ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 3
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตกลงโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว “ตกลงค่ะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะรีบมาจัดการเรื่องโอนเงินให้นะคะ ระหว่างนี้ฉันหวังว่าคุณหูจะไม่ให้คนอื่นดูหินหยกก้อนนี้อีกนะคะ”
สีหน้าของผู้เฒ่าหูยังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ เช่นเดิม เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเย็น “คุณซีเหมินวางใจได้ เมื่อครู่ผมก็บอกแล้วว่าของดีมีไว้สำหรับคนตาถึงเท่านั้น ถึงมีคนอยากดูก็ใช่ว่าผมจะยินดีเสมอ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนผงกศีรษะรับอย่างพอใจในคำตอบของผู้เฒ่าหู เธอจะต้องเอาหยกสีเลือดก้อนนี้มาเป็นของตัวเองให้ได้ และเธอโชคดีมากที่มีเงินมากพอที่จะซื้อหินหยกราคาหนึ่งร้อยล้านหยวนก้อนนี้พอดี
ซีเหมินจินเหลียนมีเงินสดติดตัวไม่มากนักจึงสั่งให้จ่านป๋ายวางเงินมัดจำจำนวนหนึ่งแสนหยวนให้ผู้เฒ่าหูก่อน จากนั้นผู้เฒ่าหูใช้ปากกาหมึกซึมสีดำเขียนใบเสร็จรับเงินให้ซีเหมินจินเหลียน
ซีเหมินจินเหลียนรับใบเสร็จรับเงินมาจากผู้เฒ่าหู เมื่อเห็นลายมือของผู้เฒ่าหูแล้วเธอถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเพราะลายมือของผู้เฒ่าหูนั้นสวยงามมาก ซีเหมินจินเหลียนเรียนจบเอกภาษาจีนและลายมือสวยงามใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าหูแล้วเธอกลับเทียบเขาไม่ติดเลยสักนิด ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนใช้คอมพิวเตอร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ยังเหลือคนที่เขียนตัวหนังสือได้อย่างสวยงามไม่มากนัก และสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจมากที่สุดก็คือ…ผู้เฒ่าหูเขียนเป็นตัวอักษรจีนดั้งเดิมแบบโบราณ[1]…
ซีเหมินจินเหลียนเก็บใบเสร็จรับเงินเรียบร้อยแล้วก็เดินออกจากห้องพร้อมนายหน้าเหล่าหลี่และจ่านป๋าย พอเดินออกมานอกอาคารแล้วแหงนมองท้องฟ้า เห็นเพียงจันทร์สลัวเคียงคู่แสงดาววับแวมและเมฆดำทะมึน อากาศโดยรอบแย่มาก กลิ่นเหม็นอับเก่าๆ แทรกซึมอยู่ในอากาศเช่นเดียวกับผู้เฒ่าหูที่ดูโบราณคร่ำครึไม่มีผิด
คนขับรถตู้ผล็อยหลับอยู่บนเบาะที่นั่งคนขับ เหล่าหลี่เข้าไปเขย่าตัวเขาเบาๆ เพื่อปลุกเขาให้ตื่นจากการหลับใหล พอตื่นเต็มตาแล้วจึงหาที่ว่างเพื่อกลับรถแล้วขับรถพาคณะของซีเหมินจินเหลียนกลับโรงแรมทันทีอย่างรู้หน้าที่
เมื่อกลับถึงหน้าโรงแรมแล้วจ่านป๋ายก็หยิบธนบัตรสีแดงออกมานับแล้วยื่นธนบัตรจำนวนห้าพันหยวนให้เหล่าหลี่พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้ามีหินหยกดีๆ ที่ไหนอีกก็ติดต่อพวกเราได้ตลอดเลยนะครับ”
เหล่าหลี่ยิ้มหน้าบานพร้อมรับธนบัตรมาจากจ่านป๋าย เขาให้คำมั่นว่าหากมีหินหยกดีๆ จะรีบติดต่อพวกพวกเป็นคนแรกและไม่ลืมกำชับซีเหมินจินเหลียนอีกด้วยว่าหากคราวหน้าเธอมาที่เจียหยางอีกก็สามารถโทรศัพท์ติดต่อเขาก่อนเพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับด้วยความยินดี หากต้องการดูหินหยกดีๆ ที่เจียหยางก็จำเป็นต้องมีนายหน้าที่รู้ลู่ทางและกว้างขวางในวงการหินหยกเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นต่อให้มีผู้ขายที่มีหินหยกดีๆ ก็ใช่ว่าจะยอมให้ตาสีตาสาที่ไหนดูก็ได้ เพราะสมัยนี้คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่มีทางรู้หรอกว่าแต่ละคนมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นอย่างไร และใครที่มีกำลังซื้อจริงๆ
ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายกลับเข้าห้องพักในโรงแรมแล้ว ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าร่างกายเมื่อยล้าไปทั้งตัวเพราะใช้พลังในการมองทะลุทั้งคืน แต่กระนั้นในใจเธอกลับรู้สึกปลื้มปีติยินดีเป็นพิเศษ
“เหนื่อยล่ะสิ?” จ่านป๋ายเอ่ยยิ้มๆ ด้วยความเอ็นดู เขามองดูซีเหมินจินเหลียนที่นั่งหมดแรงอยู่บนโซฟาแล้วถามว่า “คืนนี้กินอะไรกันดี หรือว่าคุณไม่หิว?”
