ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 275 - 2 ผ่าหยก
จ่านป๋ายรับปากอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นประตูห้องครัวปิดลง ซีเหมินจินเหลียนนั่งลงบนโซฟาและถามสวี่อี้หราน “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ไม่นานเท่าไหร่ จริงสิ กุหลาบแวร์ซายน์ยังไม่บาน ผมเลยเอาดอกกล้วยไม้บางส่วนมาให้คุณ” สวี่อี้หรานยิ้ม
“อืม ขอบคุณค่ะ เมื่อกี้ฉันก็เห็นแล้ว สวยมากเลย” ซีเหมินจินเหลียนกล่าวขอบคุณ จากนั้นส่งเสียงถามไปว่า “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อสักครู่นี้เอง” สวี่อี้หรานพูด
“แล้วคุณมีวิธีที่จะจับชีพจร…ให้คนคนนั้นไหม?” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“หูชีเยี่ยนเหรอ?” สวี่อี้หรานขมวดคิ้วพูด เป้าหมายที่ซีเหมินจินเหลียนเรียกเขามา ไม่ใช่เพราะอยากจะเชิญเขามากินข้าว แต่เป็นเพราะเรื่องนี้
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “คิดไม่ถึงว่าคุณก็รู้จักชื่อของเขาด้วย?”
“ชีเยี่ยนชังอู…” สวี่อี้หรานถอนหายใจเบาๆ “คุณรู้จักเขาได้ยังไง เขาพักอยู่ที่นี่กับคุณเหรอ” เขาถามคำถามทั้งหมดที่สงสัยพรวดเดียว
คิดไม่ถึงว่าชื่อของพ่อจะมีความนึกคิดอันลึกซึ้งด้วย? ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกอิจฉา ชื่อของตัวเองดูเฉิ่มเชยเกินไป มักจะถูกคนหยอกล้อ
ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่พยักหน้า ส่วนสวี่อี้หรานขมวดคิ้วพูดขึ้น “จินเหลียน คุณรู้หรือเปล่าว่าคนคนนี้…เขาอันตรายมากแค่ไหน คุณไม่ควรให้เขามาพักที่นี่ เขา…ตามหลักการแล้วเขาควรจะตายไปนานแล้ว…”
“คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ ทำไมเขาถึงรู้เรื่องราวตั้งมากมายขนาดนี้?
“อาจารย์ของผมเป็นคนลงมือเองกับมือ ตอนนั้นควักดวงตาทั้งสองข้างของเขา และทำร้ายมือเท้าเขาจนใช้การไม่ได้ และโยนเขาลงไปในเหมืองหยกใต้ดิน ก่อนจะใช้ระเบิดทำลายเหมืองหยกแห่งนั้นจนสิ้นซาก…แล้วเขาจะมีชีวิตได้อย่างไร?” สวี่อี้หรานน้ำเสียงสั่นเครือ “นี่อาจารย์ของผมเป็นคนพูดเอง!”
“อาจารย์ของคุณเป็นใคร?” น้ำเสียงของซีเหมินจินเหลียนดังขึ้นหลายเดซิเบล
“อาจารย์ของเขาก็คือซีเหมินน่งเย่ว์!” ประตูห้องครัวเปิดออก หูชีเยี่ยนเดินออกมาจากข้างในและยิ้มออกมาเยือกเย็น “ก็คือลูกชายคนโตของอาจารย์หนูซีเหมินเหล่าเอ๋อร์ พี่ชายแท้ๆ ของปีศาจงูซีเหมินเวิ่นเสวี่ยอย่างไรล่ะ”
“คุณไสหัวไปให้พ้น!” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปที่หน้าประตูและก่นด่าสวี่อี้หรานออกไป
“จินเหลียน เขาอันตรายจริงๆ นะ คุณจะให้คนอันตรายแบบนี้มาพักที่บ้านของคุณไม่ได้นะ!” สวี่อี้หรานพูด
“ออกไป!” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าจมูกของตนเองร้อนผ่าวไปหมด น้ำตาเหมือนจะไหลออกมา…พวกเขาถึงขั้นควักดวงตาทั้งสองข้างของเขา และตัดแข้งขา…พระเจ้า หลายปีมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
“จินเหลียน คุณต้องเชื่อผมสิ…” สวี่อี้หรานคิดว่าคนคนนี้จะต้องมาแก้แค้นแน่ เขาพักอยู่กับซีเหมินจินเหลียน เขาจะต้องมีจุดประสงค์ไม่ดีบางอย่าง
“ให้ฉันเชื่อคุณเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนตะเบ็งเสียงสูง “อาจารย์ของคุณคนนั้น ควักดวงตาพ่อแท้ๆ ของฉัน ตัดแขนตัดขาของเขาและให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในเหมืองใต้ดิน ให้ฉันเชื่อคุณอย่างนั้นเหรอ…” ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งใจกระตุก หยิบมีดปอกผลไม้ขึ้นมาก่อนพูดขึ้น “ถ้าคุณยังไม่ไปอีก ฉันจะฟันคุณแน่!”
