ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 197 เรื่องไร้คุณธรรมในอดีต
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วฝืนยิ้มออกมา “คุณป้าคะ คุณป้าก็เข้าใจผิดแล้ว หนูก็อยากจะซื้อหินหยกก้อนนี้จริงๆ หนูชอบมันมาก”
“คุณซีเหมิน คุณอย่าหลอกพวกเราเลยค่ะ” คุณแม่หนิงส่ายศีรษะพูด “หลายปีมานี้ ไม่เห็นมีใครสนใจหินหยกก้อนนี้เลย นอกเสียจาก…”
“นอกเสียจากอะไรคะ?” ซีเหมินจินเหลียนมองไปทางหนิงชุ่ยฉินด้วยสีหน้าลำบากใจ หวังว่าเธอช่วยพูดให้ได้ เรื่องต่อรองราคายังไม่เท่าไหร่ แต่เธอจะพูดได้อย่างไรว่าหินหยกก้อนนี้มีผิวหนาสองชั้น ข้างในผิวมีลักษณะโดดเด่น และหลังจากที่เธอใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านแล้ว หินหยกก้อนนี้ก็เป็นสามสีหายาก ไหนจะมีสีเงินพัวพันอยู่รอบๆ
“นอกเสียจากว่าหนูจะผ่าออกมาให้ฉันดูว่าข้างในมีหยกจริง ฉันถึงค่อยขาย ไม่อย่างนั้นก็อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย” คุณแม่หนิงส่ายศีรษะพูด “น้ำใจของหนูพวกเราก็รับไว้แล้ว”
“คุณป้าคะ” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นจึงร้อนรนขึ้นมา “ผ่าออกมาไม่ได้หรอกค่ะ การเดิมพันหินหยก ส่วนสำคัญก็อยู่ที่การ ‘เดิมพัน’ นี้ไม่ใช่หรือคะ และก่อนที่หินหยกจะทำการเปิดออกมาก็ไม่มีใครคาดเดาอะไรได้ทั้งนั้น หากคนอื่นไม่สนใจก็เพราะสายตาของเขามีปัญหา หนูพูดกับคุณป้าตรงๆ เลยแล้วกันค่ะ หนูมีบริษัทจิวเวอรี่อยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ครั้งนี้ที่มาซื้อหินหยกและเรื่องค่านายหน้าไม่ใช่ว่าหนูเห็นแก่ความสัมพันธ์ของหนูกับหนิงชุ่ยฉินเท่านั้น หนูไม่มีทางซื้อหินหยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ไว้มั่วซั่วหรอกค่ะ แต่หนูก็สนใจจริงๆ! ถ้าคุณป้าไม่เชื่อ คุณป้าลองหาข้อมูลความสามารถในการเดิมพันหินของหนูก็ได้ หนูไม่เคยแพ้เดิมพันมาก่อน”
หากเปลี่ยนเป็นอยู่ต่อหน้าคนอื่น ซีเหมินจินเหลียนคงไม่พูดออกมาเช่นนี้ แต่เมื่อพบกับหนิงชุ่ยฉิน เธอก็หมดปัญญา ผู้หญิงคนนี้ให้ตายอย่างไรก็คิดแต่ว่าหินหยกก้อนนี้เป็นแค่หิน จากนิสัยของหนิงชุ่ยฉินแล้วคงเป็นกังวลว่าเธอจะเดิมพันแพ้
“คุณซีเหมิน ที่หนูพูดจริงหรือจ๊ะ?” คุณแม่หนิงครุ่นคิดไปมาพลันขมวดคิ้ว “แต่สิ่งที่หนูทำให้ป้าลำบากใจก็คือ นี่เป็นหินหยกที่สามีของป้าเหลือไว้ก้อนสุดท้ายแล้ว และตอนนี้ป้ากับชุ่ยฉินก็ไม่ได้ตกระกำลำบากอะไร หากขายออกไปป้าก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หรือขายแพงไปก็กลัวหากหนูกลับไปเจียระไนแล้วเป็นหิน ป้าคงต้องไม่สบายใจแน่!”
