พ่ายรักวิวาห์ลวง - ตอนที่ 147 สงครามเย็น
เวินหลานฉีโดนฮั่วฉินเยี่ยนพูดแปลกๆ ใส่ อะไรคือเขาชอบเธอ หรือเขาไม่รู้ว่าตนเคยปฏิเสธจิ่งหลานไปนานแล้วงั้นเหรอ
ในเมื่อเป็นแบบนี้ หากแต่เวินหลานฉีก็ยังคงพยายามอธิบายให้ฮั่วฉินเยี่ยนฟังอย่างอารมณ์ดี “อาเยี่ยนฉันเปล่า…เขาเดินได้เองก็จริง แต่จะเหนื่อยมาก ฉันกลัวเขาจะล้มก็เลยประคองเขาไง…”
“เวินหลานฉีคุณพอเถอะ คุณอธิบายกับผมมากขนาดนี้จะมีประโยชน์อะไร คุณจะให้ผมทำยังไงอีก ตอนเข้ามาเมื่อกี้ผมได้ยินพยาบาลที่นี่กำลังพูดวิพากษ์วิจารณ์ ว่าคุณกับจิ่งหลานเป็นคู่รักกัน คุณเคยคิดบ้างไหมว่าผมจะรู้สึกยังไง ถ้าได้ยินว่าภรรยาของตัวเองกับผู้ชายคนอื่นสนิทสนมกันจากปากของคนอื่น คุณรู้บ้างไหมว่าผมจะคิดยังไง” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดพลางยิ้มเย็น
“อาเยี่ยน…คุณไม่เชื่อเหรอ” เวินหลานฉีไม่มีอะไรจะโต้แย้ง สิ่งที่ตนควรจะพูดก็พูดไปหมดแล้ว หากฮั่วฉินเยี่ยนยืนกรานจะไม่เชื่อ เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“คุณจะให้ผมเชื่อได้ยังไง ผมเห็นกับตาว่าคุณกับจิ่งหลานสนิทสนมกันขนาดนี้!” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดจบก็หันหลังเดินจากไป โดยทิ้งเวินหลานฉีให้ยืนอยู่ที่เดิมเพียงคนเดียว…
เธอเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เมื่อเห็นสายตารักและสงสารของจิ่งหลาน เขาได้ยินคำพูดของพวกเขาเมื่อสักครู่ทั้งหมด ตนมีความเห็นแก่ตัว อยากจะอยู่กับเวินหลานฉีมากกว่านี้อีกหน่อยนั้นไม่ผิด แต่คำพูดจากปากของฮั่วฉินเยี่ยนคราวนี้กลับกลายเป็นแอบทำความชั่ว เขาว่าคุณก็แล้ว ยังจะปฏิบัติต่อเวินหลานฉีด้วยท่าทางแบบนี้อีกเหรอ เสียแรงเปล่า ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าฮั่วฉินเยี่ยนดีกับเวินหลานฉีมาโดยตลอด ตอนนี้ดูเหมือน…จริงๆ แล้ว…
“ฉี…คุณ…ยังโอเคไหม” จิ่งหลานพูดไปพลาง หมายจะเข้าไปประคองเธอ แต่ก็จนปัญญาเพราะขาของตนยังไม่ดีเลย เดินไปข้างหน้าได้ก้าวหนึ่งก็ซวนเซเกือบจะล้ม
เวินหลานฉีเห็นเข้าจึงรีบก้าวเข้าไปพยุงจิ่งหลาน “ไม่เป็นไร อาเยี่ยนเขาก็อารมณ์อย่างนี้แหละ มีอะไรนิดหน่อยก็ระเบิดออกมา เดี๋ยวผ่านไปสักพักก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“แต่ทำไมเขาไม่เชื่อคุณล่ะ…” จิ่งหลานพูดพลางขมวดคิ้ว
“เอาเถอะ คุณวางใจได้ ฉันไม่เป็นไร” เวินหลานฉีแกล้งฝืนยิ้ม
จิ่งหลานรู้จักเวินหลานฉีมาตั้งนาน ทำไมจะไม่รู้ว่าอารมณ์ของเธอนั้นอ่อนไหวแค่ไหน เขาเห็นอย่างชัดเจนว่านัยน์ตาที่เธอแกล้งฝืนยิ้มนั้นมีน้ำตาคลอ แต่เขากลับไม่ได้พูดเปิดโปงเธอ เพราะรู้ว่าถ้าตอนนี้เขาทำแบบนั้นแล้วมาปลอบโยนเธอ เธอจะลำบากใจมาก
