ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 76 แหล่งสินค้าของเถ้าแก่โจว (2)
เถ้าแก่โจวเดินพาเขาทั้งคู่เข้าไปอย่างนอบน้อม จากนั้นก็มีลูกน้องเดินเข้ามาเสิร์ฟชา เถ้าแก่โจวมองจ่านป๋ายด้วยความแปลกใจ ในใจรู้สึกสงสัย เดิมทีคิดว่าเธอและหลินเสวียนหลานเป็นคู่รักกัน แต่ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนแฟนแล้วล่ะ? เมื่อคิดถึงหลินเสวียนหลาน เถ้าแก่โจวก็เหมือนคิดขึ้นได้ว่าเขาลืมโทรไปหาเขาเพื่อบอกให้มาดูสินค้า
แต่เมืองอย่างเซี่ยงไฮ้นี้ หากจะบอกว่าใหญ่ก็ใหญ่ บอกว่าเล็กก็เล็ก หลินเสวียเหวินตายลงอย่างกะทันหัน ทำให้บริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ราวกับแกว่งไปมาในลมและฝน มีข่าวลือมาอีกว่าหลินเสวียเหวินตายจากอุบัติเหตุ และหลินเสวียนหลานก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายในครั้งนี้ เรื่องนี้เถ้าแก่โจวย่อมได้ยินมาบ้าง ในสถานการณ์แบบนี้ถึงแม้เขาจะโทรไปหาหลินเสวียนหลาน แต่เกรงว่าเขาคงจะไม่มีกระจิตกระใจมาดูหินหยกกระมัง
“เชิญทั้งสองท่านนั่งก่อนครับ รถน่าใกล้จะมาถึงแล้ว” เถ้าแก่โจวยิ้มทักทายอย่างมีมารยาท
“ไม่มีคนอื่นมาดูสินค้าเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าภายในร้านของเถ้าแก่โจวมีเพียงเธอและจ่านป๋ายสองคน จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างสงสัย เธอยังจำได้ว่าครั้งก่อนที่หลินเสวียนหลานพาเธอมาดูสินค้า ที่นี่ก็คึกคักมาก
“ผมก็บอกคุณซีเหมินคนแรกเลยครับ” เถ้าแก่โจวยิ้มกรุ้มกริ่ม “หากจะให้ทุกคนมาดูสินค้าพร้อมกันมันก็จะดูวุ่นวายไป คุณว่าอย่างนั้นไหม”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา จริงอย่างที่เขาว่า ปกติแล้วทุกคนก็ไม่สามารถดูสินค้าพร้อมกันได้จริงๆ สินะ ไม่อย่างนั้นถ้าหากลูกค้าทั้งสองคนเกิดชอบหินหยกชิ้นเดียวกันพร้อมๆ กัน อาจจะทำให้มีปัญหาในการต่อรองราคาได้ แม้ว่าเถ้าแก่โจวดูจะเสียเปรียบ แต่ถ้าหากชื่อเสียงเสียหาย มันก็ไม่คุ้มกับการสูญเสีย ทำธุรกิจต้องใช้ความน่าเชื่อถือ เพื่อที่อยากจะอยู่นานๆ หน่อย
ส่วนเหตุที่เถ้าแก่โจวบอกเธอคนแรก เธอก็ย่อมรู้ดี เพราะครั้งก่อนเธอเคยผ่าหยกแดงลายทองคำ หยกสีเขียวสดเนื้อแก้วที่ร้านเถ้าแก่โจว การเดิมพันสายนี้มักจะเน้นประสบการณ์และวิสัยทัศน์ แต่ก็เหมือนอาชีพอื่นๆ ที่ย่อมมักจะเคารพคนที่โดดเด่นและทำผลงานได้ดีกว่า เถ้าแก่โจวคงคิดไว้ว่าซีเหมินจินเหลียนคงเดิมพันหยกชิ้นดีๆ จากร้านเขาได้อีกครั้ง
ในระหว่างที่สามคนกำลังนั่งเบื่ออยู่นั้น บทสนทนาก็หนีไม่พ้นเรื่องของหินหยกและเครื่องประดับหยก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ซีเหมินจินเหลียนรอนาน เมื่อเวลาผ่านไปประมาณยี่สิบนาที เธอก็ได้ยินเสียงรถยนต์ดังเข้ามา เถ้าแก่โจวทักทายนิดหน่อย ก่อนจะรีบพาลูกน้องสองคนตามไปเอาของข้างนอก
จ่านป๋ายได้ยินเสียงจากลานด้านหลังร้านแทรกเข้ามา ก็พูดขึ้นว่า “ลูกน้องที่นี่ก็ดีจริงๆ นะครับ ดึกดื่นแบบนี้แล้วยังทำงานต่ออีก”
“ลูกน้องที่นี่ก็ดีมากจริงๆ” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา เมื่อก่อนเธอเคยได้ยินหลินเสวียนหลานพูดว่า ในปีปีหนึ่งเถ้าแก่โจวก็ขนสินค้าเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง เวลาที่เหลือลูกน้องพวกนี้ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว “ถึงจะยุ่งก็ยุ่งแค่วันสองวันเท่านั้นล่ะ”