“ตอนแรกก็ไม่รู้สึกหิวหรอกนะ แต่พอคุณพูดแบบนี้แล้วก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ ด้วย!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเขินๆ “ถ้าอย่างนั้น เราออกไปหาอะไรกินกันดีไหม” เรื่องอาหารการกินสำหรับเธอแล้วจะอย่างไรก็ได้ บางทีเธอกินแค่ขนมกับเครื่องดื่มสักแก้วก็พอประทังไปได้มื้อหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้เธอต้องคิดถึงจ่านป๋ายด้วย คงให้เขามาหิ้วท้องหิวเป็นเพื่อนเธอไม่ได้หรอก
“สั่งอาหารในโรงแรมก็ได้ เดี๋ยวผมโทรสั่งเอง!” จ่านป๋ายเอ่ยยิ้มๆ
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเห็นด้วยเพราะไม่อยากขยับตัวไปไหนแล้วเหมือนกัน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วนี่
“เสี่ยวป๋าย!” ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าจ่านป๋ายโทรสั่งอาหารค่ำเรียบร้อยแล้วจึงถามด้วยความไม่มั่นใจ “คุณมีคนที่ไว้ใจได้หรือเปล่า”
“อะไรนะครับ?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจสิ่งที่ซีเหมินจินเหลียนถามจึงถามกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด “ผมไว้ใจไม่ได้เหรอ”
“นี่คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วหัวเราะขำพลางส่ายศีรษะ “นี่คุณพูดอะไรน่ะ? ฉันหมายความว่า หินหยกห้าก้อนที่ฉันซื้อวันนี้รวมกับอีกหนึ่งก้อนที่ซื้อเมื่อวานนี้ คุณช่วยคิดหาทางส่งหินหยกทั้งหกก้อนกลับเซี่ยงไฮ้พรุ่งนี้ได้ไหม แล้วเพื่อนคุณที่เปิดโกดังให้เช่าคนนั้นเชื่อใจได้หรือเปล่า หินหยกพวกนี้มูลค่าสูงถึงร้อยล้านหยวนเลยนะ” พอเอ่ยถึงประโยคสุดท้ายเธอทำปากยู่บ่นอุบอิบ ก็ของราคาแพงขนาดนั้นจะไว้วางใจฝากฝังให้คนอื่นดูแลง่ายๆ ได้อย่างไรกัน ถ้าทำหายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ?
