น่าดูอย่างมาก นางจำได้ว่านอกจากครั้งก่อนนี้ที่ป๋ายไต้ซือผู้นั้นอยากจับคู่ซี้ซั้วแล้ว นางกับคุณหนูรองสกุลป๋ายผู้นี้ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกันเลย
คนผู้นี้เคียดแค้นนางมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“คุณหนูป๋าย!” มีคนทางฝั่งสำนักเต๋อซั่นทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว หวงฮ่าวกวาดสายตามองป๋ายเฉียงผู้นั้นปราดหนึ่ง พลางกล่าวถากถางเสียงเย็นว่า: “สิ่งที่ใต้เท้าซูทำเหล่านั้นแม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังทรงยอมรับเลย คุณหนูป๋ายเองก็กำเนิดจากตระกูลมีชื่อสูงส่ง เหตุใดถึงสายตาต่ำทรามเพียงนี้?”
“เห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตนไม่ได้ว่าถือว่าแย่มากแล้ว ยังจะจงใจพูดจาสาดน้ำโคลนใส่ร้ายหญิงอื่นเช่นนี้ คุณหนูป๋ายช่างมีการศึกษาถูกอบรมสั่งสอนมาดีเสียจริง!”
เดิมทีผู้คนเหล่านี้ในสำนักเต๋อซั่นก็ไม่ใช่ผู้ดีอะไรอยู่แล้ว แตกต่างจากพวกสำนักฉยงสือที่คิดไปเองว่าตนเป็นพวกมีสติปัญญาพรสวรรค์
แต่ไหนแต่ไรพวกเขามีอะไรก็พูดออกไปเช่นนั้น แม้เป็นหญิงแต่หากพูดอะไรที่ไม่น่าฟังก็สามารถทำให้พวกเขาไม่ชอบใจได้เช่นนั้น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนประเภทหลงตัวเองอย่างป๋ายเฉียงเลย ในความเป็นจริงแล้วไม่มีสิ่งใดที่นับว่าเป็นหญิงอยู่เลย
ป๋ายเฉียงคาดไม่ถึงว่าทั้งที่ซูหลียังไม่ได้พูดอะไร คนของสำนักเต๋อซั่นก็กระโดดออกมาช่วยนางแล้ว!
ภายในใจจึงยิ่งจดจำนางจิ้งจอกซูหลีผู้นี้!
——
[1] ไฉหนี่ว์ ‘才女’หมายถึงสตรีที่เก่งกาจมีความสามารถ ซึ่งเป็นหนึ่งในตำแหน่งของพระสนมในราชสำนักจีนโบราณ
[2] นางจิ้งจอก ‘狐媚子’หมายถึง หญิงสาวที่เก่งในการใช้ความงามล่อลวงผู้คน