“อ๊ะ…” จ่านป๋ายรู้สึกแปลกแปลกใจ “จินเหลียน คุณลองมาดูนี่สิครับ”
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกเหมือนมีข่าวดี จึงรีบเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่างด้านหลัง แล้วมองไปด้านนอก ที่ด้านนอกนั้นมีลานเล็กๆ ด้านหลังเป็นที่วางกองหินหยกของเถ้าแก่โจว จนถึงตอนนี้ก็เห็นลูกน้องสองคนกำลังทำตามคำสั่งของเถ้าแก่โจว ใช้เครนไฟฟ้าขนย้ายหินหยกก้อนใหญ่ลงมา ที่เหลือส่วนมากจะเป็นหินก้อนเล็กธรรมดา ที่ใช้แค่คนคนเดียวขนก็ได้แล้ว
หินหยกแม้ว่าจะเป็นหิน แต่กระบวนการขนย้ายก็แตกต่างไปจากหินที่ใช้ก่อสร้างโดยสิ้นเชิง มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหินลักษณะภายนอกที่น่าเกลียดเหล่านี้ ในนั้นจะซ่อนหยกที่มีคุณค่าอยู่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นกระบวนการขนย้ายจึงต้องระวังมากเป็นพิเศษ
นอกจากลูกน้องสองคนของร้านเถ้าแก่โจวแล้ว ยังมีผู้ชายท่าทางกำยำใช้แรงงานอีกห้าคน ขนย้ายหินหยกพวกนี้อย่างมีระเบียบ
“คุณดูอะไรอยู่เหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอย่างสงสัย
“ผู้ชายห้าคนนั้น” จ่านป๋ายกระซิบ
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ผู้ชายทั้งห้าคน ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ ยี่สิบหรือสามสิบปี หน้าตาหยาบกร้าน ร่างกายเป็นชายกำยำ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เป็นผู้ชายบึกบึนทั้งนั้น ไม่ใช่คนหล่อสักหน่อย มีอะไรน่าดูกัน”
จ่านป๋ายได้ยินแล้วหัวเราะ ถึงค่อยๆ อธิบายให้เธอฟัง “คุณอย่าดูถูกผู้ชายห้าคนนั้นเชียวนะครับ แม้ว่าพวกเขาจะกำลังขนย้ายหินหยก แต่ดูทักษะของเขาแล้วก็รวดเร็วและดูมีความคล่องแคล่ว ไม่เหมือนคนธรรมดาเลย”
“พวกเขาเป็นใครกันเหรอ” สัญชาตญาณของเธอถามออกมาโดยไม่ต้องคิด
“เหมือนกับ…” จ่านป๋ายยิ้มแล้วส่ายหัว ความจริงแล้วคนพวกนี้จะมีที่มาอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาทั้งสิ้น เขาเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นถึงถามขึ้น “คุณคงจะรู้แหล่งที่มาของหินหยกจากร้านเถ้าแก่โจวใช่ไหมครับ”
“เมื่อก่อนเหมือนเคยได้ยินที่หลินเสวียนหลานพูดว่า น่าจะถูกลักลอบมาจากพม่า” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรการลักลอบก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี ในใจของเธอมักจะมีความรู้สึกคัดค้าน
จ่านป๋ายสับสน ลักลอบเข้ามา? ตอนนี้ก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ทหารฝั่งพม่าเข้มงวดอย่างยิ่งเกี่ยวกับหินหยก ถ้าหากจับคนที่ลักลอบได้ นี่คงไม่ใช่แค่ถูกจำคุก แม้กระทั่งโทษหนักอาจจะถึงขั้นประหารชีวิต เพราะอย่างนั้นการลักลอบนำเข้าหยกก็ค่อยๆ ยากขึ้นเรื่อยๆ
มิน่าล่ะห้าคนนั้นดูแล้วก็ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป จ่านป๋ายครุ่นคิดอยู่ในใจ หรือเป็นทหารจากพม่า? แล้วทำเกี่ยวกับหินหยกเสียเอง ก่อนจะยักยอกเงินเพื่อผลประโยชน์สักหน่อย นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ถ้าหากเป็นทหารของพม่า แล้วร่วมมือกับพ่อค้าที่นี่เพื่อลักลอบขนหยกจริง ก็น่าจะเป็นที่เจียหยางหรือไม่ก็พิงโจวแถวนั้นสิ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขนย้ายมาไกลถึงเซี่ยงไฮ้นี่นา? จ่านป๋ายตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ในใจด้วยความสงสัย
