ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 37 ปอกผิวหิน
จางจิ้นมองไปยังซีเหมินจินเหลียนแล้วหยุดพูดเล็กน้อย ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจจึงถามขึ้นว่า “ถ้าหากคุณจางมีข้อสงสัยอะไร สามารถพูดมาตรงๆ ได้เลยนะคะ”
จางจิ้นหันไปมองทางหลินเสวียนหลานถึงเอ่ยออกมาว่า “คุณซีเหมิน ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมขออนุญาตถามสักหน่อยได้ไหมครับ คุณซีเหมินไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเครื่องประดับใช่ไหม แล้วเครื่องประดับหยกของคุณ มีรับประกันหรือเปล่า”
ซีเหมินจินเหลียนนิ่งเงียบไป สำหรับคำถามของจางจิ้น เธอพอที่จะเข้าใจได้ เพราะว่าสิ่งของราคาระดับหลายสิบล้าน ไม่แน่ก็อาจจะถึงพันล้านนั้น เธอก็ไม่มีบริษัทอย่างเป็นทางการที่คอยรับประกันในสินค้า สิ่งที่เขาถามมาก็มีเหตุผล
“คุณจางต้องการการรับประกันแบบไหนครับ” จ่านป๋ายถามขึ้น
“ผมได้ยินมาว่า ที่เซี่ยงไฮ้นี้มีสมาคมอัญมณีโดยเฉพาะ สามารถประเมินค่าราคาและให้ความคิดเห็นได้?” จางจิ้นยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “คุณซีเหมิน ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ของราคาหลายสิบหลายพันล้านแบบนี้ ถ้าผมไม่ระวังเป็นพิเศษก็คงไม่ได้หรอกนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ฉันขอตัวไปดูของก่อน ถ้ามีสิ่งที่คุณจางต้องการทั้งสองชิ้นแล้ว ฉันจะแจ้งไปให้ทางคุณทราบ แต่ว่าขอให้คุณช่วยแจ้งขนาดของกำไลและรายละเอียดมาให้ฉันได้ไหมคะ ถ้ามีสินค้าฉันจะได้ทำมันไว้ได้ก่อน”
“ไม่มีปัญหาครับ” จางจิ้นยิ้ม “กำไลทรงกลมก็ได้แล้วครับ รอบวงประมาณห้าสิบแปดมิลลิเมตร”
“โอเคค่ะ ถ้ามีสินค้าแล้วฉันจะแจ้งคุณให้ทราบอีกครั้งนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
เมื่อส่งจางจิ้นออกไปแล้ว หลินเสวียนหลานก็เหมือนมีเรื่องให้กลับไปจัดการ เขานัดซีเหมินจินเหลียนให้เจอกันพรุ่งนี้แล้วรีบออกไป ส่วนซีเหมินจินเหลียนเอนหลังพิงไปบนโซฟา นวดขมับ ในใจยิ่งกดดันอยากจะมีบริษัทอัญมณีเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นลูกค้าต้องไม่มั่นใจในการซื้อสินค้าของเธอแน่
คนคนนี้คือคนที่หลินเสวียนหลานแนะนำมา ส่วนหลินเสวียนหลานก็คือลูกชายของตระกูลหลิน แต่คนอื่นก็ยังสงสัย ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอก็คงคิดพิจารณาซื้อเครื่องประดับหยกจากบริษัทเครื่องประดับอัญมณีที่ได้มาตรฐาน มากกว่าการเลือกซื้อของสะสมส่วนตัวเช่นของเธอ…
คนชอบหยกมีอยู่มาก แต่คนที่เข้าใจในหยกมีน้อยเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าแค่สัมผัสหยกก็รับรู้ได้ว่าจริงแท้หรือของปลอมแปลง ถ้ากลัวว่าจะใช้เงินลงทุนไปเพื่อซื้อของปลอม คนส่วนมากก็ย่อมเลือกบริษัทอัญมณีที่ถูกต้องตามมาตรฐานอยู่แล้ว
