ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 20
ซีเหมินจินเหลียนมองเขาด้วยสายตามึนงง เสียแล้ว? อาจารย์ของเขาตายไปเช่นนี้น่ะหรือ? จากสิ่งที่เขาพูด อาจารย์ท่านนี้น่าจะได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจเลยทำให้ตกใจแล้วจากไป แต่ว่าเธอก็รู้ว่าอาจารย์ของผู้เฒ่าหูเป็นผู้ผ่านโลกมามากจริงๆ ทำไมอยู่ดีๆ เขาจึงจากไปด้วยอาการตกใจเช่นนี้ล่ะ
“ผมยังมีศิษย์น้องชาย ศิษย์น้องสาว เพราะเหตุนี้พวกเขาก็คิดว่าผมเป็นสาเหตุทำให้อาจารย์จากไป” ผู้เฒ่าหูถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ของที่อาจารย์เหลือเอาไว้ ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกเสียจากหินหยกก้อนนั้น” ผู้เฒ่าหูยังคงพูดต่อ
“ท่านผู้เฒ่าหู สิ่งที่ฉันอยากรู้ก็คือเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับฉันเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาแทรกตัดบทสนทนา
“ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรหรอก!” แววตาของผู้อาวุโสเจี่ยยังคงจดจ้องไปที่หลังมือเธอที่มีรูปดอกบัวสีทองปรากฏอยู่ น้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉยนั้นราวกับไม่ได้แฝงไว้ด้วยความรู้สึกใด แต่กลับมีความเจ็บปวดซ่อนไว้อยู่ในนั้น “เพราะว่าผมเห็นใบหน้าของคุณ เหมือนตอนที่เห็นสีหน้าของอาจารย์ครานั้น คุณซีเหมิน ผมอยากจะรู้ว่าภายในหินก้อนนั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่”
“หินหยกก้อนนั้นอยู่ในมือคุณมาตั้งนาน ถ้าคุณอยากจะรู้จริงๆ ทำไมถึงไม่ผ่ามันออกมาพิสูจน์ดูล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามกลับไป
“ตอนนั้นผมให้คำสาบานด้วยยาพิษ นอกเสียจาก…” ผู้เฒ่าหูพูดถึงประโยคนี้ก็หยุดค้างเอาไว้ มองไปที่เธอ
“นอกเสียจากอะไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ช่างมันเถอะครับ!” ผู้เฒ่าหูส่ายศีรษะอย่างอ่อนแรงแล้วพูดว่า “นี่เป็นความลับภายในสำนักของเรา ผมคงจะพูดมากไม่ได้ ตอนนี้ผมขอใช้หินหยกทั้งสองชิ้นนี้แลกกับคำตอบของคุณซีเหมินเพียงประโยคเดียว ภายในของหินหยกก้อนนี้มีอะไรกันแน่?”
“ฉัน…ไม่รู้!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถ้าเธอบอกเขาว่าเธอเห็นว่าภายในหินมีอะไรซ่อนไว้อยู่ นั่นก็เป็นการยอมรับว่าเธอสามารถมองเห็นลักษณะภายในของหินได้ “ถ้าหากผู้เฒ่าหูอยากรู้จริงๆ กลับไปฉันจะผ่ามันออกมา แล้วถึงตอนนั้นจะบอกคุณว่ามันคืออะไร”
ผู้เฒ่าหูทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าตอบรับ “ก็ได้ครับ แต่หวังว่าคุณซีเหมินจะรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้”
“ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ฉันต้องรักษาสัญญาแน่ค่ะ!”
“ดีครับ!” ผู้เฒ่าหูพูดขึ้น “อย่างนั้นคนแก่อย่างผมก็จะรักษาสัญญา หยกทั้งสองชิ้นนี้คุณรับกลับไปเถอะครับ”
“ฉันไม่สามารถที่จะเอาเปรียบคุณได้หรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว “ในเมื่อหินทั้งสองชิ้นนี้มาจากคุณ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะใช้ราคาเดิมที่เขียนเอาไว้ซื้อมันกลับไปทั้งสองชิ้น”
ผู้เฒ่าหูได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา
ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหัวเราะออกมา เธอได้แต่มองเขา ส่วนผู้เฒ่าหูหลังจากที่หัวเราะออกมาเต็มแรงถึงปริปากพูดออกขึ้นว่า “คุณซีเหมิน เงินคืออะไร?”
ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี
แต่ผู้เฒ่าหูก็ไม่ได้คาดคั้นคำตอบของเธอแต่อย่างใด “คนมากมายต่างพูดว่าเป็นความมั่งคั่ง ตอนนั้นผมถามเสี่ยวเจีย เขาก็ตอบกลับมาเช่นนี้ ใช่แล้ว ในสายตาของคนอื่นๆ เงินเป็นตัวแทนของความมั่งคั่งร่ำรวย ตอนนี้เหมือนจะมีประโยคหนึ่งที่พูดกันมาไม่ใช่เหรอ? เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง แต่ว่าผมกลับรู้สึกว่าเงินเป็นเพียงสิ่งที่ให้คนเล่นเพื่อตอบสนองในสิ่งที่ต้องการ ก็เหมือนกับกฎกติกาในเกม”
หัวใจของซีเหมินจินเหลียนเหมือนถูกทิ่มแทงอย่างแรง ใช่แล้ว นี่ก็กฎกติกาในเกม ผู้คนมากมายต่างอาศัยอยู่ภายในเกมนี้ ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้
“เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้!” ภายในน้ำเสียงของผู้เฒ่าหู มีถ้อยคำกระตุ้นบาดใจผู้ฟัง “ตอนที่คนเราตกอับก็แค่ประหยัดเงิน แล้วผมจะต้องการเงินไปเพื่ออะไร? คุณก็น่าจะรู้ ผมไม่มีลูกชายลูกสาว คนรอบข้างก็ไม่มีใครที่จะพึ่งพาได้ แล้วผมจะมีเงินมากมายไปเพื่ออะไรกัน”
“ก็จริงค่ะ” ในใจของซีเหมินจินเหลียนที่อัดอั้นมาโดยตลอด ตอนนี้ก็ได้ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้ว “ขอขอบคุณคำสอนจากผู้เฒ่าหูนะคะ” พูดจบเธอก็ก้มตัวโค้งคำนับ
“ดีมาก คนแก่อย่างผมก็มองคนไม่ผิดจริงๆ!” ผู้เฒ่าหูพยักหน้า “หินหยกทั้งสองชิ้นนี้คุณรับไปเถอะครับ ถึงตอนที่คุณผ่ามันออกมาเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมบอกผมให้รู้ด้วยล่ะ”
“แน่นอนค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนให้คำสัญญาอย่างหนักแน่น ความจริงแล้วตอนนี้เธอก็สามารถบอกผู้เฒ่าหูได้ว่าภายในหินหยกชิ้นนั้นมีอะไร แต่ว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยาก เธอจึงตัดสินใจรอให้ผ่าหยกออกมาก่อนแล้วค่อยบอกเขา ตอนนั้นก็ยังไม่สาย
ประตูของโกดังเปิดออกมา ซีเหมินจินเหลียนเดินออกมาข้างนอกพร้อมทักทายผู้อาวุโสเจี่ยที่อยู่หน้าประตู พลางพูดว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าจะมารับสินค้าไป ผู้อาวุโสเจี่ยตบปากรับคำ โรงงานแปรรูปหยกนี้ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของผู้เฒ่าหู ในเมื่อเธอและผู้เฒ่าหูตกลงเจรจากันเป็นที่เรียบร้อยก็ไม่มีอะไรต้องพูดจากันอีก
ระหว่างทางที่นั่งแท็กซี่กลับโรงแรม จ่านป๋ายรู้สึกสงสัยจึงถามขึ้นว่า “จินเหลียน ผู้เฒ่าคนนั้นดูแล้วท่าทางแปลกๆ เขาพูดคุยอะไรกับคุณเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว การที่เธอสามารถมองออกถึงลักษณะของหิน ไม่ว่าจะเป็นหินธรรมดาหรือหยก นี่ก็เป็นความลับของเธอ ถึงแม้จะเป็นจ่านป๋าย แต่เธอก็ไม่สามารถบอกเรื่องนี้ให้หลุดลอดออกมาได้แม้แต่คำเดียว
เธอหลับตาลง ในใจค่อยๆ ปรากฏภาพของหินหยกก้อนนั้นขึ้นมาอย่างช้าๆ ภาพนั้นยังคงน่าตกตะลึงเช่นนั้น แล้วนี่…ยังจะเป็นหยกอยู่อีกหรือ?
ผู้เฒ่าหูเล่าเรื่องเพียงแค่คร่าวๆ แต่ว่าเธอก็อดไม่ได้ที่จะฉุกคิดสงสัยว่าอาจารย์ของผู้เฒ่าหูเสียไปด้วยเรื่องอะไร? รูปลักษณ์ของหินก้อนนั้นคงไม่ทำให้อาจารย์เขาตกใจจนสิ้นลมหรอกนะ
ถ้าหากหินก้อนนั้นมีเวทมนตร์จริงๆ ผู้เฒ่าหูอยู่กับมันมาตั้งกี่ปี ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไม่ใช่หรือ?