“ฉันได้ยินมาว่าตอนที่เถ้าแก่โจวยังเป็นวัยรุ่น เขาก็เป็นนักเดิมพันที่ตรงไปตรงมา แต่สุดท้ายก็แพ้เดิมพัน จนทรัพย์สินในบ้านก็สูญหายไปจนหมด หลังจากนั้นก็ได้เพื่อนๆ ช่วยเหลือเอาไว้ ถึงได้เปิดร้านหินหยกเล็กๆ ขึ้นมา ตัวเขาเองยังมีสายตาที่ดี แต่ฉันได้ยินว่าเขาบอกว่าพิงโจวและเจียหยางมีการแข่งขันสูง ทำธุรกิจไม่ดีเท่าเมืองเซี่ยงไฮ้”
จ่านป๋ายฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก แถวเจียหยาง พิงโจว เถิงชง การเดิมพันหินเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เกือบทุกครัวเรือนประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหินหยก ไม่ว่าจะเป็นการแกะสลัก การเจียระไนหรืออื่นๆ หยางเหม่ยเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเมืองแห่งหยก ส่วนที่เซี่ยงไฮ้ คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเดิมพันหยกคืออะไร แต่ในเซี่ยงไฮ้ก็มีบริษัทจิวเวอรี่ใหญ่ๆ อยู่ที่นี่ ตราบใดที่ผู้ค้ามีส่วนร่วมในธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับหยก การเดิมพันหินก็เป็นช่องทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ร้านเถ้าแก่โจวก็เลยเลือกทำกิจการที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ถือว่าเลือกทำเลได้อย่างเยี่ยมยอดจริงๆ
เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สินค้าหินหยกทั้งหมดที่อยู่บนรถก็ถูกขนย้ายไปที่โกดังของเถ้าแก่โจว เถ้าแก่โจวและทั้งห้าคนทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง พูดสิ่งที่ซีเหมินจินเหลียนฟังไม่เข้าใจ เธอคิดว่าน่าจะเป็นภาษาพม่า
“จินเหลียน คนพวกนี้ไม่ใช่คนพม่าครับ” จ่านป๋ายขมวดคิ้วแล้วกระซิบพูดขึ้น เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ถ้าหากเมื่อครู่นี้เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้เขายิ่งมีข้อสงสัยเพิ่มมากขึ้น
“ไม่ใช่คนพม่า?” ซีเหมินจินเหลียนแปลกใจเช่นกัน
จ่านป๋ายพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ฟังจากสำเนียงที่พูดแล้ว น่าจะเป็นแถบลาวครับ”
“ลาวหรือคะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ่งสงสัยมากขึ้น
จ่านป๋ายพูด “ผมเคยไปที่นั่นมาครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะฟังไม่ออกว่าพวกเขาพูดอะไร แต่สำเนียงแบบนี้คิดว่าไม่น่าผิดครับ”
ซีเหมินจินเหลียนรู้ดีว่าสถานที่อย่างประเทศลาวนั้น มันไม่สามารถใช้คำธรรมดาคำหนึ่งมาอธิบายความวุ่นวายได้ ชื่อสถานที่เรียกว่าสามเหลี่ยมทองคำ ที่นั่นเป็นที่ของสามพรมแดน ที่นั่นมีกิจกรรมทุกชนิดที่ผิดกฎหมาย หรือว่าเถ้าแก่โจวจะไปมีความสัมพันธ์กับพวกเขา?
แต่สามเหลี่ยมทองคำก็ตั้งอยู่ที่พรมแดนลาว พม่าและไทย หินหยกของเถ้าแก่โจวอาจจะขนย้ายมาจากทางนั้น? แต่ว่าเขตตรวจชายแดนของแต่ละที่ เมื่อเห็นสินค้าของพวกเขาก็น่าจะตรวจสอบเข้มงวดขึ้นสิ? ผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มกับสิ่งที่รับ
แต่ถ้าคนเหล่านี้เป็นหนึ่งในกองกำลังส่วนตัวของสามเหลี่ยมทองคำสักฝั่งหนึ่ง จ่านป๋ายก็ยิ่งแปลกใจ ร้านหินหยกเล็กๆ ของเถ้าแก่โจวจะมีปัญญาไปเลี้ยงพวกเขาได้อย่างไรกัน แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขา พวกเขาแค่มาซื้อหินหยกเท่านั้น
ไม่ช้ารถขนของที่บรรทุกชายกำยำทั้งห้าคนก็ค่อยๆ หายจากไปท่ามกลางแสงคืน
เถ้าแก่โจวผลักประตูเดินเข้ามายิ้ม “ทั้งสองท่านคงรอนานแล้ว ไปดูสินค้ากันเลยไหมครับ?”