การซื้อหุ้นของตระกูลหลินไม่ใช่เรื่องที่ต้องปล่อยไว้เล่นๆ แล้ว
“จินเหลียน พวกเรามีหยกสีผสมกับฮกลกซิ่วที่ไหนกันครับ” จ่านป๋ายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“หยกที่ซื้อมาจากการประมูลที่เจียหยางทั้งสองชิ้นใหญ่ ฉันดูจากลักษณะภายนอกแล้ว ในนั้นมีอยู่สองชิ้นที่น่าจะมีสีผสมสองสีหรือไม่ก็สามสี พรุ่งนี้พวกเราค่อยผ่าหินออกมาดู ถ้าหากไม่มีแล้วค่อยบอกเขา อย่างไรเงื่อนไขของเขาก็สูงไปหน่อย ถ้าพวกเราไม่มีสินค้า เขาก็คงไม่ว่าอะไร” ซีเหมินจินเหลียนพูด
เธอรู้ว่าข้างในของหินหยกทั้งสองมีลักษณะอย่างไร แต่ถึงจะเป็นจ่านป๋าย เรื่องแบบนี้เธอก็ยังไม่กล้าที่จะปริปากเอ่ยออกมา ถ้าหากทำให้ความโลภของคนบังเกิดขึ้น เธอก็จะยิ่งอันตราย
คนส่วนมากที่เดิมพันหยก เมื่อมองดูผิวของหินหยกแล้วก็จะสามารถมองได้จากการทาย เธอทายว่าข้างในน่าจะเป็นฮกลกซิ่วหรือไม่ก็สีผสม นี่นับว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกตื่นตาแต่อย่างไร ถ้าทายถูกก็คือชนะเดิมพัน แต่ถ้าทายผิดก็คือแพ้ นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
“เสี่ยวป๋าย คุณจะไปไหน” ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายมุ่งหน้าเดินลงไปห้องใต้ดินจึงถาม
“ผมยังไม่เคยเห็นหยกแก้วฮกลกซิ่ว ผมจะไปด้านล่างเพื่อเจียระไนดูสักหน่อย” จ่านป๋ายพูด
“คุณรีบทำไมกัน” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นแล้วรีบเดินตามลงไป
เมื่อประตูใต้ดินถูกเปิดออกมา จ่านป๋ายก็กดสวิตซ์ไฟและเดินเข้าไปข้างใน อยู่ๆ ก็ถามซีเหมินจินเหลียนขึ้นว่า “จินเหลียน คุณอยากผ่าหินหยกก้อนนั้นก่อนหรือเปล่า” สายตาของเขามองไปยังหินหยกก้อนนั้น ขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็กมาก…
ถ้าหากจำไม่ผิด นี่เป็นหินหยกที่ซีเหมินจินเหลียนซื้อมาจากโรงงานแปรรูปหยก แถมยังเป็นหินหยกลูกรักของเธอ เธอแทบที่จะกอดนอนเกือบทุกคืน เครื่องเจียระไนก็ยังวางอยู่บนหินหยกชิ้นนั้น เห็นได้ชัดว่าเธออยากที่จะผ่าออกมา…
“ไม่ค่ะ ลองเปิดทั้งสองชิ้นนั้นดูก่อนดีกว่า” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า แล้วมองไปที่หินหยกที่ดูมีพลังชั่วร้าย ช่างมันก่อนแล้วกัน
วันนั้นเกือบจะใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีปลุกใจตัวเองให้ผ่าหินก้อนนั้นออกมา แต่สุดท้ายกลับโดนจ่านป๋ายทำลายแตกสิ้น
ในเมื่อแผนแตกไปแล้ว เธอก็ไม่มีความกล้าที่จะปลุกใจให้ผ่าหินขึ้นมาใหม่…โดยเฉพาะเมื่อคิดไปถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสหูเคยพูด เธอก็ยิ่งไม่รู้จะเอาความกล้ามาจากไหน
ถึงสมองคอยคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ แต่ว่าข้างในของหินนั้นกลับทำให้เธอหวาดกลัว ช่างมันเถอะ รออนาคตไม่มีอะไรทำค่อยมาเปิดก็ได้
“สองชิ้นไหนครับ” จ่านป๋ายถาม
“ชิ้นนี้…แล้วก็ชิ้นนี้” ซีเหมินจินเหลียนชี้นิ้วไปที่ฮกลกซิ่วกับสีผสม
จ่านป๋ายพยักหน้าพร้อมหยิบเครื่องเจียระไนมาถือไว้ในมือ หินหยกทั้งสองชิ้นนี้ไม่ได้มีขนาดเล็กเลย ชิ้นหนึ่งน่าจะประมาณห้าหกร้อยกิโลกรัมได้ ส่วนอีกชิ้นใหญ่มาก คงจะประมาณหนึ่งตันกว่าได้ หากจะขัดถูเจียระไนผิวหินออกมาทั้งหมด คงจะใช้กระบวนการทำไม่น้อยเลย
“ไม่ต้องใช้เครื่องเจียระไนหรอก พวกเราอย่าทำตัวเป็นพวกใจเสาะเลย” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“หา?” จ่านป๋ายมองเธออย่างไม่เข้าใจ หินหยกทั้งสองชิ้นราคามหาศาล ต้องค่อยๆ ระวังในการเจียระไนออกมา ถึงจะไม่มีผลเสีย
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใช้เครื่องผ่าหยกแล้วกัน พวกเราตัดไปตรงๆ”
“แล้วถ้าตัดผิดไปจะทำยังไง?” จ่านป๋ายถาม เขาไม่เข้าใจในการผ่าหยก แต่เขารู้มูลค่าของหยก โดยปกติ ซีเหมินจินเหลียนให้เขาทำยังไง เขาก็ทำตามที่เธอบอก
“หินหยกทั้งสองชิ้นนี้ใหญ่พอ ถ้าตัดผิดไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “พวกเราลองเปิดออกมาดู ถ้าข้างในมีหยกจริง พวกเราก็ค่อยทำเหมือนปอกผิวฟักแล้วกัน ค่อยๆ เอาเปลือกทั้งหมดออก แบบนี้ก็สะอาดไร้ที่ติแล้ว?”
“คุณพูดถูก” จ่านป๋ายพยักหน้า เขาเกือบจะพลาดพลั้งไปแล้ว ชอบคิดแต่ว่าหยกมูลค่าแพงมหาศาล แต่ไม่ได้คำนึงถึงขนาดเล็กใหญ่ หินหยกทั้งสองชิ้นนี้ถึงจะตัดลงไป ตัดสีเขียวออกมาก็ไม่มีอะไรน่าแปลก ขอแค่เปิดออกมาก็พอแล้ว
แต่ว่ามองหินสองชิ้นนี้ จ่านป๋ายก็นิ่งอึ้งไปอีกครั้ง หินหยกทั้งสองชิ้นนี้ใหญ่พอควร ถึงจะใช้เครื่องผ่าหยกจัดตำแหน่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาคนเดียวจะทำได้
แปลกแหะ แต่ก่อนที่เขามา ห้องใต้ดินของซีเหมินจินเหลียนก็เต็มไปด้วยหินหยกชิ้นใหญ่ๆ เธอคนเดียวตัดหินหยกได้ยังไง? หินหยกที่ดูเหมือนจะหนักถึงสองตัน ถึงจะพูดว่าเธอเป็นผู้หญิงแกร่งก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้แม้ว่าจะเป็นผู้ชายก็ไม่มีทางที่จะย้ายหินให้ขยับได้ เรื่องแบบนี้เธอก็คงไม่สามารถขอคนอื่นให้มาช่วยเหมือนกัน
“คุณมัวแต่เหม่ออะไรอยู่?” ซีเหมินจินเหลียนหยิบเครื่องปอกหินอัตโนมัติออกมาจากมุมห้อง “รีบมาช่วยหน่อยสิ”
“ใหญ่ขนาดนี้จะย้ายยังไงกันครับ” จ่านป๋ายถาม
“พวกเราใช้เครื่องนี้ในการผ่า ทำให้เปลือกผิวปอกออกมาก็เป็นอันสำเร็จ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “นี่เป็นสิ่งที่ฉันคิดขึ้นมา ไม่อย่างนั้น หินหยกที่หนักอึ้งแบบนี้ ฉันจะตัดออกมาได้ยังไง?”