ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 205 กระทบกันวงกว้าง
จ่านป๋ายยิ้ม “ฟังจากที่คุณพูดแล้ว พวกเราสามารถเรียกเงินชดใช้กับเธอได้ใช่ไหมครับ?”
“ถ้าเราซื้อขายกับเธอผ่านสมาคมหยกในเจียหยางแล้ว เธอก็จำเป็นต้องชดใช้ค่าปรับนี้แน่” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว “แต่ปัญหาก็คือ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้? เงินแปดล้านก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเธอทั้งคู่มีชีวิตกินดีอยู่ดีแล้วนะ เมื่อกี้ฉันก็ลองคิดดูแล้ว นี่ก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง!”
“พวกเธอถูกคนข่มขู่?” จ่านป๋ายพูดขึ้นในทันที
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “ฉันเองก็คิดแบบนั้น และคนคนนี้ก็พุ่งเป้ามาที่ฉันอย่างชัดเจน แม่ของหนิงชุ่ยฉินคงถูกอีกฝ่ายกุมอำนาจไว้อยู่ เลยได้แต่ถูกเขาข่มเหง”
“หินใหญ่ก้อนนั้นจะเผยหยกออกมาจริงๆ เหรอครับ?” จ่านป๋ายถาม
ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มและเจตนาพูดไปว่า “หินหยกก้อนหนึ่งก่อนที่จะถูกเจียระไนออกมา ใครจะมั่นใจได้กันล่ะ? ฉันก็แค่ตัดสินบนพื้นฐานของหินทั่วไปเท่านั้นว่า…มันน่าจะมีโอกาสเป็นหยกสูง เพราะอย่างนั้นวันนี้ต้องรบกวนคุณหน่อยแล้ว”
“ผมรู้ครับว่าต้องทำยังไง” จ่านป๋ายได้ฟังแล้วก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว พยักหน้าหงึกหงัก “ผมจะส่งคุณกลับไปพักที่โรงแรมก่อน ส่วนเรื่องที่เหลือมอบให้ผมจัดการเอง รับรองว่าคืนนี้คุณได้ของที่หายไปกลับมาแน่”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วแสยะยิ้มมุมปาก “หยกที่ฉันมีอยู่ก็มากพอแล้ว ถึงซื้อมาไม่ได้ฉันก็ไม่สนใจอะไร เพราะยังไงพวกเราก็จะไปพม่ากันไม่ใช่เหรอ? สิ่งที่ฉันอยากรู้ก็คือใครกันแน่ที่เพ่งเล็งฉันอยู่”
“คุณวางใจเถอะ” จ่านป๋ายพูด “เรื่องพวกนี้ ผมถนัดเป็นบ้า”
“อืม งั้นก็ดี!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าและรีบเรียกรถกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม ส่วนจ่านป๋ายก็รีบไปจัดการเรื่องให้เสร็จ
เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายไปแล้ว หนิงชุ่ยฉินก็ปล่อยโฮออกมาน้ำตาไหลพราก กระทืบเท้าร้องห่มร้องไห้ “แม่ ฉันจะไม่สนใจแม่อีกต่อไปแล้ว…” พูดพลางเธอก็รีบวิ่งสะบัดก้นหนีไป
“ชุ่ยฉิน กลับมา…แกจะไปไหน?” คุณแม่หนิงร้อนใจ
เจียงเจิ้นได้แต่ถอนหายใจและพูดกับลูกน้องตัวเองว่า “พวกแกแยกย้ายกันไปก่อนเถอะ!” พูดจบก็ขวางคุณแม่หนิงไว้ “ให้หลานมันไปปล่อยอารมณ์ออกมาเถอะ เธอก็อย่าเป็นแบบนี้เลย”
“เถ้าแก่ ไม่ขนย้ายหินแล้วเหรอครับ?” หัวหน้าคนงานในกลุ่มคนหนึ่งถามขึ้นอย่างสงสัย
“อืม เดี๋ยวค่อยว่ากัน ย้ายเมื่อไหร่ฉันค่อยโทรไปเรียกพวกแกมา!” เจียงเจิ้นโบกมือปัดและลูบไปยังรอยแก้มที่ถูกหนิงชุ่ยฉินตบ และรีบเดินเข้าไปในบ้านก่อนอันดับแรก