เสียหายแค่หนึ่งร้อยล้านหยวนน่ะเรื่องเล็ก ที่สำคัญคือเธอเกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติเธอคงไม่มีโอกาสได้เจอหยกสีเลือดอีกแล้ว โดยเฉพาะหยกสีเลือดที่มีเนื้อหยกเนียนละเอียดเป็นประกายแวววาวที่คงได้แค่พบพานแต่มิอาจครอบครอง
แล้วยังมีหยกสีเขียวมันวาวสุกใสเป็นประกายก้อนนั้นอีก ถ้าไม่ผ่าออกมาดูให้รู้ดำรู้แดงเธอเองก็ไม่รู้ว่าข้างในเป็นหยกชนิดไหนกันแน่…
สิ่งที่มองเห็นผ่านเนตรหัตถากับมองผ่านตาเปล่านั้นยังคงมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง มีเพียงวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ทุกอย่างให้กระจ่าง นั่นคือการผ่าหยกออกแล้วมองผ่านแสงธรรมชาติด้วยตาเปล่าเท่านั้นจึงจะยืนยันได้ว่าประกายสีเขียวที่เธอเห็นนั้นคืออะไร
อีกอย่าง หินหยกก็ไม่เหมือนของอื่นๆ เสียด้วยสิ เธอคงยกกลับไปเองไม่ได้แน่ๆ หินหยกก้อนเล็กยังพอว่า แต่หินหยกสีเลือดก้อนใหญ่หนักเป็นตันจะให้เธอขนกลับเองอย่างไรไหว?
“เพื่อนผมที่เปิดโกดังให้เช่าไว้ใจได้แน่นอน ส่วนเรื่องส่งหินหยกกลับ…” จ่านป๋ายคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบอยู่หลายตลบก่อนสรุป “ขนส่งทางอากาศน่าจะดีที่สุด ผมรู้จักบริษัทขนส่งทางอากาศดีๆ อยู่ที่หนึ่งที่จัดการทุกอย่างได้อย่างไร้ปัญหาแน่นอน ยอมเสียเงินแพงหน่อยแต่ปลอดภัยแน่นอนครับ”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยจัดการเรื่องพวกนี้มาก่อนจึงไม่รู้อะไรเลย โชคดีที่มีจ่านป๋ายอยู่ข้างกายคอยจัดการจิปาถะพวกนี้ให้ ไม่อย่างนั้นเธอคงลำบากแย่
ทั้งสองรับประทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อย ซีเหมินจินเหลียนอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกหนังตาหนักจนลืมตาไม่ขึ้นจนฟุบหลับไปบนเตียงทั้งอย่างนั้น เช้าวันถัดมา เสียงโทรศัพท์มือถือดังจนปลุกซีเหมินจินเหลียนตื่น เธอคิดว่าจ่านป๋ายเป็นคนโทรมาแน่ๆ จึงกดรับสายทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ เสียงของหลินเสวียนหลานดังลอดมาตามสาย…
“จินเหลียน…” หลินเสวียนหลานเอ่ย
“พี่เสวียนหลาน? ซีเหมินจินเหลียนตกใจจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “มีธุระอะไรหรือเปล่า แล้วพี่จะมาเจียหยางเมื่อไหร่คะ”
“น่าจะช่วงค่ำๆ หรือไม่ก็พรุ่งนี้เช้า ผมโทรมาถามดูว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม” เสียงหัวเราะอ่อนโยนของหลินเสวียนหลานดังลอดมาตามสาย
“ฉันสบายดีค่ะ แล้วพี่ล่ะคะเป็นอย่างไรบ้าง” ซีเหมินจินเหลียนตอบยิ้มๆ
“ผม…” หลินเสวียนหลานได้แต่แอบถอนหายใจเบาๆ กับคำถามของซีเหมินจินเหลียน กระนั้นเขายังคงตอบยิ้มๆ “ผมสบายดี ถ้าไม่ติดอะไรผมคงถึงที่นั่นช่วงค่ำๆ วันนี้”
“อืม ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ
“ครับ บ๊ายบาย!” หลินเสวียนหลานเอ่ยลา
หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้วซีเหมินจินเหลียนก็นั่งเหม่อมองโทรศัพท์มือถืออยู่สักพัก พอหันไปเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงห้าสิบนาทีซึ่งเธอคงหมกตัวอยู่บนเตียงนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงหาวหวอดแล้วลุกออกจากเตียงเดินไปอาบน้ำแต่งตัวในห้องน้ำ เธอนัดเจอกับจ่านป๋ายที่ห้องอาหารในโรงแรมเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน จากนั้นนั่งรถแท็กซี่ไปที่บ้านผู้เฒ่าหู
การโอนเงินชำระค่าสินค้าดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้ผู้เฒ่าหูออกจะเป็นคนแปลกประหลาดไปนิดแต่เวลาลงมือทำงานก็เป็นการเป็นงานเหมือนกัน พอได้รับเงินค่าสินค้าเรียบร้อยแล้วก็ส่งมอบสินค้าให้ซีเหมินจินเหลียนทันที ซีเหมินจินเหลียนตรวจนับหินหยกอีกรอบ จ่านป๋ายว่าจ้างแรงงานพร้อมรถบรรทุกเพื่อขนย้ายหินหยกทั้งห้าก้อนกลับโรงแรมเพื่อขนหินหยกอีกหนึ่งก้อนที่ฝากไว้ในตู้นิรภัยของโรงแรม เมื่อได้หินหยกครบทั้งหกก้อนแล้วจึงตรงดิ่งไปยังบริษัทขนส่งทางอากาศทันที
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เป็นเวลาเที่ยงตรง แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงแผดแสงเจิดจ้าจนตาพร่ามัว อากาศปลายเดือนสิงหาคมร้อนจนแทบละลาย
ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายรีบกลับโรงแรมทันที มาเจียหยางทั้งทีเธอคงไม่อยากถูกแดดเผาจนตัวไหม้เกรียมเป็นถ่านดำๆ หรอกนะ…หลังรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วซีเหมินจินเหลียนกลับมานอนแผ่หลาอยู่บนเตียง เธอหลับตาลงแล้วเริ่มคำนวณว่าตัวเองยังมีทรัพย์สินอยู่อีกเท่าไหร่ เธอเพิ่งมาถึงเจียหยางเพียงแค่สองวันก็ใช้เงินไปแล้วตั้งหนึ่งร้อยกว่าล้านหยวน ใครจะรู้ว่าเธอจะไม่เจอหยกที่ถูกใจในงานประมูลหยกอีก?
ที่สำคัญ เธอยังต้องใช้เงินซื้อหุ้นของหลินซื่อ จิวเวลรี่อีกนะ
พอคิดถึงตรงนี้แล้วซีเหมินจินเหลียนได้แต่ทอดถอนใจ เธอยังเป็นคนจนจริงๆ สินะ! เทียบกับพวกบริษัทอัญมณีขนาดใหญ่ที่มีประวัตินับร้อยๆ ปีหรือนักเล่นหวยหยกมือฉมังแล้ว ทรัพย์สินที่เธอมีอยู่มันช่างน้อยนิดเหลือเกิน
“ตอนเย็นลองไปดูหินหยกที่ตลาดหยกดีกว่า เผื่อจะมีหยกเนื้อน้ำแข็ง หยกเนื้อถั่วเขียวหรือว่าหยกเนื้อดอกไม้เขียวดีๆ ให้ซื้อ ผ่าออกมาแล้วจะได้ขายเอาเงินสดเข้ากระเป๋า ดีกว่ามานั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ แบบนี้เป็นไหนๆ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจอีกรอบ ในใจกำลังลังเลว่ากลับเซี่ยงไฮ้คราวนี้ควรจะผ่าหยกเนื้อแก้วสีเขียวแล้วเอาไปขายดีไหมนะ?
เวลาประมาณสี่โมงเย็น ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วจึงชวนจ่านป๋ายไปเดินดูหินหยกที่ตลาดหยกด้วยกัน
จ่านป๋ายเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะว่า “คุณนี่แรงดีไม่มีตกจริงๆ เลยนะ มาเจียหยางยังไม่ทันครบสองวันก็ซื้อหินหยกไปตั้งหกก้อนแล้ว นี่คุณไม่คิดจะพักสักหน่อยเหรอครับ?”