“หนูได้ยินที่หนิงชุ่ยฉินบอกแล้วค่ะ หากราคาต่ำกว่าหนึ่งล้าน คุณป้าก็จะไม่ขายใช่ไหมคะ?” ซีเหมินจินเหลียนได้ฟังเธอพูดห่วงหน้าพะวงหลังแบบนี้ก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมา เธอกลัวว่าคุณแม่หนิงจะตอบสนองช้า หากกัดปากยืนกรานว่าจะไม่ขาย นี่แหละที่เป็นปัญหา
“ฉันแค่พูดไปเท่านั้นเองน่ะ” คุณแม่หนิงยิ้มขมขื่น “อย่าถือสาคำพูดคนเวลาโกรธเลยนะ! ถ้าหนูซีเหมินต้องการจริงๆ พรุ่งนี้หนูให้คนมาย้ายมันกลับไปเจียระไนได้เลย หนูให้ฉันมาแค่สองแสนก็พอแล้ว อย่างไรมันก็คือหินทั้งนั้น…ช่างมันเถอะ”
หลายวันมานี้ซีเหมินจินเหลียนคุ้นชินกับการที่ร้านค้ามากมายต่างใช้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวฉ้อโกงกันทั้งนั้น แต่พอมาเจอความจริงใจของคุณแม่หนิงนี้ก็ยากที่เธอจะปรับตัวทัน
จ่านป๋ายไม่ได้พูดขัดอะไรขึ้นมา เขาเพียงแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว แต่ความจริงแล้วเขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าทำไมซีเหมินจินเหลียนถึงได้ยืนกรานที่จะซื้อหินหยกก้อนนี้
ซีเหมินจินเหลียนควานหากระดาษปากกาพร้อมตราประทับ บรรจงเขียนเช็คเงินสดและยื่นไปให้หนิงชุ่ยฉิน “ถือว่าเก็บไว้ใช้เป็นค่าสินสอดของหนิงชุ่ยฉินในอนาคตแล้วกันนะคะ”
หนิงชุ่ยฉินมองไปที่เช็คเงินสดใบนั้นด้วยความตกตะลึง ตัวอักษรข้างในถูกเธอมองข้ามอย่างสินเชิง แต่ตัวเลขศูนย์ที่เรียงรายกันอยู่นั้นทำให้เธอชะงักและพยายามกระแซะเข้าหาคุณแม่หนิงพร้อมกระซิบว่า “แม่ แม่ลองตีหนูหน่อยสิ…ตีให้หนูตื่นเลยนะ แล้วบอกหนูว่าหนูกำลังฝันไป!”
คุณแม่หนิงรีบรับเช็คเงินสดใบนั้นมาจากมือหนิงชุ่ยฉิน เพียงแค่มองแวบหนึ่งสีหน้าก็พลันถอดสีรีบพูดขึ้นว่า “แบบนี้ไม่ได้หรอก คุณหนูซีเหมิน ราคาที่หนูให้มา…มันเกินจริงไป…แบบนี้ไม่ได้… ”
แปดล้าน? นี่ล้อเล่นอะไร ตอนนั้นที่สามีของเธอซื้อมาจากพม่าก็จ่ายไปประมาณแปดล้าน เดิมทีสินค้าดีๆ ที่เหลืออยู่ก็ถูกเธอขายทิ้งไปหมด ความจริงคนที่มาซื้อหินหยกพวกนั้นของเธอก็ต่างเป็นญาติสนิทมิตรสหายกันทั้งนั้นที่มาช่วยเหลือ…
และทุกครั้งก็กดราคาต่ำจนไม่รู้จะต่ำอย่างไรแล้ว ขายด้วยราคาไม่ต่างกับหินก่อสร้างก็ไม่ปาน
หลายปีมานี้เธอทำงานหามรุ่งหามค่ำก็เพื่อหวังจะได้เงินที่สามีเคยยืมคนอื่นไว้คืนมา เพื่อในอนาคตสามารถหาคู่ครองที่ดีให้กับลูกสาวตน
แต่หินก้อนนี้ ซีเหมินจินเหลียนอยากซื้อยังไม่เท่าไหร่ แต่เธอกลับเปิดราคาที่เกินจริงขึ้นมาแบบนี้
“คุณป้าคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นจริงจัง “หากคุณป้ามีความรู้เรื่องธุรกิจหยก ราคาสองแสนที่คุณป้าเสนอมา หากเอาตามจริงแล้วหนูคงไม่ยอมจ่ายเต็มราคาตั้งแต่ทีแรก แต่คงต้องกดราคาให้ต่ำลงอีก เพราะเรื่องแบบนี้หากสองฝ่ายทำธุรกรรมเสร็จสิ้น ก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงจะขาดทุนก็เป็นเรื่องของหนู แต่…คุณป้าไม่ได้ทำธุรกิจหยก และคุณป้ายังคอยต้อนรับพวกเราด้วยน้ำใจอีก หนูก็ชอบหินหยกก้อนนี้จริงๆ เพราะอย่างนั้นหนูก็ไม่อยากเอาเปรียบคุณป้า เพราะหนูคิดว่ามันสมค่าราคา!”
