ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 51 ฤกษ์งามยามดี
ในเมื่อซื้อแล้ว ถ้าไม่เจียระไนเปิดหินออกมาดูก็คงจะรู้สึกผิดกับความเคลือบแคลงใจของตัวเอง จ่านป๋ายก็ไม่เชื่อว่าแค่หินหยกก้อนหนึ่งจะสามารถทำให้คนคนหนึ่งตายได้
ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงเก้าอี้ มองไปยังหินก้อนนั้นแล้วพูดขึ้นว่า “จะพูดยังไงดีล่ะ หินก้อนนั้นก็ดูแปลกจริงๆ ฉันไม่กล้าที่จะผ่าออกมา แต่อีกใจก็อยากจะเปิดออกมาดู ทั้งยังหวังว่าตัวเองจะเป็นคนเจียระไนเองเพื่อที่จะบอกเขาว่าข้างในมีลักษณะเป็นเช่นไร”
“หินก้อนนี้ดูแล้วลักษณะเป็นอย่างไรบ้างเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“อืม…” ซีเหมินจินเหลียนเงียบไปชั่วขณะ แต่ก็พูดต่อว่า “ฉันเดาไว้น่าจะเป็นชนิดแก้วโบราณ ผู้อาวุโสหูบอกว่าถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ตอนนั้นก็ยังไม่ถูกค้นพบเลย”
หยกชนิดแก้วโบราณ ขอแค่ข้างในมีสีเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าไม่แพ้เดิมพันแล้ว จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม “สามารถเดาสีได้ไหมครับ“
“ผิวของเปลือกหยกหนาเกินไป ดูไม่ออกเลย แต่ว่าถึงจะไร้สี ตอนนี้หยกแก้วไร้สีก็กำลังเป็นที่นิยมมาก” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ถ้าอย่างนั้นคุณยังต้องกังวลอะไรอยู่อีกล่ะ” จ่านป๋ายพูด “พวกเรากำลังเบื่อไม่มีอะไรทำ ถ้าอย่างนั้นก็มาตัดหินเปิดดูกันหน่อยเป็นไง”
“ไม่เอา” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า คิดไปมาแล้วพูดขึ้น “ค่อยหาวันที่ฤกษ์งามยามดี จากนั้นจุดธูปไหว้บูชาก่อน แล้วค่อยทำการเจียระไนเปิดหินออกมา”
“จินเหลียน คุณแน่ใจนะ?” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“แน่ใจ!” ซีเหมินจินเหลียนยังคงยืนยันตามนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเชื่อมั่นในตัวเอง
“ก็ได้ครับ” จ่านป๋ายฝืนยิ้มขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปหาฤกษ์มาก่อน ถ้าคุณไม่พูดขึ้นก็คงไม่เป็นไร พอคุณพูดขึ้นมาแล้วผมก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน”
ซีเหมินจินเหลียนเริ่มงานเจียระไนหยกสีม่วงดอกไลแอคของเธอ ส่วนจ่านป๋ายวิ่งไปหาฤกษ์ ไม่นาน เขาก็วิ่งกลับมา “จินเหลียน…”
“ทำไมต้องเสียงดังด้วย หูของฉันยังดีอยู่นะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “หาฤกษ์ได้แล้วเหรอ”
“วันนี้ คุณดูนี่สิ วันนี้ก็เหมาะแก่การเริ่มต้นทำเรื่องใหม่ๆ” จ่านป๋ายพูดพลางยื่นปฏิทินไปที่ด้านหน้าให้เธอเห็น
“อะไรจะบังเอิญขนาดนี้?” ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มแหยๆ ออกมา
“จินเหลียน คุณก็อย่าแสร้งทำเป็นขี้เกียจเลย คืนนี้พวกเราก็เริ่มกันเถอะครับ!” จ่านป๋ายยิ้มอย่างดีใจ “ผมก็รอไม่ไหวแล้ว คุณก็ห้ามหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยง ดูเรื่องฮวงจุ้ยอะไรอีกล่ะ”
“ฉันก็ไม่เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยอะไรพวกนี้หรอก” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ “คืนนี้ก็คืนนี้ เดี๋ยวเราไปกินข้าวข้างนอกกันก่อน แล้วรีบกลับมา จะได้ไปซื้อธูปเทียนที่ถนนโบราณด้วย”
“คุณจะจุดธูปเทียนจริงๆ เหรอครับ”