คุณแม่หนิงเดินตามเข้าไป เจียงเจิ้นกวาดสายตามองไปยังหินก้อนใหญ่ที่ขวางไว้อยู่ในบ้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงถามขึ้น “น้องสาว นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่? ไม่ว่าหินหยกก้อนนี้จะมีสีเขียวหรือเปล่า แต่การที่เธอทำแบบนี้มันดูไร้คุณธรรมไปหน่อย”
“ฉันรู้!” คุณแม่หนิงปิดตาลงน้ำตาไหลอาบบนใบหน้า
“เธอเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉัน คนอื่นพูดถึงฉันยังไงฉันก็ไม่สนใจ แต่…เธอลองคิดแทนชุ่ยฉินดูบ้างสิ ตอนนี้เด็กคนนั้นก็เข้าใจฉันผิดใหญ่แล้ว…”
“ฉันเจอไอ้บ้านั่นอีกแล้ว…” คุณแม่หนิงลังเลอยู่นานจึงพูดขึ้นว่า “เขามาข่มขู่ฉัน ไม่ว่ายังไงก็ไม่ให้ฉันขายหินหยกก้อนนี้กับเด็กสาวคนนั้น ไม่อย่างนั้นเขาจะบอกเรื่องนั้นออกไป…”
“ตอนนั้นน้องเขยกับคนคนนั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เจียงเจิ้นพูดลุกลี้ลุกลน “ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เธอยังกลัวว่าเขาจะทำอะไรได้อีกเหรอ ยิ่งไปกว่านั้นน้องเขยก็จากโลกนี้ไปตั้งหลายปีแล้ว ถึงจะมีเรื่องไหนที่ไม่ถูกต้อง ยังไงคนก็ตายไปแล้วจะเอาอะไรอีก?”
คุณแม่หนิงจับมือเจียงเจิ้นไว้ แต่มือของเธอสั่นเทาและหลุบเสียงต่ำลง “พี่ หลายปีมานี้พวกเราสองแม่ลูกได้รับการดูแลจากพี่ เพียงแต่…เพียงแต่…เรื่องนี้มันมีอะไรผิดปกติ ฉันก็ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี ตอนนั้นผู้ชายวัยรุ่นคนนั้นพี่ก็เคยเห็น เขาก็คือหลี่ซาน”
“อืม” เจียงเจิ้นพยักหน้าพูด “นักเดิมพันหินต่างถิ่น มีวิสัยทัศน์เฉพาะตัว เวลานั้นตลาดเดิมพันหินที่เจียหยางยังไม่ได้เกิดขึ้น!”
“ใช่ เวลานั้นหากไปเดิมพันหินก็ต้องไปที่พม่า!” คุณแม่หนิงถอนหายใจ “บ้านของฉันมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา และก็อยากจะร่ำรวยเหมือนเขาบ้าง…จากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นที่พม่า หลี่ซานไม่ได้กลับมา สามีของฉันหลังจากกลับมาจากพม่าสติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฉันถามเขาตั้งหลายครั้งแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร จนก่อนที่จะตายเขาถึงปริปากพูดขึ้นว่ารู้สึกผิดกับหลี่ซาน เป็นเพราะเขาทำร้ายเขาจนตาย…เพราะฉะนั้นการตายของเขา ความจริงไม่ใช่แค่แพ้เดิมพันอย่างเดียว แต่สาเหตุส่วนใหญ่มาจากคนคนนั้นก็ไม่รู้ว่าพม่ามีการเดิมพันหิน”
“น้องสาว เธอไม่รู้รายละเอียดเลยเหรอ” เจียงเจิ้นขมวดคิ้วพูด
“อืม จนกระทั่งเขาตายก็ไม่เห็นอธิบายให้ชัดเจน!” คุณแม่หนิงพูด “หลังจากที่เขาตาย ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยเริ่มจัดการหินหยกพวกนั้น ฉันยังจำได้เป็นอย่างดีว่าวันนั้นดึกมากแล้ว ตอนที่ฉันกลับมาพบสองคนเข้า…ในนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวสวยสง่า…”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง?” เจียงเจิ้นขมวดคิ้ว “ไม่สนใจว่าน้องเขยเคยทำอะไรมาก่อน แต่เขาก็ตายไปแล้ว หรือว่าพวกเขาอยากจะทำอะไรอีก?”
“เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไร! ข้างกายผู้หญิงมีชายชราคนหนึ่งตามติดข้างกาย ชายชราคนนั้นท่าทางเยือกเย็นพูดกับฉันว่า…ขอบคุณผู้ชายของเธอ! จากนั้นเขาก็ให้เช็คเงินสดกับฉันไว้หนึ่งใบ!” คุณแม่หนิงพูดขึ้น
“โอ้?” เจียงเจิ้นขมวดคิ้ว เรื่องนี้เขาไม่รู้เลยสักนิด
“ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่าสามีไปช่วยใครไว้ แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ถึงฉันจะโง่ก็ยังเข้าใจเลย เช็คเงินสดใบนั้นฉันไม่ได้เอาไปขึ้นเงิน ผ่านไปห้าวันเช็คก็หมดอายุแล้ว พี่น่าจะรู้!”
“อืม” เจียงเจิ้นพยักหน้า “แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่คุณซีเหมินซื้อหินหยกก้อนใหญ่ด้วย?”
“เมื่อวานฉันเห็นคุณซีเหมินแล้วรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร” คุณแม่หนิงขมวดคิ้วพูด “เพราะว่าแต่ละวันพบเจอคนมามาก ใครจะไปใส่ใจเรื่องแค่นี้ จนกระทั่งเที่ยงคืนของเมื่อวาน ฉันได้รับสายโทรศัพท์จากใครก็ไม่รู้ ถึงเพิ่งรู้ว่า…ตอนนั้นหลี่ซานที่ถูกน้องเขยของพี่ทำร้ายยังไม่ตาย…เขาแค่หายตัวไป และน่าจะมีความสัมพันธ์กับคุณซีเหมินท่านนี้ด้วย คนคนนั้นเตือนฉันว่าห้ามขายหินหยกก้อนนั้นให้กับคุณซีเหมิน ไม่อย่างนั้นเธอจะทำร้ายชุ่ยฉิน! พี่ ฉันก็มีลูกแค่คนเดียว!”
“น้องสาว เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ความคิดของน้องคิดว่าฉันไม่เข้าใจเหรอ?” เจียงเจิ้นพูด “พวกเราทำธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจค้าขายหินหยก กลยุทธ์หลอกลวงเพื่อได้เงินมาเป็นเรื่องพบเจอได้บ่อย แต่ส่วนมากจะไม่ถึงขั้นฆ่าแกง…ยินดีที่จะเดิมพันก็ต้องรับความพ่ายแพ้ด้วย ตอนนั้นถึงน้องเขยจะผิด แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่เป็นอะไร คนคนนี้เกินไปแล้ว อีกอย่างน้องเขยตายไปตั้งนานแล้วด้วย”
คุณแม่หนิงไม่ได้พูด สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เจียงเจิ้นจึงพูดแทนว่า “ฉันเป็นคนเลวก็ไม่เป็นไร แต่ฉันไม่สามารถทำผิดกฎในสายอาชีพได้ ไม่อย่างนั้นขอเพียงแค่เจ้าหญิงหยกคนนั้นจัดการฉัน แล้วฉันจะมีที่ยืนอยู่ในเจียหยางได้อย่างไร”
“เจ้าหญิงหยก?” คุณแม่หนิงถามกลับอย่างมึนงง
“ใช่ เธอก็คือเจ้าหญิงหยกและยังเป็นเจ้าของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ ได้ยินมาว่า…เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับราชานักเดิมพันหินเจียหยวนฮวา ฉันยังแอบได้ยินเพื่อนบอกมาว่า…” เจียงเจิ้นพูดถึงเท่านี้ก็สำรวจรอบบ้าน เมื่อเห็นว่าลูกน้องแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ส่วนหนิงชุ่ยฉินเองก็ไม่รู้ว่าไปไหนจึงพูดขึ้นว่า “เธอกับราชาหูในตำนานมีความสัมพันธ์ต่อกัน บางคนบอกว่าเธอน่าจะเป็นลูกศิษย์ของราชาหู ไม่อย่างนั้นเด็กอายุแค่นี้ ด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งปีจะมีความสามารถแบบนี้เหรอ?”
