ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 175 เมฆเพลิงไหม้
นี่มันล้อเล่นอะไรกัน! เธอกล้าเอาหินหยกแบบนี้มาเดิมพันหินเนี่ยนะ? นี่เป็นหินหยกที่ถูกตัดออกมาแล้ว พื้นผิวที่ตัดทั้งหมดเรียบเนียน เป็นหินสีขาวทั้งแผ่น ดูไม่เห็นเค้าลางของสีเขียวแม้แต่น้อย สามารถตัดสินได้ว่าผิวด้านในของหินหยกถูกตัดอย่างสมบูรณ์และไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง!
นี่เธอโกงกันเห็นๆ!
แน่นอนในกติกาการนัดเดิมพันไม่ได้บอกไว้ว่าไม่สามารถนำหินหยกที่เดิมพันครึ่งหนึ่งมาได้ การที่เธอทำแบบนี้ แม้ว่าจะดูน่าอายไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่ได้ผิดกฎที่นัดเดิมพันกันไว้ เพียงแต่หินหยกครึ่งเดิมพันพวกนี้มีร่องรอยการชำแหละออกมาแล้ว จากร่องรอยนั้นก็สามารถตัดสินคร่าวๆ ได้แล้วว่าลักษณะของหินหยกข้างในเป็นอย่างไร เพื่อที่จะลดระดับความยากในการเดิมพันลง
อย่างเช่นการกระทำของซีเหมินจินเหลียนในตอนนี้ที่เจียระไนผิวของหยกก้อนหนึ่งออกทั้งหมด และไม่มีการเผยให้เห็นสีเขียวเลยสักนิด ถ้าหากนำไปวางตามตลาดขายหยก คงนึกว่าเป็นแค่หินก่อสร้างราคาชั่งขายตามกิโล ไม่มีใครพิจารณาที่จะซื้อหรอก
และหินหยกลักษณะแบบนี้ เธอยังกล้าเอามาร่วมเกมเดิมพันหินอีกหรือ?
คิดว่าตัวเองเป็นเด็กเล่นขายของหรืออย่างไร! ไม่ใช่อวิ๋นอวิ้นที่รู้สึกอย่างนั้นคนเดียว แม้แต่ประธานเซี่ยและนักประเมินราคาหยกทั้งสองคนยังงงเป็นไก่ตาแตก จ่านมู่ฮวาก็รู้สึกกล้ำกลืนอย่างบอกไม่ถูก ซีเหมินจินเหลียนจัดการเรื่องอะไรก็ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ เธอคิดวิธีแบบนี้มาเดิมพันหินได้อย่างไร?
แต่ผิวของหินหยกที่ถูกชำแหละออกจนหมด ขอแค่ผิวหนาหน่อย ข้างในต้องมีเนื้อหยกแน่ อยากจะเดิมพันสีและชนิดของมันข้างในก็ยากเสียกว่าไต่สะพานสวรรค์เสียอีก การเดิมพันครึ่งหนึ่งแบบนี้ ไม่ได้ลดความยากลง แต่ยิ่งเพิ่มความยากทวีคูณขึ้นกว่าเดิม
ซีเหมินจินเหลียนวางหินหยกของอวิ๋นอวิ้นลงเป็นที่เรียบร้อยและนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบกระดาษปากกาขึ้นมาเริ่มบรรจงจดสีและชนิดของหินหยกลงไป
อวิ๋นอวิ้นมองไปยังหินหยกที่ถูกชำแหละผิวออกจนหมดจด พินิจพิเคราะห์หินหยกด้วยความงงงัน หินหยกแบบนี้จะให้เธอวิเคราะห์อย่างไรกัน?
การเดิมพันหินที่มีแต่เดิมมาต่างใช้ผิวของหินหยกมาตัดสินว่าลักษณะของเนื้อหยกข้างในเป็นอย่างไร อย่างเช่น จุดหยก เส้นลายหยก รวมไปถึงทิศทางของหิน จนกระทั่งอาจจะมีแหล่งกำเนิดแสง ความละเอียดของเม็ดผิว ตอนนี้ให้ได้อย่างนี้สิ เธอคิดจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม?
แต่การที่ซีเหมินจินเหลียนเล่นแบบนี้ก็ยังเผยปัญหาให้เห็นอย่างหนึ่ง หินหยกที่นำผิวมาเจียระไนออกจนหมด และยังไม่มีการเผยสีเขียว เกรงว่าลักษณะข้างในคงไม่ได้มีมากเท่าไหร่ แม้จะมีหยกออกมาแล้วจะเท่าไหร่กัน? ยังมีเรื่องที่อวิ๋นอวิ้นยังไม่หายสงสัยก็คือ…เธอกำลังเล่นบ้าอะไรอยู่?