ในใจเธอรู้ดี หินหยกก้อนนี้หากเจียระไนออกมามันก็คือสมบัติล้ำค่า ถึงเธอจะเปิดด้วยราคาแปดสิบล้านดอลล่าร์ก็ยังมีคนแย่งซื้อ
“คุณซีเหมิน หนูไม่ได้หลอกพวกเราจริงๆ ใช่ไหม?” คุณแม่หนิงขมวดคิ้ว
“แน่นอนค่ะคุณป้า หนูพูดความจริง ไม่ใช่ว่าคุณป้าจะไม่ขายแล้วนะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มออกมา
“ขายจ้ะขาย!” คุณแม่หนิงยิ้ม “หนูไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้หนูเรียกคนมาขนย้ายได้เลย ฉันยังพอเข้าใจกฎของตลาดหินหยกมาบ้าง หนูอุตส่าห์พูดมาขนาดนี้แล้ว ฉันจะเปลี่ยนใจไม่ขายได้อย่างไรกัน? เพียงแต่ราคาที่หนูให้มาสูงเหลือเกิน”
“อย่างนั้นก็ดีค่ะ” ในที่สุดซีเหมินจินเหลียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หินใหญ่ที่ต้องการตอนนี้เธอก็ได้มาครอบครองไว้แล้ว จ่านป๋ายยังคงมองเธออย่างสงสัย หรือว่าหินหยกก้อนนี้จะเผยหยกออกมาจริงๆ?
เมื่อทั้งสี่คนทานอาหารมื้อเย็นอย่างมีความสุขเสร็จก็เตรียมตัวแยกย้าย หนิงชุ่ยฉินบอกจะไปส่งซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายที่โรงแรม แต่ซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธบอกว่าเธอจะไปเที่ยวตลาดนัดกลางคืนที่ถนนหยกโบราณอีก จึงบอกเธอว่าไม่ต้องไปส่ง
หนิงชุ่ยฉินเลยไม่ได้ดึงดันอีก เธอเห็นจ่านป๋ายกับซีเหมินจินเหลียนสนิทสนมใกล้ชิดดูแล้วไม่เหมือนกับบอดี้การ์ด ดูท่าทั้งคู่คงอยากไปสวีทกัน ตนเลยไม่อยากเข้าไปเป็นส่วนเกิน
เมื่อหันหลังกลับมาหลังจากปิดประตูรั้วเสร็จ ก็เห็นแม่ของตนยืนอยู่ข้างในมองหินหยกก้อนใหญ่ด้วยความสงสัย
“แม่ แม่มองอะไรอยู่?” หนิงชุ่ยฉินแปลกใจ
“ชุ่ยฉิน พ่อของแกตายอย่างไม่ยุติธรรมจริงๆ” คุณแม่หนิงพูดหมดแรง
“แม่ แม่ก็เชื่อว่าหินหยกก้อนใหญ่ก้อนนี้จะมีหยกอย่างนั้นเหรอ?” หนิงชุ่ยฉินส่ายหน้า “คนตั้งมากที่ไม่ชอบมัน มีแต่เธอที่ชอบ หรือว่ามันจะมีหยกจริงๆ?”
