ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 14
หลินเสวียนหลานยิ้มอ่อน “ผมรู้ตัวว่าผมพูดอะไรออกไป ถ้าอารองไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เชิญกลับได้แล้วครับ”
“แก…แก…” หลินเจิ้งรีบกระโจนลุกหันไปทางเขาแล้วพูดว่า “ฉันจะดูว่าแกจะกลับไปจัดการเรื่องนี้กับคุณปู่ยังไง!”
“มันเป็นเรื่องการแต่งงานของผม ไม่ใช่ของคุณปู่!” หลินเสวียนหลานพูดเสียงดังอย่างชัดเจน
“ได้ ได้เลย…” หลินเจิ้งไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ตอนนั้นเขาก็เคยพูดประโยคนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ฉะนั้นเขาหันหลังกลับรีบเปิดประตู จากนั้นก็จงใจปิดประตูเสียงดัง
หลินเสวียนหลานนั่งพิงบนโซฟา ใจล่องลอยออกไป ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? ขนาดตอนนี้ยังเกิดเรื่องแบบนี้ แล้วอนาคตจะเป็นยังไง? จ่านป๋ายพูดถูก ถึงตนจะลงทุนลงแรงไปชั่วชีวิตก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นคนใช้ให้เขาน่ะเหรอ? แถมทำไปก็ไม่ได้สิ่งตอบแทนกลับมา ช่างมันแล้ว ชีวิตคนเรามันต้องอยู่เพื่อตัวเองสักครั้ง
เขาโทรศัพท์ไปหาซีเหมินจินเหลียน เธอก็น่าจะกำลังดูโทรทัศน์อยู่ ในใจของหลินเสวียนหลานมีความรู้สึกอบอุ่นไหลเวียนอยู่เมื่อคิดถึงเธอ
“จินเหลียน ความจริงแล้วผมหลอกคุณ” หลินเสวียนคุยผ่านสายโทรศัพท์
“อ่อ…พี่หลิน คุณกำลังหลอกใช้ฉันหรือหลอกเงินฉันล่ะคะ” เสียงจากปลายสายพูดหยอกล้อออกมา
หลินเสวียนหลานถูกเธอล้อจนยิ้มออกมา ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วพูดว่า “จินเหลียน ผมพูดจริงๆ นะ คุณปู่ผมคิดว่าคุณอาจจะเป็นศิษย์ฝ่ายใต้ เพราะฉะนั้นถึงมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการเดิมพันหยกอย่างลึกลับ ทำให้คุณชนะเดิมพันอยู่ตลอด… “
“หือ…” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี มีครั้งหนึ่งที่คุณปู่หลินกับหลินเสวียนหลานแอบพูดคุยกันอยู่นั้น ความจริงเธอก็รู้ ต่อมาจ่านป๋ายก็ได้อัดเสียงเอาไว้ให้เธอ
“จินเหลียน ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกคุณ หวังว่าคุณฟังจบแล้วจะไม่โกรธผม” หลินเสวียนหลานสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาต้องพูดกับเธอให้ได้ ไม่อย่างนั้นวันพรุ่งนี้ก่อนเข้างานประมูลเธออาจจะถูกขัดขวางให้เข้างานไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเธอต้องบ้าคลั่งแน่ๆ
“อืม พี่พูดมาเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนสงสัย เขาจะบอกอะไรกับเธอเหรอ หรือเขาเตรียมตัวจะขายเธอ?
