ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 12.1
หลินเสวียนหลานมองไปยังประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดลงอย่างช้าๆ แต่แทบจะหนีบลู่เฟยอวี๋อยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมเขาถึงมีความคิดชั่วร้าย ที่อยากจะยิ้มออกมา…
“อยากจะยิ้ม ก็ยิ้มออกมาเถอะครับ” จ่านป๋ายพูดขึ้น
“หือ?” หลินเสวียนหลานแม้จะอึ้ง แต่ก็เผยยิ้มออกมาบางๆ บนใบหน้า ถ้าแก้มของเขาแตกได้ ก็คงจะแตกไปนานแล้ว
“คุณใช้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เหนื่อยเหรอครับ” จ่านป๋ายถาม
หลินเสวียนหลานได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้าน้อยๆ พลางส่ายหัวเบื่อหน่ายกับชีวิตแบบนี้ มันเหนื่อยจริงๆ นั่นล่ะ แต่เขาก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้น ตอนที่เขายังเด็ก เขาก็รู้อนาคตของตัวเองแล้วว่าต้องมีรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนประดับไว้บนใบหน้า ต้องแสดงภาพลักษณ์ที่สวยงาม เพื่อปกปิดข้างในจิตใจที่แสนว่างเปล่าและมัวหมอง เก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้
เขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ สุภาพอ่อนโยน เกิดมาในชาติตระกูลที่ดี รูปลักษณ์หน้าตาดี เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นจุดด่างพร้อย
แต่ว่าการที่คนอื่นคิดว่าเขาสมบูรณ์แบบเท่าไหร่ เขากลับยิ่งมีความกดดันเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
“คนเราน่ะ ควรจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองสักครั้งนะครับ” จ่านป๋ายพูดพลางยื่นนิ้วมือเรียวยาวของเขากดไปที่เลขชั้น หลินเสวียนหลานมองเลขนั่น คิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่ส่วนของห้องพัก”
“ผมรู้ ผมจองห้องไว้ที่นั่น” จ่านป๋ายยังพูดต่อว่า “ผมคิดว่า เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันหน่อย”
ชั้นสามสิบสอง ที่นี่ดูจะไม่ใช่ส่วนของห้องพักจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ให้ความบันเทิงของแขกระดับวีไอพี จ่านป๋ายเดินนำทางหลินเสวียนหลานผ่านระเบียงทางเดินยาว จากนั้นผลักประตูเข้าไป ข้างในนั้นพบกับซีเหมินจินเหลียนที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังแท้สีขาวกำลังกอดหมอนอิงไว้อยู่ มือก็เล่นเส้นผมของตัวเอง
“จินเหลียน…” หลินเสวียนหลานรีบทักทายเธอ
“พี่หลินมาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปที่โซฟาเป็นนัยบอกให้เขานั่ง
“จินเหลียน ทำไมถึงทำอะไรลึกลับแบบนี้?” หลินเสวียนหลานเห็นซีเหมินจินเหลียน จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง แต่สำหรับจ่านป๋ายนั่น เขาไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ แต่สัญชาตญาณของเขาบ่งบอกว่า คนคนนี้มีความลับมาก อันตรายมากเหลือเกิน
“แฟนของพี่ มองตาของฉันแล้วแทบจะพ่นไฟออกมาแหน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยังคงพูดต่อ “ไหนจะอารองกับอาสะใภ้ของพี่อีกอีก ฉันไม่อยากจะมีข่าวฉาวอะไรอีกนะคะ”
หลินเสวียนหลานเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด จึงทำได้แค่ฝืนยิ้มกลบเกลื่อน ใช่แล้ว เบื้องบนรู้ว่าอารองกำลังคิดอะไร ทั้งที่รู้ว่าตระกูลหลินกำลังเผชิญวิกฤต แต่เขากลับยังคิดจะก่อเรื่องอีก
จ่านป๋ายปิดประตูห้องแล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ ซีเหมินจินเหลียน พูดจาถามเขาอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “คุณหลิน ขอโทษด้วยที่ผมต้องถามคุณ วันนี้สาเหตุที่คุณโอนเงินไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าคุณปู่ที่นอนป่วยเป็นคนทำใช่ไหม?”
ใบหน้าของหลินเสวียนหลานสื่อถึงความผิดปกติ แต่ก็ยังพยักหน้าตอบ “ใช่ เป็นอารอง”
“คุณไม่เคยลองคิดพิจารณาเพื่อตัวเองดูหน่อยเหรอ?” จ่านป๋ายคิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
หลินเสวียนหลานถอนหายใจออกมา พิจารณา? อย่างเขาจะทำอะไรได้? ถ้าพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกไป ไม่มีบ้านตระกูลหลิน เขาก็เหมือนกับไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณปู่ถึงได้เชื่อแต่อารอง จากหลายเรื่องที่ผ่านมา คุณปู่เหมือนจะปล่อยให้เขาออกไปจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ความเป็นจริงแล้วกลับมีอารองคอยเกาะติดจับตามองเขาอยู่ตลอด
“คุณจ่าน คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?” หลินเสวียนหลานถามขึ้น “ที่คุณนัดผมมา คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้อย่างเดียวหรอกนะ?”