“ดีเลยค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
“เถ้าแก่โจว สินค้าที่มาครั้งนี้ไม่น้อยเลยนะครับ” จ่านป๋ายถามหยั่งเชิงเขา
“ใช่ครับ” เถ้าแก่โจวพยักหน้า “สินค้ารอบนี้มากกว่าเก่าเยอะหน่อย คุณภาพก็ดี หวังว่าทั้งสองท่านจะเลือกหาสิ่งที่ชอบได้นะครับ”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ครั้งนี้มีหินหยกเท่าไหร่เหรอคะ”
“คุณซีเหมินดูเอาเองเถอะครับ” เถ้าแก่โจวพูดในขณะที่เดินพาทั้งสองมาถึงที่ในโกดังด้านหลัง
ซีเหมินจินเหลียนใช้สายตากวาดมอง นี่ก็เป็นจำนวนไม่น้อยเลย มีทั้งขนาดเล็กทั้งขนาดใหญ่ ดูรวมๆ แล้วหินหยกน่าจะประมาณร้อยกว่าชิ้นได้ อีกทั้งเถ้าแก่โจวก็ไม่ได้แยกชนิดออกมาอย่างชัดเจน ถึงเวลาที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการมองเห็นของเธอแล้ว หินหยกตั้งมากมายแบบนี้ ถ้าจะใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านทั้งหมดก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเลือกหินหยกแค่ลักษณะภายนอกดูดี เผยให้เห็นสีเขียวชัดหน่อยก็น่าจะโอเค
“ทั้งสองท่านค่อยๆ ดูเถอะครับ ดูเสร็จแล้วค่อยเรียกผมก็ได้” เถ้าแก่โจวยิ้มทั้งตาแล้วพูดขึ้น เขาขอตัวก่อนจะเดินออกไป ลูกน้องของเขาทั้งสองคนก็เดินตามออกไปด้วย
คนส่วนมากเวลาเดิมพันหินมักจะมีลักษณะผิดแปลกอยู่บ้าง เวลามองสินค้าไม่ชอบให้ใครเดินมารบกวน เพราะอย่างนั้นเถ้าแก่โจวจึงรีบพาลูกน้องทั้งหมดเดินออกไป
แม้ว่าจ่านป๋ายจะเคยติดตามซีเหมินจินเหลียนเข้าร่วมงานประมูลที่เจียหยางมาก่อน แต่สำหรับการเดิมพันหิน เขาก็ยังยากที่จะเข้าใจ เมื่อเห็นทั้งห้องที่กองเต็มไปด้วยหิน อีกทั้งทั้งหมดก็เป็นหินที่ได้มาจากการเดิมพันก็ยิ่งตาลาย เขาสัมผัสก้อนนี้ทีอย่างสงสัย ก่อนจะไปสัมผัสก้อนนั้นอีกครั้ง ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมผมดูแล้วก็รู้สึกว่ามันจะเหมือนกันทุกก้อนเลยล่ะ”
ความจริงซีเหมินจินเหลียนก็อยากจะพูดว่าเท่าที่เธอดูมาเกือบทั้งหมดแล้ว นี่ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากหินก่อสร้างธรรมดา แต่เมื่อได้เห็นหินหยกตั้งมากมายในเวลาสั้นๆ เธอก็ยังคงตื่นเต้นดีใจไม่หาย
การเล่นเดิมพัน ถึงจะเป็นการโกง แต่ก็ทำให้คนเสพติด
“จินเหลียน คุณรีบมาดูนี่สิครับ!” จู่ๆ จ่านป๋ายก็ส่งเสียงร้องเรียกขึ้น “คุณดูสิว่าผมเจออะไร?”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินเข้าไปหา เห็นจ่านป๋ายคุกเข่าลงกับพื้น มองไปที่หินหยกที่มีขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่งของลูกฟุตบอล ลักษณะพื้นผิวของมันเป็นสีเหลืองแกมน้ำตาลธรรมดา แต่หินหยกก้อนนั้นกลับเผยให้เห็นเนื้อหยกออกมาข้างนอก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสีเขียวมรกตที่ใสบริสุทธิ์ ไม่น่าล่ะเขาถึงดีอกดีใจ