“งานประมูลหยกที่เจียหยาง ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้นถึงจะเข้างานได้ครับ” หลินเสวียนหลานระมัดระวังในการพูดจา
“หืม…” ที่แท้ก็เรื่องนี้เองเหรอ? ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย เธอก็รู้เรื่องนี้ ตั้งแต่ตอนที่ฉินเฮ่าส่งบัตรสมาชิกสมาคมอัญมณีมาให้แล้ว
“จินเหลียน ผมยอมรับว่าผมเห็นแก่ตัว คุณ…อย่าโกรธผมได้ไหมครับ มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเลย เพียงแค่ยัดเงินไปให้เจ้าหน้าที่หน้างานสักหน่อย…” หลินเสวียนหลานถอนหายใจ ทุกๆ ปีย่อมเกิดเรื่องแบบนี้ สำหรับคนที่อยากเข้าร่วมงาน ถ้าไม่ได้เป็นบริษัทอัญมณีหรือสมาชิกก็ล้วนแต่ใช้วิธีแบบนี้ทั้งนั้น
แต่ถ้าอยากจะร่วมประมูลก็ช่วยไม่ได้ จำเป็นต้องใช้บัตรสมาชิกมายืนยัน ไม่เช่นนั้นผู้จัดงานจะไม่ให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมประมูลหยกอย่างง่ายๆ
“พี่หลินคะ พี่ฉินให้บัตรสมาชิกสมาคมอัญมณีกับฉันแล้วล่ะค่ะ”
“หา?” หลินเสวียนหลานมึนงง ฉินเฮ่าให้บัตรสมาชิกกับเธอนี่เอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ถึงจ่านป่ายจะไม่ได้ร่วมหุ้น ถึงอารองจะยกสิทธิในทรัพย์สินให้เขาเป็นคนจัดการ เขาก็จะไม่เสียเปรียบอะไร
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็สบายใจหน่อย” หลินเสวียนหลานน้ำเสียงผ่อนคลายลง เพียงแต่ว่าภายในใจยังมีคำพูดที่ยากจะเอ่ย ฉินเฮ่า…น่าจะรู้มาก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้บัตรสมาชิกกับเธอไปสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก
ใช่แล้ว ปีที่แล้วเขาเคยเข้าร่วมงานประมูลที่เจียหยาง แต่ว่าเขาก็แค่มาผลาญเงินเล่นเท่านั้น แต่กฎงานประมูลที่เจียหยางเขาก็รู้ทั้งหมด แถมยังรู้ว่าควรจะแอบซ่อนปิดบังเพื่อนรักด้วยวิธีใด? ในเมื่อเขาตั้งใจที่จะซื้อหุ้นในบริษัทอัญมณีตระกูลหลิน คงจะไม่ใช้ให้ซีเหมินจินเหลียนเดิมพันหยกคุณภาพดีหรอกนะ…
ตระกูลหลินแพ้แล้ว! นี่คือความตั้งใจของฟ้า ความตั้งใจของฟ้า!
หลินเสวียนหลานพูดไม่กี่ประโยคก็วางสายลง นั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา ธุรกิจภายในไม่สามัคคี ก็ย่อมถูกคนภายนอกจับจ้องเล่นงาน
เช้าวันถัดมา ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายเรียกรถไปที่งานประมูลหยก
งานประมูลหยกครั้งนี้จัดที่เจียหยาง สถานที่จัดงานเป็นโรงงานใหญ่ที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง มองจากไกลๆ สามารถเห็นกำแพงสูงยาวล้อมรอบเอาไว้ ถึงแม้เมื่อวานฝนจะตก แต่อากาศวันนี้ก็ยังคงร้อนเป็นอย่างมาก ฤดูร้อนนี้เมื่อไหร่ถึงจะหมดไปนะ
เมื่อลงจากรถ เธอก็คอยสังเกตดูเจ้าหน้าที่ที่คุมอยู่หน้าประตู ดูเข้มงวดใช้ได้เลย แต่ก็สมควรแล้วล่ะ เพราะข้างในนั้นล้วนมีแต่หินหยกล้ำค่าเรียงรายอยู่ ใครจะไปรู้ว่าข้างในหินพวกนี้ จะมีหยกแอบซ่อนเร้นไว้อยู่หรือเปล่า ดูแล้วไม่ได้เข้างานได้ง่ายๆ เลย
ทางเข้างาน ซีเหมินจินเหลียนให้บัตรสมาชิกสีเขียวมรกตไป แล้วหันไปทางจ่านป๋ายพูดว่า “เขาเป็นแฟนของฉันค่ะ”
ถึงจะบอกไปอย่างนั้น แต่เจ้าหน้าที่ที่หน้าประตูก็ยังคงยืนยันให้จ่านป๋ายจ่ายมัดจำด้วยเงินสามพันหยวน แล้วถึงจะปล่อยเขาเข้าไปได้ จ่านป๋ายยิ้มเฝื่อนพูดว่า “จินเหลียน งานประมูลครั้งนี้ไม่ใสสะอาดแล้ว เงินมัดจำสามพันหยวน เลิกงานจะคืนให้ไหมเนี่ย?”
“พูดตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!” ซีเหมินจินเหลียนตอบคำถามพลางส่ายหัว
“ผมขอคัดค้าน เงินนี้ต้องใช้เงินกองกลาง!”
“กองกลาง?” สมองของซีเหมินจินเหลียนยังคงไม่กลับมา แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็เข้าใจที่เขาพูด “ความหมายของคุณก็คือ เงินนี้ฉันจ่าย?”
“ไม่ๆๆ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นแน่นอน…” ระหว่างที่จ่านป๋ายพูด เขาก็ลนลานถอยหลังไปสองก้าว แน่นอนผู้คนในงานตั้งเยอะแยะ ซีเหมินจินเหลียนคงไม่ทำอะไรเขา แต่ว่าห่างกันสักหน่อยก็ปลอดภัยกว่านะ เขาไม่เคยลืมว่าบางครั้งเธอก็ชอบระเบิดลง
ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทางของจ่านป๋ายก็อยากจะหัวเราะออกมา ถ้าไม่ใช่ว่าหน้างานประมูลคนเยอะ เธออยากจะเดินเข้าไปหยิกแก้มเขาสักที
“ไปกันเถอะ!” ซีเหมินจินเหลียนเรียกเขา “ถ้าหากได้หินหยกเนื้อดี ฉันจะถือว่าเข้ากองกลาง…”
“แล้วถ้าหากไม่มีหินหยกเนื้อดี ผมก็ต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเองใช่ไหมครับ?”
“ถูกต้องค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
“ผมคือบอดี้การ์ดที่น่าสงสารที่สุดบนโลกใบนี้…” จ่านป๋ายบ่นพึมพำ
ซีเหมินจินเหลียนแอบยิ้ม ผู้ชายคนนี้ชอบทำหน้าน่าสงสารเพื่อให้เธอมีความสุข พูดไปก็น่าแปลก ไม่อยากจะคิดเลยว่าเพียงแค่เวลาไม่กี่วันเธอก็ชินกับการที่มีเขาอยู่ข้างๆ แล้ว
“ว้าว! หินหยกเยอะแยะเลย” ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งจะได้เดินเข้างานมา ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงตกตะลึง มันช่างมีความสุขจริงๆ ที่ได้เห็นหินหยกมากมายก่ายกองแบบนี้
เมื่อกวาดสายตามองออกไป ข้างในก็มีหินหยกวางตั้งอยู่เต็มไปหมด ด้านบนมีเขียนน้ำหนักและหมายเลขกำกับไว้ รวมถึงราคาขั้นต่ำ การแข่งประมูลหยกไม่เหมือนกับการซื้อทั่วๆ ไป ต้องปิดบังราคา
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เมื่อสนใจหินหยกชิ้นไหนก็ต้องจดจำหมายเลขไว้แล้วเขียนราคาที่ตัวเองตั้งลงไปในสมุดประมูล สุดท้ายแล้วผู้จัดงานจะรวบรวม โดยผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุดก็ได้รับไป โดยที่คุณไม่มีทางที่จะรู้เลยว่าคนอื่นประมูลหินหยกชิ้นไหน และไม่รู้ว่าประมูลไปเท่าไหร่…
แต่สิ่งที่ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกรับไม่ได้ก็คือ ถ้าหากเขียนราคาสูงเกินไป เจ้าของสินค้าจะคิดว่าได้ผลประโยชน์ ราคาอาจจะเลยกว่าที่เจ้าของตั้งไว้ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วถึงจะอยากจะซื้อหินหยกที่สนใจ ก็มีปัญหา แม้จะสามารถผ่านผู้จัดงานให้ติดต่อกับเจ้าของสินค้าโดยตรง แต่เมื่อจะทำก็เป็นไปได้ยาก
“รีบดูเถอะครับ งานประมูลมีแค่สามวันเองนะ” จ่านป๋ายเตือนสติเธอ พูดให้ถูก เหลือเพียงแค่สองวันครึ่งต่างหาก งานประมูลที่เจียหยางมีทั้งหมดสามวัน ส่วนวันสุดท้ายตอนสิบเอ็ดโมงจะเปิดเผยราคา แล้วรวบรวมข้อมูล ตอนบ่ายสองถึงห้าโมงเย็นถึงจะประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลออกมา
“เสี่ยวป๋าย เหมือนพวกเราจะลืมเรื่องสำคัญอะไรไปอย่าง” ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ มองไปที่หินหยกแล้วนึกเรื่องสำคัญออกขึ้นมา
“อะไรเหรอครับ” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ
“คุณดูหินหยกพวกนี้ แต่ละชิ้นได้ทำหมายเลขกำกับเอาไว้ อีกสักพักถ้าฉันสนใจชิ้นไหน อยากจะซื้อ ฉันจะจดจำเลขพวกนี้ได้ยังไงกัน พวกเราลืมพากระดาษปากกามาเขียนจดบันทึกเอาไว้ ถ้าจำเลขผิด…ความเสียหายคงจะมหาศาลแน่” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเจื่อน ต้องโทษที่เธอไม่มีประสบการณ์สินะ
เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองพบว่า เหล่าบรรดาผู้ชื่นชอบหยกหรือผู้เดิมพันหยก แล้วไหนจะพนักงานจากบริษัทอัญมณีล้วนแต่พากระดาษปากกาติดตัวมาเพื่อจดบันทึกกันทั้งนั้น
“เรื่องนี้ง่ายนิดเดียวครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “คุณรับผิดชอบดูในส่วนของคุณ อยากจะซื้อชิ้นไหนก็บอกกับผม ผมจะช่วยจำให้ เมื่อคิดดูแล้วความจำของผมก็ไม่ได้แย่นะ”
“คุณห้ามจำผิดเด็ดขาดเลยนะ ฉันเห็นตัวเลขก็ปวดหัวแล้ว! ถ้าเป็นอย่างอื่นยังพอถูๆ ไถๆ ไปได้”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่จำตัวเลขเก่งนะ!” จ่านป๋ายพูดพลางหยิบหน้ากากสีเงินขาวออกมาจากกระเป๋าสะพายของเขาส่งไปให้เธอ “ผมซื้อมาเมื่อวาน ไว้สำหรับอำพรางตัวเอง คุณใส่สักหน่อย แดดร้อนขนาดนี้สามารถเผาไหม้คนให้สุกได้เลยนะเนี่ย”
ซีเหมินจินเหลียนรับหน้ากากขึ้นมาดู น่าจะเป็นหน้ากากเพื่อความงาม เหมือนเธอจะเคยเห็นในโฆษณาโทรทัศน์ ในฤดูร้อนแบบนี้ แม้แต่ในห้องยังร้อนผ่าว แต่นี่ใต้ดวงอาทิตย์? ไม่รู้ว่าคนที่เจียหยางเขาคิดอะไรกันอยู่ ทำไมถึงเลือกจัดงานประมูลหยกในวันที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้?
แม้ด้านบนจะมีกันสาดบังแดดยื่นออกมา พร้อมติดตั้งพัดลม แต่ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกอยากจะเอากันสาดนี้รื้อออกไปซะ ไม่แน่อาจจะมีลมพัดเข้ามามากกว่านี้
แน่นอนว่าสำหรับเธอแล้วความร้อนยังเป็นเรื่องรอง การที่แสงแดดแผดเผาลงไปที่ผิวของหญิงสาว ไม่ว่าใครคงจะรับไม่ได้ ลำบากเขาแล้วที่คิดเรื่องแบบนี้ออกมาได้
“ขอบคุณนะ” ซีเหมินจินเหลียนใส่หน้ากาก
เมื่อเดินไปสักพักซีเหมินจินเหลียนก็ยังไม่เห็นหยกที่น่าสนใจ แถมหยกที่ต้องเดิมพันครึ่งหนึ่งก็เปิดเผยแค่ช่องรูเล็กๆ ให้เห็นสีเขียวโผล่ออกมา แต่ราคากลับพุ่งสูงปรี๊ดเป็นเท่าตัว
ใช้ความรู้สึก เธอก็ยังไม่รู้สึกสัมผัสได้ว่ามีอะไรดีเป็นพิเศษ เดินไปเดินมาทั้งเช้าก็ไม่เห็นมีอันไหนเตะตาต้องใจเธอสักชิ้น
ตอนสิบเอ็ดโมง เจ้าหน้าที่ในงานก็เรียกให้คนออกไปข้างนอก ซีเหมินจินเหลียนเห็นเงาของคนที่คุ้นเคย หลินเจิ้งกับผู้อาวุโสจู้ ไหนจะประธานเฉินและประธานหม่ากำลังทักทายกัน ไม่รู้ว่าพวกเขามีชิ้นไหนที่ถูกใจแล้วหรือยัง?