“คุณว่าอะไรนะ?” สวี่อี้หรานหน้าถอดสี พูดขึ้นอย่างตกใจ “ขะ…เขาเป็นพ่อของคุณ? ไม่ใช่ว่าคุณเป็นเด็กกำพร้าหรอกเหรอ?”
“หรือพ่อแม่ของคุณก็เกิดมาจากก้อนหินเหรอไง!” ซีเหมินจินเหลียนกลั้นไว้ไม่อยู่ระเบิดคำหยาบออกมาไม่ยั้ง “ทุกคนก็ล้วนมีพ่อมีแม่ทั้งนั้น ที่ฉันเป็นเด็กกำพร้า ก็เพราะอาจารย์ของคุณเป็นคนก่อทั้งนั้น ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้!” สวี่อี้หรานส่ายหน้าติดๆ กัน และหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก
หูชีเยี่ยนพูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “อย่าลืมบอกซีเหมินเวิ่นเสวี่ยด้วยล่ะว่าฉันกำลังรอเขาอยู่!”
สวี่อี้หรานไม่แม้แต่หันหน้ากลับไปมอง เดินไปที่ประตูด้านหลังก่อนจะได้ยินเสียงเพล้งดังขึ้น เขาจำต้องหันหลังไปดูและเห็นว่าน้ำที่รินด้วยตัวเอง ดอกกล้วยไม้ที่เสียบในนั้น แม้แต่แจกันคริสตัลก็แตกละเอียดอยู่บนพื้น ใบหน้าของซีเหมินจินเหลียนอาบไปด้วยน้ำตา
สวี่อี้หรานรู้สึกเจ็บแปลบในใจ แต่ในใจของเขามีความสงสัยอยู่ท่วมท้นต้องรีบไปจัดการไขความกระจ่าง และเขาต้องให้อาจารย์ไปอยู่ที่ตงไห่เกาะหลิวลี่ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าบนโลกนี้คงไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยแล้ว…
หูชีเยี่ยนไม่มีทางไปเกาะหลิวลี่ เมื่อคิดถึงเท่านี้ เขาก็สูดลมหายใจลึกๆ หันไปมองซีเหมินจินเหลียน “ผมขอโทษ”
เมื่อเห็นสวี่อี้หรานจากไป ซีเหมินจินเหลียนก็ทรุดนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า ไม่พูดจาสักคำ
หูชีเยี่ยนหยิบกระดาษทิชชู่แผ่นหนึ่งบนโต๊ะส่งไปให้เธอและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องร้องแล้ว พ่อยังไม่ได้ตายเสียหน่อย ลูกจะร้องทำไม?”