“ราชาหู?” คุณแม่หนิงขมวดคิ้ว “เขาเป็นคนแบบไหนกัน”
“ราชาหยกในตำนาน!” เจียงเจิ้นพูดแค่ไม่กี่คำก็ตั้งใจเปล่งเสียงขึ้น “ที่ดินแถวนี้เป็นของเขาทั้งหมด น้องสาว อย่าบอกว่าเธอไม่รู้นะว่าที่แถวนี้เป็นอุตสาหกรรมภาคเอกชน ไม่อย่างนั้นรัฐบาลคงได้พัฒนาไปนานแล้ว…”
คุณแม่หนิงรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แม้กระทั่งบ้านแถวนี้ก็ยังเป็นทรัพย์สมบัติของบุคคลลึกลับท่านนี้ เพียงแค่คนคนนี้คงไม่ได้อยากจะพัฒนาที่แห่งนี้ เลยไม่ได้ติดตามพื้นที่ใกล้เคียงว่าไปถึงไหนแล้ว
“ใช่สิ!” คุณแม่หนิงรีบพูด “ตอนนั้นฉันเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งกายดูดี ตอนแรกฉันเกือบจะลืมเธอไปแล้ว เพราะผ่านไปตั้งหลายปี แต่…เมื่อวานหลังจากที่ได้เห็นคุณซีเหมิน ฉัน…ฉัน…”
“เกิดอะไรขึ้น?” เจียงเจิ้นรีบถาม
“เจ้าหญิงหยกคนนี้กับผู้หญิงคนนั้นหน้าตาละหม้ายคล้ายกัน เพียงแค่เจ้าหญิงหยกในตอนนี้ดูสาวกว่าเธอมาก…” คุณแม่หนิงพูดและทุรุนทุรายจับมือเจียงเจิ้นไว้ “พี่ ฉันกลัวจริงๆ แล้วนะ!”
“น้องสาว เธอน่ะกลัวไม่เข้าเรื่อง ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงชุ่ยฉิน แต่ถึงเธอไม่ขายหินใหญ่ก้อนนี้ไปให้คุณซีเหมิน หากพวกเขาต้องการจะปกปิดเรื่องราวในตอนนั้น กลัวว่าพวกเขาก็คงข่มขู่เธออยู่แบบนี้ เธอจะถูกพวกเขาข่มอย่างนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ” เจียงเจิ้นพูด
“แต่เรื่องในตอนนั้น ฉันก็ไม่รู้อะไรเลย!” คุณแม่หนิงพูด “ใช่แล้ว สามีของฉันทำร้ายคนคนหนึ่ง แต่เขาก็ได้ชดใช้ด้วยชีวิตแล้ว จะเอาอะไรอีก?”
เจียงเจิ้นเดินไปมาอยู่ในบ้าน น่าจะสักสิบกว่ารอบได้ถึงกัดปากพูดออกมา “น้องสาว เธอไม่ต้องกังวล ฉันจะแบกรับชื่อเสียงอื้อฉาวนี่เอง เดี๋ยวฉันเรียกคนมาเอาหินก้อนใหญ่นี้ไปวางไว้ที่โรงงานแปรรูป จากนั้นให้ผู้เชี่ยวชาญหาที่ที่ไม่สามารถเผยหยกได้ตัดลงไป…แล้วค่อยขายด้วยราคาต่ำให้คุณซีเหมิน ส่วนคนที่ขู่เธอนั้น หากยังรับมือไม่ได้ฉันจะไปแจ้งความ ”
“แจ้งความแล้วจะได้ผลเหรอ?” คุณแม่หนิงมองเจียงเจิ้นด้วยสีหน้าหดหู่ใจ
“ได้สิ สังคมนี้ปกครองด้วยกฎหมายนะ ใครก็มาทำลายไม่ได้” เจียงเจิ้นพูด “เธอไม่ต้องกระวนกระวายใจไป เดี๋ยวฉันจัดการเอง!”
…
ซีเหมินจินเหลียนถอดที่อุดหูออกมา มองจ่านป๋ายที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอและถอนหายใจออกมา “คิดยังไงก็ไม่เข้าใจว่าคนที่พึ่งพาไม่ได้อย่างราชาหูจะมีอิทธิพลกว้างขวางขนาดนี้ เพียงแต่…”
“ผู้หญิงคนนั้นก็คืออวิ๋นอวิ้น!” จ่านป๋ายยิ้ม “ผมเป็นโจร การดักฟังเป็นเรื่องที่ผมถนัด ที่คุณวิเคราะห์ไว้มันก็ไม่ผิด คุณแม่หนิงเป็นคนขี้กลัว ไม่มีทางกลับคำพูดแน่ แต่เธอก็ทำเพื่อลูกสาว…เฮ้อ…”