หลังจากกลับไปที่บ้านแล้ว ฉันจะต้องผ่ามันออกมาให้ได้ ดูให้รู้ว่ามีอะไรกันแน่ ซีเหมินจินเหลียนพึมพำในใจ
“จินเหลียน สีหน้าของคุณดูไม่ดีเลย” จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม
“ฉันสบายดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เธอสัมผัสไม่มีทางที่จะผิดพลาด ไม่มีทาง ถ้าเธอไม่เอาหินหยกก้อนนั้นมาผ่าดู ชาตินี้เธอคงจะต้องนอนตายตาไม่หลับแน่ ถึงสิ่งนั้นจะดูลี้ลับอย่างไรเธอก็ไม่กลัว
“หินหยกสองชิ้นนั้น ผู้เฒ่าหูขายราคาเท่าไหร่หรือครับ”
“ให้ฟรีค่ะ!” ซีเหมินยิ้ม
“อะไรนะ?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ ให้ฟรีอย่างนั้นหรอ? ชายชราผู้นี้สติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือยังไง
“ใช่แล้ว ให้ฟรี…” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับ “ฉันหลอกล่อเขาด้วยกลยุทธ์”
จ่านป๋ายถูกเธอหยอกเล่น เขารู้ว่าเธอมีเรื่องที่ไม่อยากจะพูด แต่ก็ไม่ได้เค้นความอะไร ในใจได้แต่สงสัยว่าชายชราผู้นี้ต้องการทำอะไรกันแน่ ผู้เฒ่าหูไม่น่าจะใช่พวกโง่เง่าที่จะถูกหลอกได้ง่ายเพียงนี้
เช้าวันต่อมา จ่านป๋ายไปที่โรงงานแปรรูปหยกแล้วนำหยกทั้งสองชิ้นนั้น รวมไปถึงหินหยกสีน้ำเงินในงานประมูลกับหินหยกชนิดน้ำแข็งสีเขียวทั้งหมดส่งไปให้ที่บริษัทขนส่งสินค้า แล้วให้ส่งไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ส่วนตัวเองก็มุ่งหน้ากลับไปกับซีเหมินจินเหลียนที่บ้านเกิดของเธอในมณฑลเสฉวน
ซีเหมินจินเหลียนอยู่ที่บ้านเกิดของเธอสามวัน ใช้เงินสิบห้าล้านหยวนบริจาคแก่คนยากคนจนในหมู่บ้าน รวมไปถึงเงินต่อยอดสร้างถนนหนทาง อีกทั้งยังเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้ทุกคนสำหรับซ่อมแซมสร้างบ้านหลังใหม่ วันสุดท้ายตอนบ่าย จ่านป๋ายมาเป็นเพื่อนซีเหมินจินเหลียน เธอยืนอยู่บนเนินเขาที่แห้งแล้งสายตามองไปที่สุสานที่โดดเดี่ยวทั้งสองแล้วน้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมา
สุสานทั้งสองนี้ ที่หนึ่งได้ฝังร่างของอาจารย์ที่คอยอบรมสั่งสอนเธอ ส่วนอีกที่ได้ฝังร่างของคุณย่าของเธอเอาไว้…
ตอนเด็กเธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องฝังร่างของอาจารย์และคุณย่าไว้ข้างๆ กัน แต่ตอนนี้สิ่งที่ทั้งสองคนเหลือไว้ให้เธอมา มันช่างมีแต่ปริศนาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพียงแต่ว่าคนที่จากไป สิ่งของของพวกเขาก็ได้ถูกฝังให้ตายตามไปด้วย
ไม่มีธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทอง การไหว้เคารพหลุมศพช่างง่ายดาย แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับได้ยินเสียงกระซิบจากข้างหู มันเป็นสิ่งที่คุณย่าเคยพูดเอาไว้ ‘ทองคำเป็นสิ่งสูงค่า ผู้หญิงที่ดีคือผู้หญิงที่เข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้!’
คำพูดแบบนี้ดูจะไม่เหมือนคำพูดที่จะออกมาจากปากของหญิงชราจากชนบท แต่อย่างไรซีเหมินจินเหลียนก็ยังไม่รู้เลยว่าคุณครูและคุณย่าของตนมีชื่อว่าอะไรกันแน่…
ซีเหมินจินเหลียนแทบไม่รู้เลยว่า ในวันที่สองที่เธอจากไปจากบ้านเกิดของเธอ ก็มีแขกที่ไม่คาดคิดขึ้นมาบนเนินเขาที่แห้งแล้งนี้เช่นกัน อีกทั้งยังยืนร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าสุสานทั้งสองไม่หยุด
“พวกเราต่อสู้มาทั้งชีวิต แล้วสุดท้าย…เหลืออะไร?”