“ทำไมอาจารย์ของเขาต้องทำแบบนี้กับคุณด้วยคะ?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าถาม
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ ลูกไม่ต้องถามถึงแล้ว” หูชีเยี่ยนส่ายศีรษะพูด “พ่อก็ไม่อยากเอ่ยถึงเหมือนกัน”
จ่านป๋ายเดินออกมาจากในครัวยกซุปไก่ถ้วยหนึ่งออกมาและถามอย่างสงสัย “ดวงตาของคุณดีขึ้นได้ยังไงกัน ฝีมือแพทย์สมัยนี้พัฒนาขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
หูชีเยี่ยนจ้องมองไปที่เขา มองจนจ่านป๋ายรู้สึกขนลุกชันและรีบพูดว่า “ผมว่าผมไปดูก่อนดีกว่าว่าปลาสุกดีแล้วยัง” พูดจบเขาก็หมุนตัวหายไปในครัวอย่างไร้ร่องรอยเหมือนกลุ่มควันและถือโอกาสปิดประตูสนิท
“ดวงตาของคุณ…และมือของคุณ…” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลาง อีกด้านก็รีบจับมือของเขาเพื่อตรวจสอบ
“ไม่เป็นไรแล้ว พ่อรู้จักหมอมองโกลคนที่วิปริตกว่าซีเหมินน่งเย่ว์คนหนึ่ง ตอนที่ลูกเพิ่งเจอพ่อที่พม่า ลูกก็เห็นว่าพ่อก็กลัวแสงไม่ใช่เหรอ? เพราะว่าตอนนั้นดวงตาของพ่อเพิ่งจะผ่าตัดเสร็จเลยเจอแสงมากไม่ได้เท่านั้น” หูชีเยี่ยนพูด ข้ออ้างแบบนี้เขาเตรียมไว้นานแล้ว
“แล้วมือของคุณล่ะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนจับมือของเขาและถามร้อนรน
“โดนแค่ชีพจรหลัก ทำให้เคลื่อนย้ายของหนักไม่ได้เท่านั้น พ่อก็แค่ไม่ต้องย้ายของหนักเท่านั้นเอง” หูชีเยี่ยนยิ้มอธิบาย “อาจจะมีบางครั้งเลือดไม่เดินเลยทำให้มือเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็ง แต่เพื่อนพ่อบอกว่าพอเวลาผ่านไปมันจะดีขึ้น ไม่มีปัญหาอะไร ลูกวางใจได้ ไม่ต้องร้องแล้วนะ อยากจะให้พ่อตายมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นหรอก”
จ่านป๋ายอยู่ในห้องครัว ใส่หูฟังไว้ในกระเป๋าข้างในอย่างเงียบๆ คำพูดหลอกลวงแบบนี้ของหูชีเยี่ยน คงคิดว่าสามารถหลอกปั่นหัวซีเหมินจินเหลียนที่รักเขาได้เหมือนกัน หากฝีมือแพทย์ทันสมัยรุดหน้าขนาดนั้น เกรงว่ายาอมตะก็คงทำออกมาได้
หลายปีมานี้เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของหูชีเยี่ยนกันแน่?
อีกอย่างเวลาหูชีเยี่ยนโมโหใคร พลังระเบิดของเขาทำให้คนตื่นกลัวตกใจ ไม่เหมือนกับคนที่มือเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน คนที่เคยผ่าตัดที่มือ ถ้าลงมือจริงๆ ตนคงไม่มีทางเป็นศัตรูของเขาแน่ แต่มือของเองไม่ใช่ว่าเขาคิดไปเอง บนโลกใบนี้คนที่จะตีเขาตัวต่อตัวและชนะคงมีไม่เยอะ
“จินเหลียน ลูกไม่ต้องโกรธลูกชายตระกูลสวี่หรอก” หูชีเยี่ยนมองไปที่แจกันดอกไม้บนพื้น “กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา พ่อจะไปคิดบัญชีกับซีเหมินน่งเย่ว์ เรื่องนี้เขาก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
“พวกเขาทำแบบนั้นกับคุณ แต่คุณก็ยังจะพูดแทนพวกเขาอีกเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนเบะปากใส่
“ทุกอย่างตั้งอยู่บนความเป็นจริงอย่างไรล่ะ” หูชีเยี่ยนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ชื่อของพวกคุณทำไมถึงได้เพราะกว่าฉันล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนคิดถึงประโยคที่สวี่อี้หรานพูดว่าชีเยี่ยนชังอู และคิดอยู่ในใจว่า “แล้วทำไมฉันถึงต้องชื่อเฉิ่มเชยแบบนั้น?”
“เรื่องนี้จะโทษพ่อไม่ได้นะ ชื่อของลูกพ่อไม่ได้เป็นคนตั้ง” หูชีเยี่ยนยิ้มเฝื่อน “ย่าของลูกบอกว่า ทองเป็นของที่มีมูลค่าแก่การยกย่อง ดังนั้นเลยยืนกรานใช้คำนี้ พ่อก็ห้ามอะไรเธอไม่ได้! ถ้าลูกสนใจชื่อของพวกเรา อีกเดี๋ยวพ่อจะบอกลูก ตอนนี้พ่อไปดูเสี่ยวป๋ายก่อน อย่าให้เขานึ่งปลาพ่อจนเสียหายหมด พ่อพิถีพิถันในเรื่องกินมากนะ!”