แน่นอน นี่จัดเป็นความลับของธุรกิจ อย่าพูดถึงคนที่ไม่สนิทเลย ถึงเป็นเพื่อนที่สนิทก็ไม่สามารถบอกได้ สิ่งที่ทดสอบในการเดิมพันหยกก็คือประสบการณ์ทางสายตา เมื่อคนอื่นรู้ว่าเราจะซื้ออันไหน แล้วตั้งราคาสูงเพื่อแย่งไป มันก็แย่น่ะสิ
บ่ายสองโมง งานประมูลหยกได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายมาตรงเวลาพอดี เดิมทีที่คิดไว้อากาศร้อนแทบจะฆ่าคนได้แบบนี้ คนน่าจะน้อยลงหน่อย แต่ที่ไหนได้เมื่อพวกเขาเข้างานไป ความจริงแทบไม่เป็นเหมือนสิ่งที่คิด คนที่อยากได้เงินไม่คิดถึงชีวิตเช่นนี้มีเยอะเกินไปแล้ว
ตอนบ่ายยังดีหน่อย เมื่อมองไปที่หยกหมายเลขหนึ่งร้อยหก ซีเหมินจินเหลียนก็ได้หยุดฝีเท้าลง หินหยกก้อนนี้ดูไม่เลวเลย พื้นผิวสีเหลืองเขียว เม็ดหินละเอียด ลายเส้นหยกแนวนอน หินหยกก้อนนี้น่าจะหนักประมาณหนึ่งร้อยกิโลกรัม ลักษณะก้อนกลมโตราวกับฟัก ราคาขั้นต่ำคือแปดแสน
ดูจากคุณภาพของหินหยกแล้ว ราคาขั้นต่ำนี้ไม่ถือว่าแพง เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นยังไง เธอรีบหยิบแว่นขยายออกมาจากในกระเป๋าส่องเข้าไปข้างใน
ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมผู้จัดงานประมูลที่เจียหยางถึงต้องจัดงานในช่วงเวลาแบบนี้ แสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง แต่ก็กลับสว่างไสวในคราเดียวกัน แม้จะมีกันสาดบดบังไว้อยู่นิดหน่อย แต่ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นขยายก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อใช้มือสัมผัสลงไป เม็ดหินละเอียดอย่างที่คิดเอาไว้ ความรู้สึกของเธอไม่ได้โกหกเลย มือซ้ายถือแว่นขยายส่องดู เมื่อเจออะไรก็แค่สัมผัสลงไป
ความร้อนเบาๆ ถูกส่งไปที่มือของเธอ สีเขียวเหลืองของพื้นผิวนี้ได้จางหายไปตรงหน้า สีเขียวมรกตของหยกนี้แทรกซึมตรงไปยังก้นบึ้งหัวใจ ทำให้อากาศที่ร้อนเช่นนี้ได้ดับคลายลงไปไม่น้อย
เป็นหยกชนิดแก้ว? เธอช่างโชคดีเหลือเกิน ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ในใจ ทันได้นั้นสีเขียวมรกตก็ได้หายไปในชั่วพริบตา เมื่อมองไปข้างในก็เป็นหินสีขาวนวล…
สีเขียวติดเปลือก? ซีเหมินจินเหลียนสับสน เมื่อเธอส่องดูหินไปครบทั่วทั้งก้อน นอกจากใกล้ๆ บริเวณที่เป็นพื้นผิวที่มีสีเขียวติดเปลือกแล้ว ก็ไม่เห็นเส้นหยกอื่นๆ อีกเลย…นี่เป็นผิวสีเขียวติดเปลือกที่แทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนเป็นอะไร ใครซื้อใครขาดทุน
“จินเหลียน เป็นยังไงบ้างครับ” จ่านป๋ายเห็นเธอลุกขึ้นมาก็รีบเข้าไปพยุง
ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะพูด แต่เห็นหลินเจิ้งกำลังเฝ้าตามเธอ เลยอดไม่ได้ที่จะขมวดหัวคิ้ว คุณปู่หลินคิดว่าเธอคงจะเป็นศิษย์ฝ่ายใต้ หรือว่าเขาคนนี้คิดจะซื้อตามเธออย่างนั้นเหรอ?