ซีเหมินจินเหลียนกลับถึงนครเซี่ยงไฮ้ได้สองวันแล้ว เธอกับจ่านป๋ายไปรับของมาจากโกดังขนส่งสินค้า พร้อมทั้งตรวจเช็กจำนวนให้เรียบร้อยว่าไม่มีอะไรตกหล่น หยกสีเลือด ฮกลกซิ่ว สีผสมรวมไปถึงหยกมหัศจรรย์ ภายนอกกลับธรรมดาไม่ได้เตะตาอะไร ถ้าเอาไปกองเอาไว้ในกองหยกอื่นๆ ก็ไม่ได้ทำให้สะดุดตา
จ้างรถขนส่งสินค้ามาหนึ่งคัน เพื่อที่จะนำสินค้าทั้งหมดส่งไปที่ห้องใต้ดินของที่บ้าน ซีเหมินจินเหลียนไม่เพียงแต่ยิ้มร่าออกมา เดิมทีห้องใต้ดินของเธอก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก แต่ตอนนี้จะเต็มไปด้วยหินหยกมากมาย แถมหินหยกพวกนี้ก็ไม่ได้เล็กซะด้วย ห้องใต้ดินต้องแออัดแน่ๆ
ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายขอเวลาพักฟื้นพละกำลังอยู่หนึ่งวัน เพื่อที่จะจัดการทำความสะอาดห้องให้สะอาดหมดจด
วันถัดมาเธอรู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ ห้องใต้ดินมีหินหยกวางกองอยู่มากมายที่รอให้เธอจัดการผ่าออกมา ขอเพียงแค่ตัดหินหยกพวกนี้ออกมาได้จนหมดแล้วทำเป็นเครื่องประดับหรือของตกแต่ง นี่ถึงเรียกว่าหยกอย่างแท้จริง
ถ้าหยกไม่ได้เจียระไนออกมา มันก็ไม่สามารถเป็นเครื่องประดับได้ ถ้าคนไม่หมั่นขยันเรียน เขาก็จะไม่เข้าใจเหตุผล! ประโยคนี้ช่างมีเหตุผลยิ่งนัก
แต่ว่าจะผ่าชิ้นไหนก่อนดี ปัญหานี้เธอยังคงคิดไม่ตก สิ่งที่เธอสงสัยที่สุดก็คือหินหยกที่ซื้อมาจากโรงงานแปรรูปหยก หินหยกที่อาจารย์ของผู้เฒ่าหูส่งทอดให้เขานั่นเอง
แต่ในขณะที่เธอคิดจะลงมือกับมันมาครึ่งวัน เธอก็ยังไม่ได้ลงมือสักที ในความรู้สึกของเธอกลับคิดว่าหยกก้อนนี้มีสัมผัสอันเลวร้ายบางอย่าง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าฟังจากที่ผู้เฒ่าหูเล่ามา? เมื่อคิดทบทวนอยู่นานเธอจึงเลือกที่จะผ่าหยกที่ซื้อมาจากเจียหยางก้อนแรกก่อน
เกือบไปแล้ว เธอเกือบลืมหินหยกก้อนนี้เสียแล้ว ถ้าจำไม่ผิดข้างในของหยกก้อนนี้จะเป็นสีเขียวส่องแสงระยิบระยับ…
เธอเร่งหาหินหยกนั้นออกมา แล้ววิเคราะห์ดู น้ำหนักน่าจะประมาณสักสามสิบสี่สิบกิโลกรัม ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ไม่ได้เล็กจนเกินไป เมื่อใช้พลังพิเศษส่องดูด้านในอีกรอบ ซีเหมินจินเหลียนก็ยังเห็นไม่ชัดเจนนัก แสงสีเขียวระยิบระยับนั่นคืออะไรกันแน่ แสงสีเขียวของหยกมักจะเป็นเงาที่อ่อนโยนไม่ใช่แสงระยิบระยับแบบนี้นี่น่า
ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจที่จะเริ่มตัดจากหินหยกก้อนนี้ แม้จะพูดว่าผ่า แต่เธอก็หยิบเครื่องเจียระไนขึ้นมา ก่อนจะเริ่มบรรจงเจียระไนทีละน้อย…