“อยู่ว่างๆ ก็เสียเวลาไปเปล่าๆ ถึงหมกตัวอยู่แต่ในห้องในวันที่อากาศร้อนแบบนี้จะไม่ทำให้ตัวขึ้นราแต่ก็ทำให้ตัวเหม็นได้นะคะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบกลับอย่างมีอารมณ์ขัน
จ่านป๋ายยิ้มออกมาน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนอยากไปตลาดหยกเขาก็พร้อมไปเป็นเพื่อนเธอเสมอ เนื่องจากก่อนหน้านี้ประธานเฉินเคยนำทางและแนะนำเคล็ดลับต่างๆ ให้กับซีเหมินจินเหลียนแล้วเธอจึงพอรู้อะไรๆ อยู่บ้าง ซีเหมินจินเหลียนไม่เสียเวลาแวะดูเครื่องประดับหยกสำเร็จรูปแต่มองหาร้านขายหินหยกโดยเฉพาะแทน
แม้จะเกิดเหตุการณ์ที่สองพี่น้องแซ่เริ่นผ่าหยกแพ้จนฆ่าตัวตาย แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจค้าหยกของที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะในแวดวงหยกมีแต่กระจายข่าวดีไม่กระจายข่าวร้าย เวลาสี่โมงเย็นของวันนี้ บรรยากาศในตลาดค้าหยกจึงยังคงคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเช่นเดิม นักท่องเที่ยวที่มาเดินเที่ยวถึงถิ่นหยกแห่งนี้ต่างก็ต้องซื้อเครื่องประดับหยกกลับไปเป็นของฝาก เพราะเครื่องประดับหยกแห่งเมืองเจียหยางขึ้นชื่อว่าราคาถูกกว่าที่อื่นเป็นไหนๆ
เมื่อเดินผ่านร้านของเหล่าเหยา ซีเหมินจินเหลียนก็สังเกตเห็นว่าเหล่าเหยากำลังเรียกลูกค้าด้วยท่าทางซึมเซาหงอยเหงา ดูท่าทางแล้วเหล่าเหยาคงได้ข่าวเรื่องการอัตวินิบาตกรรมของสองพี่น้องแซ่เริ่นแล้วแน่ๆ
แต่เรื่องนี้คงโทษใครไม่ได้ หวยหยกที่มีความเสี่ยงสูงมาพร้อมกำไรมหาศาลที่ดึงดูดใจยิ่งนัก แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยอันตรายเช่นเดียวกัน
“คุณผู้ชาย สนใจดูหินหยกไหมครับ” เหล่าเหยาก็เหมือนเถ้าแก่ทั่วไปที่ร้องเรียกเชิญชวนจ่านป๋ายเผื่อลูกค้าสนใจ
ซีเหมินจินเหลียนหยุดฝีเท้าพลางคิดว่าจะเข้าไปดีไหม เธอลังเลเพียงชั่วครู่แล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน…ลองเข้าไปดูก่อน ส่วนจะซื้อหรือไม่นั้นเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง
เหล่าเหยาเห็นว่ามีลูกค้าเข้าร้านก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้วันนี้ทั้งวันยังไม่มีลูกค้าเข้าร้านสักคน ตัวเองได้แต่มองร้านข้างๆ ที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าด้วยความอึดอัดกลัดกลุ้มใจ ผ่าหยกแพ้แล้วจะโทษใครได้นอกจากต้องโทษที่ตัวเองตาไม่ถึงเอง…
“คุณผู้ชาย หินหยกของร้านเราเป็นหินหยกบ่อเก่าคุณภาพดี แถมราคาย่อมเยาด้วยนะครับ!” เหล่าเหยาเปิดการขายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเต็มที่
“เธอต่างหากล่ะครับที่จะดูหินหยก!” จ่านป๋ายชี้แจงพร้อมชี้ไปทางซีเหมินจินเหลียน
[1] รูปแบบอักษรจีนมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลกในปัจจุบันมีสองรูปแบบ คือ อักษรจีนดั้งเดิมหรืออักษรจีนตัวเต็ม (Traditional Chinese Character) ใช้ในฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน และชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลบางชุมชนที่เริ่มตั้งชุมชนก่อนการใช้อักษรจีนตัวย่ออย่างแพร่หลาย ส่วนอักษรจีนตัวย่อ (Simplified Chinese Character) เริ่มใช้โดยรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) ในปี ค.ศ. 1950 อย่างจริงจัง เพื่อให้แตกต่างจากอักษรจีนแบบดั้งเดิม ใช้กันในสาธารณรัฐประชาชนจีน สิงคโปร์ และชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลบางชุมชนที่เริ่มตั้งชุมชนหลังการใช้อักษรจีนตัวย่ออย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากยังคงใช้อักษรจีนตัวเต็มเป็นหลัก แต่สำหรับการสอนภาษาจีนตามสถานศึกษาในประเทศไทยส่วนมากจะใช้อักษรจีนตัวย่อ เพื่อให้เป็นแบบแผนเดียวกันกับสาธารณรัฐประชาชนจีน