เวินหลานฉีประคองจิ่งหลานนั่งลงช้าๆ แล้วก้มหน้าครุ่นคิด…
ในใจของจิ่งหลานเคยทรมานมาก่อน เขาเข้าใจผิดคิดว่าฮั่วฉินเยี่ยนดีต่อเวินหลานฉีมาก แต่วันนี้ได้เห็นทัศนคติของเขาแล้ว เขารู้สึกไม่เต็มใจจะยกเวินหลานฉีให้ฮั่วฉินเยี่ยนอยู่บ้าง…แต่ถ้าเขาสารภาพรักอีกครั้ง เวินหลานฉีจะงงมากไหมนะ…
ในใจเขากำลังลังเลอย่างทรมาน สุดท้ายคิดๆ ดูแล้วเอ่ยปากออกไปคงจะดีกว่า
“ฉี…คุณอยู่กับฮั่วฉินเยี่ยนมีความสุขดีไหม” จิ่งหลานไม่รู้จะพูดอย่างไร จึงได้แต่ถามเธอแบบนี้
“หลาน ทำไมอยู่ๆ นายก็ถามคำถามนี้ล่ะ อืม…แม้ก่อนหน้านี้เราจะไม่มีความสุขอยู่บ้างก็จริง แต่ตอนนี้เขายังดีกับฉันอยู่มาก” เวินหลานฉีเอียงคอคิดๆ แล้วเอ่ยตอบ
“อย่างนั้นเหรอ ฉี…ถ้าเขาทำให้คุณไม่มีความสุขตรงไหน คุณมาหาผมได้นะ บอกผมได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรอย่าแบกไว้คนเดียว เห็นคุณเป็นแบบนี้แล้วผม..ผมปวดใจมาก” จิ่งหลานลังเล หากแต่ก็ยังคงพูดประโยคนี้ออกไป เขาไม่อยากให้เวินหลานฉีลำบากใจ แต่เขาอยากบอกความจริงในใจของเขากับเธออีกครั้ง
เขาทนเห็นเวินหลานฉีโดดเดี่ยว แต่กลับนั่งมองโดยไม่สนใจแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ
เวินหลานฉีนึกไม่ถึงว่าจิ่งหลานจะพูดแบบนี้ ในใจอุ่นวาบขึ้นมา เธอพยักหน้าเบาๆ
“ฉีคุณจำไว้นะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมจะเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่แข็งแกร่งและเหนียวแน่นที่สุด แม้ว่า…สุดท้ายคนที่คุณเลือกจะไม่ใช่ผมก็ตาม” จิ่งหลานถอนหายใจ และมองเวินหลานฉีด้วยความห่วงใย ดวงตาสวยงามทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นอันอ่อนโยน
“อืม…” เวินหลานฉีตอบเสียงเบา
“ถ้าไม่สบายใจ ก็ร้องออกมาเถอะ อย่าเก็บไว้กับตัวเองเลย อยู่กับผมตรงนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง…” จิ่งหลานแตะๆ ไหล่เวินหลานฉี
เวินหลานฉีก้มหน้าพิงไหล่จิ่งหลาน แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ ส่วนฮั่วฉินเยี่ยนเพราะรู้สึกผิด จึงกลับหลังหันเดินกลับมา เพื่อจะมาหาเวินหลานฉี แต่กลับเห็นฉากนี้เข้า…
ฮั่วฉินเยี่ยนยืนอยู่หน้าห้องนิ่งๆ มองทะลุผ่านกระจกหน้าต่างห้องเข้าไป เห็นเงาทั้งสองอย่างสนิทสนม เขาจึงหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร เหลือไว้เพียงเงาอันโดดเดี่ยวอ้างว้างเดินไปจนสุดทางเดิน เงาของเขาจมดิ่งลงไปในค่ำคืนอันยาวนาน…
เวินหลานฉีกลับมาคืนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว เธอเปิดไฟ แต่กลับพบว่าฮั่วฉินเยี่ยนไม่อยู่บ้าน คงจะไม่อยากเห็นเธอ เลยกลับบ้านใหญ่สกุลฮั่วละมั้ง เวินหลานฉียกยิ้มอย่างขมขื่น
หลังจากฮั่วฉินเยี่ยนออกจากโรงพยาบาล เขาก็กลับบริษัทและยืนมองเมืองแห่งนี้จากหน้าต่างกระจกชั้น 20 เมืองหลวงยามราตรีนั้นมีแสงไฟแพรวพราว ทำให้เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยความหรูหราและคึกคัก มีความทรงจำทั้งดีและไม่ดีของเขานับไม่ถ้วน…
ฮั่วฉินเยี่ยนนั่งอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพังทั้งคืน เขาคิดเรื่องต่างๆ มากมายจนฟ้าสาง เหลือไว้เพียงก้นบุหรี่และกระป๋องเบียร์เกลื่อนพื้น
พนักงานทำความสะอาดที่เขาเรียกขึ้นมาถึงกับตื่นตะลึง แต่ด้วยอำนาจของฮั่วฉินเยี่ยน เธอจึงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไร ได้แต่เก็บความฉงนสงสัยไว้ในใจของตนเอง
วันต่อมาเวินหลานฉีมาถึงออฟฟิศด้วยสีหน้าซีดเผือด เมื่อคืนเธอไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ
หลังจากเวินหลานฉีสั่งให้เสี่ยวมั่วขึ้นมาช่วยตนชงกาแฟแก้วหนึ่ง เธอก็นั่งทำงานอยู่หน้าคอม คนในบริษัทล้วนดูออก ว่าวันนี้บรรยากาศรอบตัวของเวินหลานฉีเต็มไปด้วยความอึมครึม และหายใจแรงจนไม่มีใครกล้าออกไปไหน ได้แต่นั่งทำงานอยู่ที่นั่งของตัวเองอย่างว่าง่าย
พอเลิกงาน เวินหลานฉีก็ออกจากบริษัทมาก่อน คนในออฟฟิศถึงกล้าวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเซ็งแซ่
“วันนี้ประธานเวินเป็นอะไรอะ บรรยากาศอึมครึมจนฉันไม่กล้าคุยกับเธอเลย”
“นั่นน่ะสิ ฉันเองก็ด้วย ตอนฉันขึ้นไปส่งเอกสารให้ประธานเวินนะขวัญหนีดีฝ่อไปหมด แต่เธอก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองฉันเลยสักนิด ฉันเองก็ไม่กล้าหรอกนะ เดาว่าฉันคงกลัวจนไม่กล้าหายใจแรงเลยล่ะ”
“พวกเธอว่า…ประธานเวินทะเลาะกับประธานฮั่วของพวกเรามาหรือเปล่านะ”
“ก็อาจจะเป็นได้ไปได้นะ…ช่วงนี้ไม่เห็นประธานฮั่วมารับประธานเวินเลย”
“นั่นสิ อีกอย่างช่วงนี้ผู้ช่วยจิ่งก็ไม่มาด้วยสิ แปลกจริงๆ …”
ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปอย่างเซ็งแซ่ ทว่าก็ไม่มีใครกล้าฟันธง จึงได้แต่พูดกันว่าช่วงนี้ระวังอย่าก่อเรื่องมากเท่านั้น พยายามอย่าทำให้เวินหลานฉีอารมณ์ไม่ดีจนเสียงาน