“คือแบบนี้ครับ…” จ่านป๋ายพิงโซฟาแล้วยิ้ม “หลายปีนี้ผมหาเงินตอนที่อยู่ต่างประเทศมาได้นิดหน่อย แต่จริงๆ แล้วหากจะพูดแบบไม่ปิดบังก็คือเงินของผมไม่ได้ถูกกฎหมายอะไร เพราะอย่างนั้น ผมจึงคิดจะนำเข้ามาในประเทศ เพื่อลงทุนทำธุรกิจสักหน่อยน่ะครับ”
หลินเสวียนหลานเมื่อหายตกตะลึงก็เข้าใจขึ้นมาทันที “คุณจะทำธุรกิจเครื่องประดับอัญมณี?”
“พูดตามตรงก็คือ ธุรกิจเกี่ยวกับหยก” จ่านป๋ายยิ้มบางๆ “ผมเคยศึกษาดูแล้ว ธุรกิจภายในประเทศก็มีไม่น้อยเลย ส่วนกำไรก็ดีสุดๆ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือในต่างประเทศเครื่องประดับจากหยกไม่ได้เป็นที่นิยมอะไร แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงแค่สถานการณ์ในตอนนี้ ในอนาคตก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น เป้าหมายของผมง่ายมาก ก็คือทำธุรกิจค้าหยก แถมยังเป็นเส้นทางธุรกิจเพื่อที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศ”
“คุณฝันไปหรือเปล่า!” หลินเสวียนหลานเกาจมูกตัวเองเบาๆ การที่จะส่งหยกออกนอกประเทศนั้น ภายในจีนก็มีบริษัทอัญมณีมามายแต่ก็ไม่เห็นจะทำได้ แล้วคนอย่างเขาน่ะเหรอ?
“บางเรื่องคนเราก็ต้องลองทำดู ถูกไหม?” จ่านป๋ายยิ้มออกมา
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มมุมปาก จ่านป๋ายคนสมควรตายนี่ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ อยากจะนำเครื่องประดับหยกส่งออกต่างประเทศ เขาพูดอะไรไม่คิด ในอนาคตจะส่งออกไปทั่วจักรวาลเลยหรือไง?
“เอาเถอะ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับผม?” หลินเสวียนหลานนวดขมับตัวเองถามออกไป เขาอยากจะทำธุรกิจค้าหยก ก็เป็นเรื่องของเขา จะมาเรียกหาเขาทำไม? ถึงจะอยากหาหุ้นส่วน แต่ในประเทศก็มีบริษัทอัญมณีอีกมากมายให้เลือก ทำไมจะต้องเลือกเขาด้วย?
“ต้องเกี่ยวอยู่แล้ว เพราะว่าผมอยากจะซื้อหุ้นของบริษัทตระกูลหลิน”
หลินเสวียนหลานได้ยินดังนี้ก็ลุกขึ้นมาทันที แล้วมองไปที่จ่านป๋าย “คุณว่าอะไรนะ?!”
“ผมบอกว่า ผมจะซื้อหุ้นของตระกูลหลิน!” จ่านป๋ายพูดซ้ำอีกครั้ง
“อาศัยอะไร คุณคิดว่าคุณเป็นใคร?” เสียงของหลินเสวียนหลานดังขึ้นหลายเดซีเบล
“อย่าพึ่งตกอกตกใจอะไรไป” จ่านป๋ายหันไปมองซีเหมินจินเหลียน เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไร จึงพูดต่อไปว่า “บ้านตระกูลหลินของคุณที่กำลังเผชิญวิกฤตอยู่ตอนนี้ คุณก็รู้ดีกว่าใคร ถ้าหากไม่มีการค้าส่งออก ตระกูลหลินก็จบเห่ คุณจะรอให้คุณปู่มอบบริษัทให้หลินเจิ้งก่อนอย่างนั้นเหรอ จะยอมทำงานรับอารมณ์โกรธต่อไปงั้นเหรอ หรือจะยอมให้ซีเหมินจินเหลียนซื้อหุ้นจากบ้านของคุณ อย่างน้อยคุณก็ยังมีหุ้นส่วนอยู่”
“จินเหลียน?” หลินเสวียนหลานยังเรียกสติกลับมาไม่หมด หรือว่าการซื้อหุ้นจากบ้านตระกูลหลินคือเจตนาของซีเหมินจินเหลียน? ไม่สิๆ เขาเข้าใจว่าซีเหมินจินเหลียนจะไม่ซื้อหุ้นจากบ้านตระกูลหลินแล้วซะอีก
“ใช่แล้ว ผมแค่เป็นคนออกเงิน ส่วนจินเหลียนเป็นผู้ถือหุ้น ถ้าไม่มีเธอซื้อหินมาเดิมพัน ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ อย่าพูดถึงทำธุรกิจค้าหยกอะไรเลย ถึงแม้ผมจะซื้อหุ้นมาจากตระกูลหลิน มันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเงินที่สูญเสียไป” จ่านป๋ายพูด “คุณก็น่าจะรู้นี่ครับว่าธุรกิจค้าหยกสิ่งที่สำคัญนั้นไม่ใช่การขาย แต่เป็นวัตถุดิบ”