“จริงสิ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันจะทำตามที่ผู้อาวุโสบอก”
“ทำไมคุณถึงไม่ทำตามเขาในเรื่องอื่น” จ่านป๋ายถอนหายใจ “ก็ได้ครับๆ ตามใจคุณแล้วกัน ตอนนี้ยังเร็วไป ถ้าอย่างนั้นผมจะไปซื้อธูปเทียนมาก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยออกไปกินข้าวกัน กลับมาค่อยจุดธูปบูชาขอเปิดหิน ตกลงไหม? ถ้าดึกเกินไปอาจจะซื้อธูปเทียนไม่ได้แล้ว”
“รีบไปรีบมานะ” ซีเหมินจินเหลียนมอบหมายคำสั่ง
จ่านป๋ายตอบรับแล้วรีบออกไปข้างนอก ส่วนซีเหมินจินเหลียนก็ได้วุ่นกับการเจียระไนหยกสีม่วงดอกไลแอคของเธอ เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เธอได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น
“ลืมกุญแจอีกแล้วเหรอ? ผู้ชายคนนี้ก็เลอะเลือนเหมือนกันนะเนี่ย” ซีเหมินจินเหลียนรีบลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตูข้างนอก
เมื่อประตูเปิดออก ซีเหมินจินเหลียนกลับตกใจ เขาก็ไม่ใช่จ่านป๋ายอย่างที่เธอคิด แต่เป็นจินอ้ายหัวกับหลิงซูฟาง ทำไมพวกเธอถึงมาที่นี่ได้? แต่ว่าไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังยินดีต้อนรับเชื้อเชิญให้พวกเธอเข้ามาในบ้าน พร้อมเสิร์ฟชาผลไม้ให้กับทั้งคู่
“จินเหลียน นี่บ้านของเธอเหรอ” หลิงซูฟางเห็นของตกแต่งในคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยของโบราณแล้วก็แทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
ส่วนนี่ก็เป็นครั้งแรกที่จินอ้ายหัวเข้ามาข้างในคฤหาสน์ การตกแต่งภายในห้องรับแขกทำให้เธอหยุดมองไม่ได้
“พวกเธอตามสบายเลยนะ” ซีเหมินจินเหลียนเรียกให้พวกเธอนั่งลงและถามว่า “ว่าแต่มีธุระอะไรกันเหรอ”
“จินเหลียน เธอซื้อบ้านแล้วก็ไม่เลี้ยงข้าวฉันสักมื้อเลยนะ” จินอ้ายหัวถอนหายใจ “บ้านนี้คงแพงน่าดู?” เมื่อรู้ว่าซีเหมินจินเหลียนอาศัยอยู่ที่ย่านหลานกุ้ย อีกทั้งยังซื้อคฤหาสน์อยู่ในนั้น เมื่อมาเห็นเข้ากับตาตัวเองก็เหมือนเป็นอีกเรื่อง
การซื้อบ้านในเมืองเซียงไฮ้ แค่เงินเดือนระดับมาตรฐานถึงจะซื้อบ้านหลังเดี่ยวก็คงจะแบกรับหนี้จากการกู้เงินยาวนานถึงสิบยี่สิบปีแล้ว เรียกได้ว่าแบกรับภาระไว้ตลอดชีวิต ถ้าหากตกงานเข้า นั่นก็หมายความว่าหาเงินมาใช้คืนไม่ได้ ผลที่ตามมาแทบไม่อยากจะคิดว่าจะย่ำแย่ขนาดไหน
คฤหาสน์แบบนี้ นอกจากคนที่มีเงินเหลือใช้แล้ว คนธรรมดามีหวังก็ซื้อไม่ได้
“ได้สิ เอาไว้เราหาเวลานัดกัน ฉันจะเลี้ยงเอง!” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางหันไปมองหลิงซูฟาง ความจริงเธอกับหลิงซูฟางไม่ได้สนิทสนมกันเท่าไหร่ เมื่อคืนที่งานเลี้ยงรุ่นก็คุยกันแค่ไม่กี่ประโยค แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้เธอจะมาหาเธอถึงที่บ้าน ซีเหมินจินเหลียนไม่เชื่อว่าเธอแค่มาหาตนอย่างเดียว และยิ่งไม่เชื่อว่าพวกเธอแค่ผ่านมาแถวนี้
“จินเหลียน ฉันไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี หลิงหลิง เธอพูดเองเถอะ!” จินอ้ายหัวทำตัวลึกลับน่าสงสัย หันไปยิ้มมองหลิงซูฟาง จากนั้นก็เข้าสู่เรื่องที่ตั้งใจจะมา
หลิงซูฟางมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน จากนั้นก็อ้ำอึ้งอยู่นาน ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสับสน คิดดูอย่างละเอียดก็เลยถามออกไป “เธอมาหาฉันเพราะเรื่องของฉินเฮ่าใช่ไหม?”