“ฉันจะเข้าไปช่วยคุณค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันจะได้เรียนรู้บ้าง”
“ช่างเถอะ กุลสตรีควรอยู่ให้ห่างจากห้องครัว” หูชีเยี่ยนพูด “ผู้หญิงตระกูลพวกเราไม่มีใครทำกับข้าวเป็น นับตั้งแต่ย่าของลูกไปจนถึงแม่ของลูกก็เหมือนกัน ลูกเองก็เถอะ ไม่ใช่ว่าพ่อดูถูกลูก แต่ถ้าลูกเรียนไปทั้งชีวิตผัดข้าวผัดไข่ก็ยังคงไหม้เหมือนเดิม!”
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกอาย ใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ปัญหาก็คือไม่ว่าเธอจะพยายามอย่างไร ข้าวผัดไข่ที่ผัดออกมาหากไม่ไหม้ก็คือดิบ หากไม่จืดก็เค็ม หรือไม่ก็จืดเค็มไม่กลมกล่อม…นานๆ ทีจะมีถูกปากบ้าง แต่โอกาสมันก็เหมือนกับแมวตาบอดจับหนูที่ตายได้
หลังจากถูกสวี่อี้หรานเปิดโปงไปแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูต่อต้านหูชีเยี่ยนเหมือนอย่างในตอนแรก ความรักของสองพ่อลูกเหนียวแน่นกว่าเก่า หูชีเยี่ยนพิถีพิถันเรื่องกินอย่างแท้จริง เชฟตามโรงแรมทั่วไปสู้ฝีมือของเขาไม่ได้เลย อาหารหลากหลายชนิดที่เขาทำออกมา ซีเหมินจินเหลียนเคยตรึกตรองดู…หากหูชีเยี่ยนพักกับเธอสักหนึ่งปีหรือครึ่งปี เธอก็คงได้เปลี่ยนเป็นยัยอ้วนอัปลักษณ์ไม่มีใครเอาแน่
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วจ่านป๋ายก็เก็บถ้วยชามตามหน้าที่โดยไม่บ่นแม้แต่น้อย ซีเหมินจินเหลียนเดินไปห้องใต้ดินกับหูชีเยี่ยนเตรียมตัวผ่าหยก
สิ่งที่ทำให้หูชีเยี่ยนไม่รู้จะร้องหรือยิ้มก็คือ…ซีเหมินจินเหลียนเตรียมธูปเทียนและรอให้ธูปสามดอกมอดไหม้หมดทั้งก้านถึงจะยินยอมให้เปิดเปลือกหิน
เขาห้ามอะไรเธอไม่ได้ ได้แต่รับฟังและรอให้ธูปสามดอกมอดไป จ่านป๋ายก็เข้ามาดู หูชีเยี่ยนพับแขนเสื้อและหยิบราชาหยกขึ้นมา
ราชาหยกขนาดไม่ใหญ่ มีขนาดเท่าไข่ไก่ธรรมดาทั่วไป ลักษณะที่ปรากฏเป็นเนื้อแก้วความโปร่งใสสูงสุด ข้างในดูแล้วเหมือนไข่งู รูปทรงรี
หูชีเยี่ยนถามความเห็นของซีเหมินจินเหลียนว่าจะให้ลงมีดผ่าจากตรงกลาง หรือว่าใช้วิธีเจียหิน เพื่อเจียเนื้อแก้วด้านนอกออกมาให้หมดและดูเปลือกไข่?
ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าเหมาะสมที่จะใช้วิธีเจียรเปลือกหินเนื้อแก้วชั้นนั้นออกมาก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน ถ้าไม่ได้ค่อยผ่าลงตรงกลางก็ไม่สาย!
หน้าที่มีเกียรติและยิ่งใหญ่ขนาดนี้ จ่านป๋ายก็ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ เขานำหินราชางูไปวางบนปากกาจับชิ้นงาน จัดตำแหน่งให้เหมาะสมและหยิบเครื่องเจียระไนมาเริ่มเจียรหิน…