“เพราะเธอคือซีเหมินจินเหลียน” คุณแม่หนิงยิ้ม จู่ๆ น้ำตาก็ไหลเป็นสายอาบแก้ม
“แม่…แม่เป็นอะไรไป?” หนิงชุ่ยฉินทำตัวไม่ถูกรีบไปประคองแม่ของตน “แม่ แม่น่าจะดีใจถึงจะถูกสิ ในที่สุดพวกเราก็ใช้เงินคืนลุงหมดแล้ว แม่ก็ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำที่โรงงานของลุงอีกแล้ว แล้วก็…พวกเราสามารถไปซื้อบ้านที่ใหญ่กว่านี้กัน…”
“แม่แค่รู้สึกว่า พ่อของแกตายอย่างไม่ยุติธรรมเท่านั้น” คุณแม่หนิงเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มของเธอพร้อมส่ายหน้า “ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่เจียระไนหินหยกออกมาให้หมด ทำไมเขาไม่ฟังแม่บ้าง?”
“แม่!” หนิงชุ่ยฉินขมวดคิ้วปลอบประโลม “แม่ลองคิดดูนะ แม้ว่าคุณซีเหมินจะชอบหยกก้อนนี้ แต่ก็ไม่ได้ยืนยันสักหน่อยว่าหินหยกก้อนนี้จะเป็นหยก? ถ้าตอนนั้นพอเจียระไนจริงแล้วมันคือหิน มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“เพราะแกไม่รู้ว่าเธอเป็นใครต่างหาก!” คุณแม่หนิงพูด “แม่ได้ยินพวกลุงของแกบอกว่า คนอื่นๆ ต่างเรียกคุณหนูซีเหมินคนนี้ว่าเจ้าหญิงหยก และบอกกันมาว่าเธอก็ไม่เคยเดิมพันแพ้สักครั้ง…อีกทั้งเธอเป็นพวกม้ามืด อย่างเช่นสิ่งที่คนอื่นไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่ในมือเธอมันก็สามารถเปลี่ยนหินให้กลายเป็นทองได้”
“เปลี่ยนหินให้กลายเป็นทอง?” หนิงชุ่ยฉินบ่นพึมพำ อยู่ๆ เธอก็รู้สึกชอบคำนี้ขึ้นมา
“ได้ยินว่าเธอเป็นบุคคลในตำนาน ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งปี จากคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าก็ก่อร่างสร้างตัวจนมีบริษัทจิวเวอรี่เป็นของตัวเอง แถมยังเป็นคุณนายเศรษฐีนีหลายร้อยล้าน…อืม คงใช้คำนี้ไม่ได้สินะ เธอยังเด็กขนาดนี้ แถมยังสวยมาก!” คุณแม่หนิงถอนหายใจ
“คนที่แต่งงานกับเธอในอนาคตคงต้องโชคดีมากแน่ๆ” หนิงชุ่ยฉินอิจฉาไม่หยุด
คุณแม่หนิงพยักหน้าและพูดเอื้อนเอ่ย “ตอนแรกแม่นึกว่าเธอแค่มีน้ำใจจริงๆ แต่ต่อมาเมื่อเธอเสนอราคาให้แปดล้านแบบนั้นก็พิสูจน์แล้วว่าเธอชอบหินก้อนนั้น เงินจำนวนหนึ่งแสนหรือแปดแสน บางทีเธอก็อาจจะไม่คิดว่ามันเป็นเงิน แต่เงินจำนวนแปดล้าน แม้แต่คนมีเงินก็คงไม่ใช้จ่ายง่ายๆ แบบนี้หรอกใช่ไหมล่ะ?”
