ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 34 คนเล่นหยกจะสอนเป่าขลุ่ยได้อย่างไร
ซีเหมินจินเหลียนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ มองไปทางจ่านป๋ายชั่วครู่ก็หมุนตัวเดินเข้าไปที่ห้องรับแขก
“จินเหลียน คุณไม่ได้ออกไปเที่ยวข้างนอกเหรอครับ” จ่านป๋ายเดินถามมาจากข้างหลัง
“ถ้าฉันไปเที่ยวแล้ว ใครกันที่เปิดประตูให้คุณ? หรือว่าจะให้คุณปีนกำแพงเข้ามา ถ้ามีปัญหา ตอนฉันกลับมา อาจจะเห็นย่านหลานกุ้ย บ้านของจินเหลียนระเบิดไปแล้ว?” ซีเหมินจินเหลียนพูด
จ่านป๋ายทำตัวไม่ถูก “ผมก็กลับมาแล้วนี่ไงครับ คุณก็ออกไปเที่ยวได้แล้ว”
“คุณกลับมาแล้ว ฉันก็ไม่คิดที่จะออกไปไหนหรอก ขลุ่ยหยกเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ นี่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร”
“เอาออกมาให้ฉันดูหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย นำขลุ่ยหยกดัดแปลงให้สามารถเป่าได้จริง มันไม่น่าสนใจกว่าเหรอไง
จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่ได้ครับ ตอนนี้ให้คุณดูไม่ได้! ผมจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์ตอนกลางคืน…”
ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ โอเค ตอนกลางคืนก็กลางคืน ของแบบนี้จะสามารถเซอร์ไพรส์อะไรได้? ช่างเถอะ เขาอยากจะทำให้เป็นความลับก็ให้เขาเล่นไป ช่วงที่ผ่านมาเห็นเขาหมกอยู่แต่ในห้องใต้ดิน เจียระไนหินอย่างหนัก เหนื่อยแย่เหมือนกัน คิดเสียว่าชดเชยให้เขาสักหน่อย
เมื่อคิดเท่านี้ซีเหมินจินเหลียนก็ทำได้แค่หัวเราะ ไม่ได้ยืนกรานอยากจะขอดูอีกต่อไป เวลานั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เมื่อรับสายก็เป็นจินอ้ายหัวโทรมาถามว่าเธอมีเวลาไปเดินช็อปปิ้งหรือเปล่า
ซีเหมินจินเหลียนบอกว่าไม่มีปัญหา ถึงเธอจะยุ่งแต่ก็ยังมีเวลาว่าง ตอนนี้ไม่ต้องทำงาน แน่นอนว่าจะทำอะไรไม่ต้องคอยดูท่าทีของใคร อย่างนั้นเลยตอบตกลงอย่างเสียงใส นัดแนะเวลาและสถานที่เจอกัน แล้วบอกจ่านป๋ายว่าจะขับรถออกไปเอง
จ่านป๋ายเมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนออกไปแล้ว เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ดูแล้วเหมือนกับขโมย ในใจแอบคิดว่า “จินอ้ายหัวโทรมาได้เวลาพอดี ถ้าโทรมาเร็วกว่านี้สองนาที วันนี้เขาคงได้ปีนกำแพงแน่”
ประตูอื่นยังไม่เป็นอะไร แต่ประตูล็อคของซีเหมินจินเหลียน เขาเป็นคนออกแบบเอง ถ้าเกิดทำไม่ดีอาจจะระเบิดได้
…
เดินเล่นเป็นเพื่อนกับจินอ้ายหัวเกือบครึ่งวัน ทั้งสองกินข้าวเย็นด้วยกัน ก่อนที่ซีเหมินจินเหลียนจะขับรถไปส่งเธอกลับ เมื่อเห็นว่าดึกแล้ว สามทุ่มครึ่งจึงขับรถกลับไป
เมื่อจอดรถที่โรงจอดรถเรียบร้อยแล้ว จ่านป๋ายที่ได้ยินเสียงของเครื่องยนต์จึงเดินมาเปิดประตู
ซีเหมินจินเหลียนเดินจ้ำอ้าวเข้าบ้าน ภายในห้องรับแขกดับมืดสนิทไร้แสงไฟ ไม่ทันไรเธอก็ถามออกไปด้วยสัญชาตญาณว่า “ไฟดับเหรอ”
ไม่ใช่สิ เมื่อกี้ตอนที่เธอเข้ามาในหมู่บ้าน สองข้างทางก็มีแสงไฟอยู่เลย อืม! เมื่อกี้ก็เห็นๆ อยู่ว่าโรงรถไฟเปิดสว่างจ้า เมื่อถอยหลังเดินกลับไปดูก็ยังเห็นว่าบ้านตรงข้ามและข้างหลังไฟไม่ดับ…
“เสี่ยวป๋าย เดือนที่แล้วคุณไม่ได้จ่ายค่าไฟเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถาม “ฉันจำได้ว่าจ่ายแล้วนี่นา?”
จ่านป๋ายไม่มีคำจะพูด เขาขอให้จินอ้ายหัวช่วยนัดเธอออกไปข้างนอก ถ่วงเวลาไปครึ่งวัน เพราะอยากจะเซอร์ไพรส์สุดแสนจะโรแมนติก แต่เธอกลับพูดออกมาว่า ทำไมไฟดับ?