ตลอดทั้งวันนี้เวินหลานฉีไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อหาฮั่วฉินเยี่ยนเลย ส่วนฮั่วฉินเยี่ยนเองก็ไม่ได้ส่งข้อความหาเวินหลานฉีเลยสักข้อความ ทั้งสองตกอยู่ในสงครามเย็นเช่นนี้…นิสัยหยิ่งยโสและรักศักดิ์ศรี ทำให้พวกเขาต่างไม่ยอมเป็นฝ่ายยอมรับผิดกับอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต่างไม่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดทั้งคู่
ความรู้สึกตอนเวินหลานฉีมาถึงห้องพักผู้ป่วยของจิ่งหลานนั้นหดหู่เหลือเกิน ถึงจิ่งหลานจะไม่ได้ถาม ก็เดาเหตุผลคร่าวๆ ออก คนที่จะทำให้เวินหลานฉีไม่สบายใจได้ทุกวันนี้ คงมีเพียงแต่ฮั่วฉินเยี่ยนเท่านั้น และก็มีเพียงฮั่วฮินเยี่ยนทำได้คนเดียวเท่านั้น
จิ่งหลานถอนหายใจ และมองสีหน้าซีดเผือดของเวินหลานฉีอย่างปวดใจ
ทว่ากลับมีใครบางคนแอบดีใจ กับสงครามเย็นระหว่างฮั่วฉินเยี่ยนกับเวินหลานฉี ไม่ต้องสงสัยเลย คนคนนั้นก็คือเหยียนน่า ช่วงนี้ฮั่วจวินไม่ได้ติดต่อเธอมาอีก เหยียนน่าจึงนั่งไม่ติดเพราะแผนครั้งก่อนไม่สำเร็จ แถมยังเกือบทำให้ฮั่วฉินเยี่ยนพบที่กบดานของตนอีก จนเหยียนน่าถึงกับขวัญหนีดีฝ่อไปหลายวันเลยจริงๆ
มาวันนี้เพิ่งจะได้ยินเรื่องสงครามเย็นของฮั่วฉินเยี่ยนกับเวินหลานฉี ความรู้สึกของเธอราวกับลอยจากหุบเหวขึ้นไปถึงสวรรค์ก็มิปาน ครั้งนี้จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอีก เธอต้องทำให้สำเร็จ!
ในใจของเหยียนน่าวางแผนร้ายอย่างลับๆ เรียบร้อย แค่รอให้สองวันนี้ผ่านไป หลังจากทุกอย่างจัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ถึงจะดำเนินการได้
หลายวันผ่านไปความสัมพันธ์ของฮั่วฉินเยี่ยนกับเวินหลานฉี ยังคงไม่กระดิกกระเดี้ยอย่างกับน้ำแข็ง ฮั่วฉินเยี่ยนคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร เวินหลานฉีน่าจะเป็นฝ่ายมาขอโทษเขากับการกระทำของตัวเองเสียด้วยซ้ำ ส่วนเวินหลานฉีกลับคิดว่าทุกอย่างนี้เป็นแค่การกระทำจงใจหาเรื่องตน โดยไม่มีเหตุผลของฮั่วฉินเยี่ยนเท่านั้น บวกกับงานช่วงนี้ยุ่งจริงๆ แถมยังต้องไปดูแลจิ่งหลานที่โรงพยาบาลทุกวันอีก เธอจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
ฮั่วฉินเยี่ยนคิดไม่ถึง ว่านี่จะเป็นการให้โอกาสครั้งใหญ่แก่คนที่อยากจะทำร้ายเวินหลานฉี
วันนี้เวินหลานฉียังคงมาทำงานที่บริษัทอย่างในทุกวัน ช่วงนี้สภาพจิตใจของเธอไม่ค่อยดีนัก หลังๆ มานี้มักจะกำชับให้ลูกน้องไปชงกาแฟให้เธอเป็นประจำ วันนี้เองก็เหมือนกัน
“เสี่ยวมั่วช่วยไปชงกาแฟมาให้สักแก้วสิ” เวินหลานฉีอ่านเอกสารไปพลาง ก็เอ่ยพูดกับเสี่ยวมั่ว
“ได้ค่ะประธานเวิน”
ทันทีที่เสี่ยวมั่วเพิ่งเดินมาถึงห้องเก็บน้ำชา ผู้ช่วยแผนกวางแผนก็เรียกให้เธอไปช่วยดูเอกสารสักหน่อย ประจวบเหมาะกับเวลานี้มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินมาพอดี และบอกว่าจะช่วยชงกาแฟให้ ให้เธอไปทำธุระก่อน