หินหยกก้อนหนึ่ง ก่อนที่ยังไม่ได้เจียระไน คนอื่นต่างไม่รู้ว่าด้านในเป็นอย่างไร หากดูตามลักษณะหินหยกภายนอก คนที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังสามารถทายออกว่าด้านในเป็นเช่นไร แต่เมื่อเจียระไนผิวของหินหยกออกจนหมด เธอจะหยั่งรู้ผิวที่เจียระไนออกไปพวกนี้ได้อย่างไร ไม่เห็นมีเนื้อหยกเลย?
แม้ว่าจะไม่มีผิวหิน แต่ก็ยังสามารถคาดเดาชนิดของมันออกมาได้ แต่เรื่องของสี…เธอคงต้องคลำทางเอาแล้ว หยิบไฟฉายขึ้นมาส่องก็ยังมองไม่ออกว่าเป็นสีอะไรกันแน่
ช่างเถอะ เรื่องวันนี้ถือว่าเธอถูกซีเหมินจินเหลียนเล่นงานจนยับ อับอายขายขี้หน้าเป็นที่สุด แต่กฎกติกาการเดิมพันของพวกเขาคือดูว่าหินหยกที่ใครนำมาจะมีลักษณะดีเลิศถึงเป็นผู้ชนะ ขอแค่หินหยกของเธอเจียระไนออกมาแล้วชนะหินหยกอัปลักษณ์ก้อนนั้นของซีเหมินจินเหลียน แค่นี้เธอก็เป็นผู้ชนะในคืนนี้ที่แท้จริง
ดังนั้นเธอจึงรีบหยิบกระดาษและปากกาเริ่มเขียนสีและชนิดลงไป…ชนิดเนื้อแก้ว สีเขียวมรกต!
นี่เป็นสีที่พบเจอได้บ่อยที่สุดในหยก ในเมื่อยากที่จะตัดสินได้ ก็สุ่มเดาไปมั่วๆ นี่ล่ะ! คนที่เดิมพันหินแปดในสิบล้วนแต่เดาทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? ที่วิเคราะห์ว่าเป็นเนื้อแก้วก็เพราะว่าหินหยกที่ตัดออกมามีพื้นผิวที่ละเอียดและราบเรียบ ต้องเป็นเนื้อแก้วอย่างไม่ต้องสงสัย…ความจริงหินหยกที่เจียระไนผิวจนหมดล้วนง่ายต่อการคาดเดาชนิดของมัน
วางปากกาและนั่งลงไปยังที่ของตัวเอง หันมาพูดกับซีเหมินจินเหลียนว่า “คุณซีเหมิน นับถือเธอที่คิดวิธีแบบนี้ออกมาได้”
“ฉันไม่ได้ทำผิดกฎสักหน่อยนี่คะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตาหยี เมื่อครู่สีหน้าบนใบหน้าของอวิ๋นอวิ้นดูยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นเธอจึงมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
“ทั้งสองท่านดูเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ?” ประธานเซี่ยยืนขึ้นและรับจดหมายของทั้งคู่มาดู ได้แต่ยิ้มแล้วส่งไปให้นักประเมินราคาหยกทั้งสองท่านที่อยู่ข้างๆ
“ในเมื่อไม่มีข้อโต้แย้ง ก็เริ่มเกมไฮไลท์หลักของเราวันนี้กันเถอะ ขอเชิญทั้งสองท่านเริ่มการเจียระไนได้ครับ” ประธานเซี่ยพูด
อวิ๋นอวิ้นพาผู้เชี่ยวชาญเจียระไนหินมากประสบการณ์มาจากบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ ได้ยินเช่นนั้นจึงลุกขึ้นหยิบหินหยกก้อนนั้นไปวางตรงกลางห้องรับแขกและเตรียมเปิดเครื่องเจียระไนเพื่อเริ่มการเจียระไนขึ้น
จ่านป๋ายมองไปทางซีเหมินจินเหลียนพร้อมพูด “ยังทำตามที่พวกเราตกลงกันไว้ใช่ไหม?”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ไม่รีบ คุณค่อยๆ เจียระไนก็พอ…ความอดทนของฉันสูงมากพอ!”