“คุณไม่คิดว่าบรรยากาศมันเป็นใจบ้างเหรอครับ”
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนงุนงง คำพูดลักษณะเดียวกัน ใช่แล้วหลินเสวียนหลานก็เคยพาเธอไปที่สถานที่หรูหรา ดื่มกาแฟภายใต้แสงเทียน
“อืม ก็ดีค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “แต่ที่คุณทำแบบนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่”
“ไปเถอะ พวกเราขึ้นไปข้างบนกัน” จ่านป๋ายพูดพร้อมจูงมือเธอขึ้นไปพร้อมปิดประตูหน้าบ้านขึ้นไปด้านบน
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสับสน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจับมือเธอ แต่ว่าการจับมือครั้งนี้กลับเป็นมือขวาของเธอ…สมองของเธอครุ่นคิดบอกตัวเองไปมา อย่าทำอะไรบ้าบอ! อย่านะ…
เหมือนว่าจะสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่ามีความรู้สึกแปลกๆ
ที่ชั้นสาม ห้องกระจกทั้งห้อง วันนี้เพราะว่าซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ใส่ใจมาก ดอกไม้ใบหญ้าที่แห้งไปหมดได้โดนเขากำจัดทิ้งไปหมดแล้ว ครั้งหน้าเธอจะไม่ปลูกดอกไม้ใบหญ้าอีกแล้ว ดอกไม้พวกนี้มีชีวิตจิตใจ เธอดูแลไม่ดี เพราะฉะนั้นสู้ไม่เลี้ยงตั้งแต่แรกเสียดีกว่า
แต่ห้องกระจกในวันนี้ กลับมีดอกไม้หลากหลายชนิดอยู่เต็มไปหมด ตรงกลางของห้องมีเก้าอี้เล็กๆ สองตัวและโต๊ะกระจกกลม ด้านบนจุดเชิงเทียนเอาไว้ จานหยกใส่ผลไม้ใบบัวถูกจัดวางไปด้วยผลไม้สดหลากหลายชนิด ขลุ่ยสีเขียววางไว้อยู่ข้างๆ…บานกระจกที่ใสวาวทำให้แสงจันทร์สาดแสงตกลงมาสะท้อนกลับแสงไฟ ช่างไม่เหมือนความจริง
“ดีมากเลยค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า สวยมาก
จ่านป๋ายวิตกกังวลแต่ก็ถามออกไปว่า “ชอบไหมครับ”
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหัวหงึกหงัก ผู้หญิงทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้กับบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติกแบบนี้ เพียงแค่ความโรแมนติกมักจะมากับปัจจัยเรื่องเงินทุน คิดเช่นนั้นเธอก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาเล่นแบบนี้ เธอไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่
“นั่งลงสิครับ” จ่านป๋ายประคองมือของเธอและให้เธอนั่งบนเก้าอี้หวาย ส่วนตัวเองก็หาที่นั่งข้างๆ เธอ จากนั้นก็หยิบขลุ่ยหยกบนโต๊ะมาแนบไว้ที่บริเวณริมฝีปาก
“คุณเป่าขลุ่ยเป็นด้วยหรือคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
จ่านป๋ายไม่ได้พูดอะไรออกมา นิ้วมือเรียวยาวของเขาทาบลงไปที่ช่องรูโน้ต เสียงของขลุ่ยบรรเลงขับกล่อมภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
ซีเหมินจินเหลียนยกมือขึ้นมาจับหน้า อาศัยแสงจากพระจันทร์แอบมองเขาอย่างเงียบๆ ความจริงแล้วจ่านป๋ายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งเลย ไม่ว่าอะไรเขาก็ทำได้หมด น่าเสียดายที่เขาเป็นคนพิการ
เธอรู้สึกเศร้าใจ ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ หรือว่านี่เป็นสิ่งที่คนพูดกันว่า ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบไปเสีบทุกอย่าง? แต่ว่าถ้าหากเขาไม่พิการล่ะ? ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่ซีเหมินจินเหลียนคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวดั่งคนมาจุดไฟแผดเผาอย่างไม่มีสาเหตุ
ให้ตายสิ เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ ทั้งหมดนี่ก็ต้องโทษแสงเทียน ไหนจะแสงจันทร์อีก! เมื่อมองขึ้นไปดูผ่านกระจกห้องสีใส ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางนภา…
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นครเซี่ยงไฮ้ก็สามารถมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ ความรู้สึกนี้มักจะทำให้เธอคิดถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก ปีนอยู่ตามเนินเขาเพื่อไปดูดวงดาว หมู่บ้านสงบสุข เพียงแค่มีลมพัดบางๆ คอยชะล้างจิตใจของคนเรา ทันใดนั้นเธอมีความรู้สึกประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรจ่านป๋ายก็เป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและระลึกถึงความทรงจำวัยเด็กที่สวยงาม…
เสียงของหยกช่างใสก้องกังวาน เหมือนกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่ทยอยกันเบ่งบาน
ภายใต้แสงจันทร์ ผลไม้สด ขลุ่ยหยก หนุ่มรูปงามและหญิงสาวแสนสวย บรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก และความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ แต่ว่าเวลานี้กลับมีลมพายุโหมเข้ามา โทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนส่งเสียงดังออกมาอย่างไม่เป็นใจ