หลินเสวียนหลานไม่ได้พูดอะไร สิ่งสำคัญในธุรกิจการค้าหยกก็คือวัตถุดิบจริงๆ นั้นล่ะ ไม่ใช่การขาย ถ้ามีหยกเนื้องามอยู่ในมือก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก
แต่หยกธรรมชาติ กลับไม่เหมือนกับหยกที่ขายตามตลสดทั่วไป ไม่ใช่แค่มีเงินก็จะซื้อได้ แต่ต้องมีพรสวรรค์ในการเดิมพันหยกด้วย ต้องแยกให้ออกระหว่างหินกับหยก
แต่ครั้งนี้คุณปู่แพ้เดิมพันไป…ถ้าหากครั้งนี้ที่พม่าคุณปู่ยังไม่ชนะเดิมพันอีก ตระกูลหลินคงไม่มีใครนับหน้าถือตา แย่ไปกว่านั้นคงไม่มีใครซื้อของจากตระกูลเขา
ตอนนี้เขารับประกันได้ ถึงแม้ว่าจ่านป๋ายจะไม่มีความคิดนี้ แต่บริษัทอัญมณีที่เหลือคงจะถือโอกาสนี้เขมือบหลินซื่อจิวเวอรี่แน่ มันเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ไม่มีใครรังเกียจที่เงินของตัวเองจะเยอะขึ้นหรอกว่าไหม?
“พวกเราไม่ได้กังวลเรื่องวัตถุดิบ” จ่านป๋ายลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้าหลินเสวียนหลาน “แต่ว่าพวกเราต้องการที่จะขาย ต้องการมีบริษัทเป็นของตัวเอง”
“พวกเรา?” หลินเสวียนหลานรู้สึกพูดไม่ออก สิ่งที่จ่านป๋ายพูดคำว่า ‘พวกเรา’ ก็คือเขากับซีเหมินจินเหลียน เขารู้สึกกระวนกระวายถามไปว่า “พวกคุณหมายความว่ายังไง? หรือว่าพวกคุณต้องการที่จะให้ผมร่วมมือด้วย?”
“ถูกต้อง ที่พวกเราต้องการ ก็คือให้คุณมาร่วมมือ!” จ่านป๋ายยิ้มร่าออกมา
“เหอะ!” หลินเสวียนหลานอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมา
“เรื่องเงิน…ผมมี!” จ่านป๋ายยิ้ม “ส่วนจินเหลียนมีหยก แต่ว่าพวกเราไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจ…แต่คุณมีความรู้นี้”
หลินเสวียนหลานยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ประโยคนี้ ทำไมผมฟังก็กำลังถูกทิ่มแทงอย่างไรอย่างนั้น”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดทิ่มแทงคุณนะ แล้วก็ไม่ได้บังคับให้คุณตัดสินใจตอนนี้ ตามนิสัยสุภาพอ่อนโยนของคุณผมก็เข้าใจ แต่ว่าคุณก็ลองคิดทบทวนดูแล้วกันว่าจะเป็นลูกน้องทำงานให้หลินเจิ้ง ที่ไม่แน่ว่าอาจจะถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลหลิน หรือจะออกมาก่อร่างสร้างตัวตั้งแต่ตอนนี้?” จ่านป๋ายยิ้มอย่างเยือกเย็น
หลินเสวียนหลานสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ มองซีเหมินจินเหลียนที่เอนตัวอยู่บนโซฟา ราวกับเป็นแมวน้อยที่แสนขี้เกียจ ไม่รู้ทำไม สายตาของเขามองแต่หลังมือของเธอที่มีลายดอกบัวสีทองที่ยังไม่ผลิบานเต็มที่ ในวันที่ฝนฟ้ามืดครึ้มเช่นนี้ ดอกบัวสีทองดอกนี้สีไม่ได้จางหายไปเลย ตรงกันข้ามกลับสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ชาตินี้เขา คงไม่มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเท่าครั้งนี้อีกแล้ว ในเช้าวันนี้ที่เกิดเรื่องขึ้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนระเบิดลงใส่เขาอย่างจัง เขาจึงไม่รีรอพยักหน้าพูดออกไป “โอเค ตกลง!แต่ผมอยากรู้ว่า ผมจะได้ผลประโยชน์อะไร?”