“มีคนมองพวกเราอยู่ด้านหลัง” ซีเหมินจินเหลียนกระซิบ
“ผมรู้แล้ว เขาเดินตามติดพวกเรามาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วครับ” จ่านป๋ายกระซิบ “คุณยังไม่รู้ว่ามีเรื่องที่น่าขำกว่านั้น!”
“อะไรเหรอ?”
“ตอนเที่ยงที่คุณนอนกลางวัน เขาแอบมาหาผมแล้วให้เช็คเงินหนึ่งล้านหยวน!” จ่านป๋ายพูด
“ว้าว!” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ในใจก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอย่างไร “ซื้อคุณอย่างนั้นเหรอ”
“อืม เขาบอกว่าให้ผมเอาหมายเลขที่คุณจะประมูลไปให้เขา ก่อนส่งราคาประมูลค่อยบอกเขา แล้วยังพูดอีกว่า ถ้าเรื่องนี้สำเร็จด้วยดี ก็ยังมีรางวัลตอบแทนอื่นอีก”
“แล้วคุณได้รับมาหรือเปล่า” ซีเหมินจินเหลียนกัดปากตัวเองเพื่อหลบหลีกอาการส่งเสียงหัวเราะออกมา หลินเจิ้งคิดที่จะหาเรื่องใส่ตัวเอง?
“รับมาสิครับ คุณก็รู้ผมจนจะตาย มีคนยื่นเงินส่งมาให้ซึ่งๆ หน้า ใครจะไม่รับกัน?” จ่านป๋ายยิ้มแหะๆ
“คุณจำเลขหินหยกที่ฉันดูเมื่อกี้ไว้ให้ดี แล้วตอนกลางคืนไปบอกเขาว่าราคาประมูลของฉันคือสามล้าน!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม คนคนนี้ไม่รู้จักเข็ดหลาบหรือยังไงกัน? ครั้งที่แล้วก็เป็นเพราะว่าสีเขียวติดเปลือกนี้ทำให้เขาแพ้ย่อยยับ ครั้งนี้ในเมื่อคุณยังจะตามน้ำกับพวกเรา ถ้างั้นก็ตามมาเลย ขนาดคนยังซื้อได้ ถ้าอย่างนั้นก็มาซื้อสีเขียวติดเปลือกนี้เถอะ
“หยกก้อนนั้นไม่ดีเหรอครับ” จ่านป๋ายถาม “คุณดูดีแล้วเหรอ อย่าได้เสียเปรียบเชียว”
“วางใจได้!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันคิดว่าหินหยกก้อนนั้นเป็นแค่สีเขียวติดเปลือก”
จากนั้นซีเหมินจินเหลียนก็เดินดูหินหยกอื่นๆ แล้วกำชับให้จ่านป๋ายจำหมายเลขเอาไว้ สำหรับราคาขั้นต่ำให้จ่านป๋ายไปจัดการก็ได้แล้ว เพียงแค่ทำให้คนอื่นขาดทุน ในนั้นต้องมีสักชิ้นที่มีสีเขียวสูงที่สุด แถมยังเป็นชนิดแก้ว เพียงแค่ว่าไม่เหมือนกับหินครั้งก่อนที่คุณปู่หลินเดิมพันกลับไป ทั้งหมดเต็มไปด้วยรอยร้าว ไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้
ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ในใจ ถ้าหากหลินเจิ้งกลับไปตัดหินก้อนนั้น ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร
ส่วนของเธอนั้นได้เลือกหยกน้ำแข็งสีเขียว ขนาดไม่ใหญ่อะไรแต่สีกับความโปร่งแสงกลับเยี่ยมยอด ไม่ว่าจะทำเป็นเครื่องประดับหรือของตกแต่งบ้าน นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทั้งคู่ เอาเป็นว่าไม่มีทางขายขาดทุนแม้แต่สตางค์เดียว