หนิงชุ่ยฉินพยักหน้าและเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ คุณแม่หนิงจูงมือเธอและทั้งคู่นั่งลงบนหินก้อนนี้
“ชุ่ยฉิน แกรู้ไหม?” คุณแม่หนิงพูด “เมื่อกี้แม่เกือบจะไม่ขายแล้ว”
“ทำไมล่ะ” หนิงชุ่ยฉินไม่เข้าใจ
“ในเมื่อเธอสนใจ นั่นก็เท่ากับว่าหินหยกก้อนนี้ราคาคงไม่ใช่เท่านี้แน่” คุณแม่หนิงถอนหายใจออกมา “ดังนั้นขอแค่พวกเราเจียระไนออกมา เงิน…ก็คงมากมายมหาศาล”
“หา?” หนิงชุ่ยฉินขมวดคิ้วแน่น “แต่ถ้าทำอย่างนั้นมันก็ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่”
“ใช่” หนิงชุ่ยฉินพยักหน้า “แกคิดได้อย่างนี้ ก็แสดงว่าแกยังมีจิตใจที่งดงาม…ตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นตายอย่างไรพ่อของแกก็ไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมของแม่เลย ทำเรื่องขาดศีลธรรม ต่อมากรรมก็เลยตามสนอง ชุ่ยฉิน เกิดเป็นคนเราก็ต้องซื่อสัตย์นะ”
“แม่ แม่สอนหนูอีกแล้วนะ!” หนิงชุ่ยฉินทำยู่ปากไม่หยุด “หนูซื่อสัตย์พอน่า”
“อีกอย่างหากพวกเราทำอย่างนั้นจริงๆ เกรงว่าเราคงไม่ได้โชคดีแบบนี้แล้ว” คุณแม่หนิงพูด “แกลองคิดดูสิ หินก้อนใหญ่ขนาดนี้หากเจียระไนออกมาเป็นหยกชั้นดี คงต้องมีคนต้องการซื้อเป็นโขยงแน่ แต่จะมีสักกี่คนกันที่สามารถซื้อได้? ถ้าเราขายไม่ออกในช่วงเวลาสั้นๆ เก็บไว้ในมือก็กลัวคนจะขโมย…ถึงเวลานั้นก็ยิ่งจะลำบากกว่าเดิมอีก สู้เป็นแบบนี้เสียดีกว่า เวลาแกออกไปไหนก็อย่าพูดจาเหลวไหลล่ะ เข้าใจไหม? โดยเฉพาะกับอาหรือลุงของแก แล้วพรุ่งนี้ตอนที่แกพาเธอไปดูสินค้าที่ร้านของลุง แกก็อย่าบอกเด็ดขาดว่าเธอเป็นใคร ไม่อย่างนั้นดูจากนิสัยของลุงแกแล้วคงต้องเปิดราคามาสูงลิ่วแน่”
“แม่ หนูรู้หรอกน่า ไม่มีทางบอกใครแน่นอน! หนูก็ไม่ได้โง่นะ!” หนิงชุ่ยฉินโอบกอดคอแม่ของตนและออดอ้อนไม่หยุด “จริงสิ เธออยากจะไปซื้อหินหยกที่พม่า แต่ไม่มีคนรู้จักชำนาญทาง หนูเลยแนะนำแม่ไป”
“ถ้าเธอจะไปจริงๆ แม่ไปกับเธอก็ได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถือว่ามีน้ำใจช่วยเหลือกัน อืม! แล้วแกไปรู้จักกับเธอได้อย่างไร” คุณแม่หนิงถาม “แกไปที่โรงแรมมาอีกแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” หนิงชุ่ยฉินได้ยินแบบนั้นจึงรีบผละตัวออกไปและลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“เด็กคนนี้นี่ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ แกไม่ฟังฉันเลยใช่ไหม!” คุณแม่หนิงเห็นเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าตนทายถูก จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นิสัยของลูกสาวตนในอนาคตจะไปหาคนดีๆ ที่ไหนมาแต่งงานด้วยได้?
“แม่! แม่อย่าตีหนูนะ!” หนิงชุ่ยฉินยืนหน้าปากประตูและยิ้มบาง “เมื่อกี้แม่บอกว่าพ่อทำอะไรนะ?”
คุณแม่หนิงอึ้งอยู่นาน นี่เป็นเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว…คนคนนั้นหน้าตาดูดี โดยเฉพาะเวลาเขายิ้ม งดงามเหลือเกิน ไหนจะดวงตากลมโตเปล่งประกาย
คนคนนั้นได้ยินว่าจากโลกนี้ไปแล้ว? คุณแม่หนิงพิงอยู่ที่กรอบประตู สติหลุดลอย เพราะอย่างนี้เธอจึงเกือบจะหย่ากับสามีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีลูกซะก่อน
“ตอนนั้นพ่อของแกมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง เขาไปเดิมพันหินกับคนอื่น พ่อของแกคบหากับพวกเขาตลอด เพื่อนคนนั้นไม่ได้ระวังตัวจากพ่อของแก ผลสุดท้ายพ่อของแกก็ถูกฝ่ายตรงข้ามซื้อตัวไป เปลี่ยนหินหยกของเขา คนคนนั้นเลยแพ้…สิ่งที่พวกเขาเดิมพัน…มันคือชีวิต!” คุณแม่หนิงอธิบาย
“หา?” หนิงชุ่ยฉินตกตะลึง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย “เดิมพันหินกับเดิมพันชีวิตเกี่ยวกันยังไง? ทำไมต้องเดิมพันชีวิตด้วย?”