ซึ่งเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าทุกอย่างนี้ได้วางแผนไว้อย่างดีแล้ว แค่รอให้เธอตกมาในหลุมพรางนี้เท่านั้นเอง และเธอก็ไม่รู้ว่างานนี้ของตนนั้น เกือบจะกลายเป็นผลที่ไม่อาจกอบกู้คืนกลับมาได้แล้ว
หลังจากเสี่ยวมั่วทำธุระเสร็จ เพื่อนร่วมงานมาใหม่คนนั้นก็ชงกาแฟเสร็จพอดี เธอส่งให้ในมือ เสี่ยวมั่วจึงพูดขอบคุณแล้วเดินขึ้นตึกไป โดยไม่ทันสังเกตรอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องของคนข้างหลังเลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวมั่วยกกาแฟเข้าไปในห้องทำงานของเวินหลานฉี และวางลงบนโต๊ะ หลังจากเวินหลานฉียกขึ้นมาจิบไปอึกหนึ่ง พบว่ามีเมลส่งเข้ามา จึงวางกาแฟลงและกดเปิดอีเมลดู
ใครจะรู้ว่าทันทีที่เพิ่งอ่านเมลไปได้ไม่กี่คำ อยู่ๆ เวินหลานฉีก็เอามือกุมลำคอไว้ แล้วร้องออกมา เธอล้มลงบนพื้นอย่างเจ็บปวด ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงอมเขียว เสี่ยวมั่วที่ยังไม่ทันเดินออกจากห้องทำงาน เมื่อเห็นท่าทางของเวินหลานฉี ก็ตกใจรีบต่อสายหา 120 ทันที
ท่ามกลางความวุ่นวาย คนคนนั้นกลับฉวยโอกาสตอนทุกคนยังไม่ทันสังเกต หมุนกายเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
เสี่ยวมั่วและพนักงานสองสามคนขึ้นรถพยาบาลไปเป็นเพื่อนเวินหลานฉี เวินหลานฉีสลบไสลไม่ได้สตินานแล้ว คุณหมอวินิจฉัยโรคแล้วบอกว่าอาหารเป็นพิษ ทุกคนจึงตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ฉันว่าเราควรโทรหาประธานฮั่วดีกว่า ถึงยังไงเราก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องผ่าตัดแทนประธานเวินนะ!”
“แต่ประธานเวินกับประธานฮั่วกำลังอยู่ในช่วงสงครามเย็นกันไม่ใช่หรือไง ประธานฮั่วจะสนใจเรื่องของประธานเวินเหรอ…” ใครบางคนพูดออกมาอย่างลังเล
“เธอเคยเห็นใครทำสงครามเย็นกันถึงขั้นนี้เหรอ”
สุดท้ายเสี่ยวมั่วก็ยังคงโทรศัพท์หาฮั่วฉินเยี่ยน
ฮั่วฉินเยี่ยนกำลังประชุมอยู่ในออฟฟิศ พอเห็นเบอร์แปลกโทรเข้ามาตอนแรกว่าจะไม่รับ แต่อยู่ๆ ในใจเขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรง ทำให้เขาต้องเดินออกจากห้องทำงานไปรับโทรศัพท์สายนี้
ราวกับว่าถ้าเขาไม่รับ จะเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ฮั่วฉินเยี่ยนรับสายโทรศัพท์
“ฮัลโหล? ประธานฮั่วหรือเปล่าคะ เกิดเรื่องกับประธานเวินแล้วค่ะ! คุณรีบมาดูหน่อยเถอะ” น้ำเสียงกระวนกระวายของเสี่ยวมั่วดังขึ้นในสาย