หลิงซูฟางได้ยินเช่นนั้น หน้าก็แดซ่านขึ้นมา ไม่นานก็พยักหน้าตอบรับพลางรีบอธิบายว่า “ฉันถามอ้ายหัวดูแล้ว เธอบอกว่าประธานฉินไม่ใช่แฟนของเธอ แฟนของเธอคืออีกคน…”
ในขณะที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังอ้าปากพูดอะไรออกมา ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นจ่านป๋ายที่ถือถุงเล็กถุงใหญ่เดินเข้ามา เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนแล้ว เขาก็ถอนหายใจบ่นออกมาว่า “จินเหลียน ธูปแบบโบราณหาซื้อยากมากเลย… คุณมีแขกเหรอครับ?” เขาพูดพลางเหลือบไปเห็นจินอ้ายหัวกับหลิงซูฟางเข้าพอดี
“พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของฉันน่ะ นี่จินอ้ายหัวคุณคงรู้จักแล้ว ส่วนนี่คือหลิงซูฟาง” ซีเหมินจินเหลียนรีบแนะนำเขาให้รู้จัก ทันใดนั้นเธอก็เห็นถุงเล็กถุงใหญ่สีใสที่จ่านป๋ายถือมาล้วนเป็นผักกับเนื้อ และน่าจะมีไข่ไก่…
“จ่านป๋าย คุณซื้อกับข้าวมาทำไมตั้งเยอะแยะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย สมัยก่อนจ่านป๋ายอยากจะลองทำอาหารพัฒนาฝีมือ แต่ว่าหลายต่อหลายครั้ง ถึงผลยังไม่ออกมา เขาก็มักจะทิ้งอาหารไว้ก่อนทุกครั้ง ต้องขอขอบคุณร้านอาหารที่อยู่แถวบ้านที่คอยเป็นที่พึ่งของพวกเขา
“เพราะว่าผมมายังไงล่ะครับ!” หลินเสวียนหลานไม่สนใจจ่านป๋าย เขาเดินตรงเข้ามาหาเธอ สายตาของเขาหันไปเห็นจินอ้ายหัวกับหลิงซูฟาง แล้วรับของที่อยู่ในมือจ่านป๋ายพร้อมเดินเข้าไปในครัว ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้พูดสักประโยค เขาไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะมาเป็นเชฟบ้านเธอเนี่ยนะ?
“เอ่อ คุณสุภาพสตรีทั้งสอง ยินดีต้อนรับครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ” จ่านป๋ายทักทายหลิงซูฟางกับจินอ้ายหัว
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าสมองของตัวเองปวดตุบ เหมือนว่าไข้จะหายไปแล้วนี่? แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน คืนนี้เธอคิดจะเจียระไนเปิดหินพลังชั่วร้ายนั่นออกมา แล้วทำไมถึงได้พากันมาถูกเวลาอย่างนี้นะ?
“ฉัน…” หลิงซูฟางมองไปที่จ่านป๋าย ได้ยินว่าคนนี้คือแฟนของซีเหมินจินเหลียน ลักษณะท่าทางหน้าตาดูไม่เลวเลย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ใช้ได้ หน้าตามีเสน่ห์ดี แต่ผู้ชายที่รีบลนลานเข้าห้องครัวไปคนนั้น น่าหลงใหลกว่ามาก เขาก็หล่อราวกับดาราชายที่เห็นตามโทรทัศน์ ให้คนแบบนี้เข้าครัว มันเหมือนกับเป็นการลงโทษเขาก็ไม่ผิด