“เหมือนว่าคนคนนั้นจะมีความแค้นกับฝ่ายตรงข้าม” คุณแม่หนิงขมวดคิ้วพูด “รายละเอียดยิบย่อยแม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เดิมทีเพื่อนของพ่อแกก็มีความเชื่อมั่น แต่ผลกลับกลายเป็นว่า…เพราะพ่อของแก เขาเลยแพ้อย่างราบคาบจนถูกคู่อริพาตัวไป บอกว่าจะควักดวงตาเขา ทำให้เขาตายไม่ผุดไม่เกิด ไม่ต้องมาเดิมพันหินอีก ได้แค่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดที่แสนเจ็บปวด”
“พ่อก็ทำเกินไปแล้ว!” หนิงชุ่ยฉินกำหมัดแน่น
“ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เพราะอย่างนี้แม่ถึงบอกว่าเป็นคนต้องซื่อสัตย์!” คุณแม่หนิงพูด
อีกฝั่งหนึ่งจ่านป๋ายคล้องมือซีเหมินจินเหลียนไว้ เพราะถนนแถวบ้านของหนิงชุ่ยฉินเดินลำบาก บรรยากาศก็มืดสนิท เขาหยิบไฟฉายขึ้นมาส่อง “คุณจะไปถนนหยกโบราณจริงๆ เหรอ?”
“ฉันแค่อยากจะเดินเล่นสักหน่อย ไปไหนก็เหมือนกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูดแผ่วเบา
“จินเหลียน หินใหญ่ก้อนนั้นดีจริงๆ เหรอครับ” จ่านป๋ายถามคำถามที่อยู่ในใจมานาน
“กลับไปเจียระไนก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอไง?” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ผมเห็นว่าเดี๋ยวคุณก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวคุณก็ส่ายหน้า ก็เลยนึกว่าไม่ดีซะอีก!” จ่านป๋ายพูด “พอผมได้ยินว่าคุณจะซื้อ ยังคิดอยู่ว่าคุณแค่อยากจะช่วยสองแม่ลูกตระกูลหนิงเท่านั้น!”
“ฉันไม่ได้จิตใจดีขนาดนั้นหรอก หากแค่ไม่กี่หมื่นไม่กี่แสนยังพอทำใจได้ แต่นี่แปดล้านนะ…คุณก็เห็นว่าฉันโง่หรือไง?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“แต่แบบนี้หากฝ่ายนั้นกลับคำไม่ยอมขาย จะทำอย่างไรล่ะครับ?” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูด “อีกอย่างพอพวกเราออกมาแบบนี้ แล้วถ้าเธอเกิดเจียระไนขายเนื้อหยกไปหมดก็น่าจะร่ำรวยไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“สิ่งที่ฉันชอบ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของดี แม่ของหนิงชุ่ยฉินคนนั้นเธอก็ฉลาดพอ เธอคงไม่แบกรับความเสี่ยงหรอก!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “สิ่งที่เธอต้องการคือชีวิตเรียบง่าย ไม่มีทางทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนั้นแน่”
มนุษย์เราบางครั้งก็ไม่เหมือนกัน บางคนแสวงหาความมั่นคงมาตลอดแต่กลับเจอทางตัน แต่บางคน…ทำเรื่องบ้าคลั่งบางอย่าง ถอยหลังมาก่อนเพื่อที่จะได้ตั้งต้นใหม่
“พวกเราจะไปไหนกันดี?” จ่านป๋ายเห็นทางข้างหน้าค่อยๆ กว้างขึ้น แสงไฟข้างทางสว่างจ้า บนถนนมีรถขับเคลื่อนไปมา มีคนเดินพุ่งพล่านคึกคักถนัดตา