“ก็จริง” จ่านป๋ายพยักหน้ายิ้ม “อีกเดี๋ยวถ้าคุณรอไม่ไหว ไปนอนก่อนสักตื่นก็ได้ ผมจะค่อยๆ เจียระไน”
“รบกวนคุณแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอ่อนโยน
จ่านป๋ายพยักหน้า จากนั้นเดินไปยังตรงกลางหยิบหินหยกก้อนนั้นของซีเหมินจินเหลียน พร้อมเครื่องเจียระไน แล้วจัดตำแหน่งของหินหยกค่อยๆ ทำการเจียระไนไปทีละนิด
โชคดีที่ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ให้เขาใช้เครื่องเจียระไนกับมือเอง ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเจียระไนไปจนตายแน่
แต่ผู้เชี่ยวชาญแซ่เฉิงของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่คนนั้นเริ่มชำแหละผิวหินออกมาจนหมด จากนั้นค่อยๆ ระมัดระวังทำการเจียระไนอย่างช้าๆ
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ความเร็วของผู้เชี่ยวชาญเฉิงจากบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ก็ยังเร็วกว่าจ่านป๋ายอยู่มาก ประมาณสี่สิบนาที หินหยกของอวิ๋นอวิ้นถูกเจียระไนขัดเกลาจนใสสะอาด ผู้เชี่ยวชาญเฉิงสองมือประคองด้วยความระมัดระวังวางลงไปบนโต๊ะ
แสงสีน้ำเงินใสระยิบระยับเช่นแสงของดาว เหมือนดั่งฟ้าหลังฝน หรือกลุ่มแสงดาวคอยเปล่งประกายอยู่บนท้องฟ้า ถ้าหากเพียงเท่านี้หินหยกก้อนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่สาแก่ใจ มันกลับเผยความตระการตาอีกอย่างให้เห็น ในมุมหนึ่งของหยกกว้างแค่ประมาณสองนิ้วมือ แต่มีสีแดงสดใสคอยแต้มสีสัน เหมือนท้องฟ้าสีน้ำเงินที่ปัดแก้มสีแดงระเรื่อ
รอบๆ สีแดงมีสีน้ำเงินจางๆ แต่มันยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงสีแดงที่สดใสมากขึ้น
สีแดงน้ำเงินสองสีหากอยู่ด้วยกัน เดิมทีสีไม่ได้สดใสมาก แต่เพราะว่าความจืดจางนี้ กลับยิ่งทำให้มันสว่างสดใสขึ้น…ราวกับเมฆสีไฟที่กำลังแผดเผาในยามพลบค่ำของฤดูร้อน
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาตามๆ กัน เห็นหยกมาก็ไม่น้อย แต่ยังไม่เคยเจอที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นแค่ก้อนหินหยกเท่านั้น ยังไม่ได้ตัดมาเจียระไนหรือแกะสลักเพิ่มเติม หากเอาไปต่อยอดเป็นเครื่องประดับหรือของตกแต่ง หลังเจียระไนเสร็จจะยิ่งสดใสถึงขั้นไหนกัน?
“สวยมาก!” นักประเมินราคาแซ่หวังคนหนึ่งยืนขึ้น พร้อมหันไปพูดกับอวิ๋นอวิ้น “คุณนายอวิ๋น ผมขอสัมผัสได้ไหมครับ?”
“ได้อยู่แล้วค่ะ” อวิ๋นอวิ้นพยักหน้ายิ้ม
แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าลักษณะด้านในของหินหยกก้อนนี้จะเป็นอย่างไร แต่เมื่อเจียระไนเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมยกใหญ่ เป็นอย่างที่คิด หินหยกก้อนนี้สวยจริงๆ ถ้าหากนำไปแกะสลักเป็นของตกแต่งคงต้องเป็นของหายากบนโลกนี้แน่ เกรงว่าคงไม่มีของเช่นนี้ปรากฎให้เห็นบนโลกเป็นชิ้นที่สอง