เวลาพลบค่ำ เธอก็ได้เดินมาหยุดตรงที่หมายเลขหนึ่งร้อยแปดสิบเก้า จากการคาดเดาเบื้องต้น หินหยกก้อนนี้น่าจะหนักสักหนึ่งร้อยกิโลกรัม วางตั้งอยู่บนพื้น สีของผิวหินเป็นทรายสีดำ บนนั้นเขียนว่าโรงงานหมาเหมิง เนื้อหยกเก่าแก่คุณภาพดี
ซีเหมินจินเหลียนใช้มือสัมผัสลงไป รู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว มีลายเส้นของหยก แถมสีเขียวก็ชัดเจน ติดก็แค่ราคาขั้นต่ำที่เขียนไว้ให้คนตกใจว่า…ห้าล้าน
“เจ้าของหินก้อนนี้คงจะอยากได้เงินจนบ้าไปแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนบ่นพึมพำ จากนั้นหยิบแว่นขยายขึ้นมาส่องดูอย่างละเอียด ลักษณะภายนอกดูไม่ออกว่าเป็นยังไง มือซ้ายสัมผัสลงไป พื้นผิวสีดำค่อยๆจางหายไป ข้างในเป็นหินสีขาว…
“ของแบบนี้ยังจะขายห้าล้านอีกเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนดูสินค้ามาทั้งวัน เมื่อเห็นแบบนี้ก็แทบอยากจะสบถด่า แม้แต่สีเขียวติดเปลือกก็ยังไม่มี?
แต่ว่าเมื่อส่องดูไปที่ความลึกห้าเซนติเมตรแล้ว ซีเหมินจินเหลียนประหลาดใจขึ้น หินสีขาวก้อนนั้นถูกสีน้ำเงินคริสตัลสีใสมาแทนที นี่คือหยกชนิดแก้ว!
หยกสีน้ำเงิน? ซีเหมินจินเหลียนสงสัย ดูมาทั้งวันในที่สุดก็เจอสักที? ถ้าดูจากแสงที่เธอยิงส่องเข้าไป ข้างในก็ค่อยๆ เผยให้เห็นหยกคริสตัลสีน้ำเงินใส สว่างแวววาวเหมือนกับท้องฟ้าที่แสนอบอุ่น ทั้งยังเหมือนกับท้องทะเล…
“สีใช้ได้เลย แต่ว่าฉันไม่ชอบหยกสีน้ำเงินสักเท่าไหร่” ซีเหมินจินเหลียนบ่นงึมงำ “แถมยังไม่ใหญ่มากด้วย”เธอลองคิดคำนวณดูสักครู่ หินหยกก้อนนี้น้ำหนักประมาณหนึ่งร้อยกิโลกรัม แต่ผิวของหินหนามาก เธอรับรองได้เลยว่าข้างในมีหยกสีน้ำเงินแน่ๆ เพียงแค่ต้องตัดผ่าเข้าไปตรงกลาง ไม่อย่างนั้นถ้าค่อยๆ ตัด อาจจะทำให้เห็นแต่หินสีขาว คนคงคิดว่าแพ้เดิมพันแล้ว
เนื้อหยกสีน้ำเงินมีไม่เยอะ ความยาวไม่น่าจะเกินยี่สิบเซนติเมตร ความหนาคงจะประมาณเจ็ดถึงแปดเซนติเมตร ความกว้างก็น่าจะเหมือนกัน
ถ้าจะทำเป็นเครื่องประดับก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าจะทำเป็นของตกแต่งก็ไม่น่าจะได้ เธอจำในสิ่งที่หลินเสวียนหลานพูดได้ หยกสีน้ำเงินมีสีที่ใสสะอาดที่สุด ขายออกได้ราคาดี ไม่เช่นนั้นสีน้ำเงินคงจะไม่ใช่สิ่งที่คนตามหากันขนาดนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็มีแค่ญี่ปุ่นกับไต้หวันที่ชื่นชอบหยกสีน้ำเงิน…