ผู้เชี่ยวชาญหวังเดินไปยังข้างหน้าหินหยก มือสั่นไหวสัมผัสลงไปบนนั้น เนื้อหยกมีความเรียบเนียนและลื่นไหล จากการใช้นิ้วมือสัมผัสลงไป หินหยกที่ถูกเจียระไนต่อหน้าตรงนี้ไม่ได้เป็นภาพลวงตาแน่ แต่หยกลักษณะเช่นนี้มันสวยเกินไป สวยจนไม่เหมือนของจริง
และที่สำคัญหยกก้อนนี้ชุ่มชื้นมาก ทำให้คนที่พบเห็นคิดว่าเหมือนกำลังแช่อยู่ในน้ำ ชุ่มฉ่ำจนทำให้คนเงียบสงบลงได้
จ่านป๋ายยังคงเจียระไนอยู่ หลังจากที่นักประเมินราคาหวังสัมผัสดูอยู่พักหนึ่งจึงกล่าวชมขึ้นมา “ผมว่าผู้ชนะเดิมพันในคืนนี้เห็นๆ กันอยู่แล้ว แม้ว่าหินหยกของคุณซีเหมินจะเจียระไนออกมาเป็นสีเขียวจักรพรรดิ แต่ก็ไม่อาจชนะหยกก้อนนี้ได้…ชนิดเนื้อแก้วสองสี เสริมกับแสงดาวที่รวมตัวอยู่นั้น สวยเหลือเกิน…”
“หินหยกของคุณซีเหมินยังไม่ได้เจียระไนออกมา คุณพูดแบบนี้มันดูลำเอียงเกินไปหน่อยนะครับ” จ่านมู่ฮวาพูดเสียงแข็ง
“ยังมีประโยชน์อยู่อีกเหรอ?” นักประเมินราคาหวังส่ายหน้าพูด “ขอถามหน่อยว่าบนโลกใบนี้ยังมีหินหยกที่ดีกว่าก้อนนี้อีกเหรอครับ? คุณซีเหมินจะมีโอกาสชนะคุณนายอวิ๋นได้อย่างไร”
“ตนเองยังเห็นโลกไม่รอบด้าน ก็อย่ามาขายขี้หน้าต่อหน้าคนอื่นเลยครับ” สวี่อี้หรานพูดจริงจัง “ผมเคยเห็นหินหยกที่สวยกว่าหินหยกก้อนนี้มาก่อน” ซีเหมินจินเหลียนมีจี้เม็ดหนึ่ง เขาเคยเห็นเธอเคยใส่มาก่อน ชนิดเนื้อแก้วแถมข้างในยังมีเส้นแสงสี่สี นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดแสงเย็น ยิ่งหยกมีความชุ่มชื้นราบเรียบก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใสแวววาว ตอนนั้นเขาแทบไม่เชื่อในสายตาตัวเองด้วยซ้ำ
เขาก็ไม่ได้อยากจะไปพูดถากถางกับนักประเมินราคาหวัง ในเมื่อบนโลกมีหินหยกแบบนั้น มีหนึ่งก็มีสอง ซีเหมินจินเหลียนสามารถมีครอบครองไว้อยู่หนึ่ง ก็มีโอกาสที่จะมีเป็นก้อนที่สอง ไม่เห็นจะยากตรงไหน? บนโลกที่กว้างใหญ่เช่นนี้ ไม่มีความมหัศจรรย์ไหนไม่เกิดขึ้น นักประเมินราคาหวังดูเหมือนกบในกะลา ไม่เคยเห็นโลกภายนอกสินะ
นักประเมินราคาหวังถูกเขาเสียดแทงขนาดนั้น ใบหน้าพลันแดงกล่ำ ไม่กล้าที่จะปริปากพูดอะไรต่อ
จ่านมู่ฮวายิ้ม “คุณหวังเชิญนั่งลงก่อนเถอะครับ รอให้ผลเจียระไนออกมาให้เสร็จ ก็ยังไม่สายที่จะพูดคุย คุณอย่าลืมล่ะของเดิมพันของทั้งสองท่านไม่ธรรมดา อย่าสร้างความสะเทือนใจต่อคนอื่นเลย”
ความจริงนักประเมินราคาทั้งสองท่านที่ถูกเชิญมาต่างรู้ดี จ่านมู่ฮวากับสวี่อี่หรานเป็นถึงคุณชายตระกูลใหญ่โต จะหาเรื่องต่อกรเขาคงสู้ไม่ไหว สิ่งที่เขาพูดเมื่อสักครู่แค่บริสุทธิ์ใจ เพราะหยกก้อนนั้นสวยมากจริงๆ บนโลกใบนี้ยังจะมีหยกก้อนอื่นที่สวยกว่านี้อีกเหรอ?
ดังนั้นนักประเมินราคาหวังจึงนั่งบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง รอคอยผลเจียระไนของจ่านป๋าย
ส่วนนักประเมินราคาอีกคนกับประธานเซี่ยก็ได้สัมผัสหินหยกสีน้ำเงินแดงสองสีเล่นจนพอใจแล้ว สุดท้ายเพราะว่าจ่านป๋ายยังเจียระไนออกมาไม่เสร็จ สายตาของทั้งสามท่านจึงตกไปอยู่ที่หยกราชางูกับราชาหยก
“นี่เป็นงูอะไรกันแน่” นักประเมินราคาหวังเริ่มถามขึ้นมาก่อน