รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 142
ในใจของเซียวจิ่งสือคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทเข้มแข็งยิ่งขึ้น ถึงเวลาที่เขาต้องแสดงความสามารถให้เซียวเฉียงได้เห็น
ตอนนี้เซียวจิ่งสือจำเป็นต้องมีคนที่ทำงานให้เขาในบริษัท และต้องเป็นคนที่มีความตั้งใจ ละเอียดรอบคอบไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น ต้องมีความสามารถที่พร้อมจะร่วมรุกรับไปกับบริษัทได้
เนื่องจากเซียวจิ่งสือเพิ่งรับช่วงบริษัทนี้มาจากเซียวเฉียง ไม่ทราบว่าคนข้างในเป็นอย่างไรกันแน่ ใครบ้างที่จริงใจทำเพื่อบริษัท และใครบ้างที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัดเพื่อหาประโยชน์จากบริษัทนี้
“ท่านประธานเซียว คุณเรียกผมเหรอครับ” เลขาเดินเข้ามายืนตรงหน้าเซียวจิ่งสือ
“คุณช่วยผมคิดหาวิธีหน่อย ทำอย่างไรผมจึงจะหาตัวคนที่ผมจะเชื่อถือได้ในบริษัทออกมาสักคนหนึ่ง หรือว่าคุณจะแนะนำก็ได้ว่ามีใครที่เหมาะที่จะทำงานอยู่ข้างผม ซึ่งผมจะพูดคุยปรึกษากับเขาได้ในเรื่องของบริษัทเป็นการส่วนตัว ตอนนี้ผมกำลังต้องการคนที่มีความสามารถและไว้ใจได้สักคนหนึ่ง” เซียวจิ่งสือมองดูเลขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา รอฟังคำตอบอย่างคาดหวังและตั้งใจ
เลขาก็มีสีหน้ามึนงง เขารู้ว่าเมื่อก่อนท่านประธานแต่ละคนมักจะมีคนสนิทอยู่ข้างกายคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ให้เขาไปหาคนที่น่าเชื่อถือแบบนี้มาให้คนหนึ่ง ทั้งยังต้องมีหน้าตาท่าทาง บุคลิกลักษณะที่ดูดีน่าเชื่อถือด้วย ก็ยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่
“ท่านประธานเซียวครับ ขอเวลาผมสักหน่อยจะได้ไหม ให้ผมมีเวลากลับไปพิจารณาดูคนเหล่านี้ แล้วจึงแนะนำให้คุณอีกทีหนึ่ง ผมเกรงว่าตอนนี้รายชื่อที่ผมบอกคุณไป อาจไม่ถูกใจคุณก็ได้ กลับจะไม่เป็นผลดีต่อบริษัทเสียเปล่าๆ ขอเวลาผมอีกสักหน่อยเพื่อตามดูความประพฤติและความสามารถของพวกเขา แล้วจึงสรุปเป็นข้อเสนอแนะให้คุณได้” เลขาพูดด้วยท่าทีนอบน้อม
เซียวจิ่งสือรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ตอนนี้เขาจำเป็นต้องมีคนที่มุ่งมั่นตั้งใจจะทำงานให้กับเขา และบริษัทต้องอยู่ในช่วงที่ต้องการคนที่มีความสามารถอย่างมาก เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าเขาคงจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว
เซียวจิ่งสือคิดในใจว่าตอนนี้ในเมื่อยังหาคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อบริษัทแบบนั้นไม่ได้ ก็ต้องคิดหาวิธีให้คนบางคนกลายเป็นคนที่ยอมทำงานถวายชีวิตเพื่อตัวของเขาเอง
“เสี่ยวจาง คุณไปสืบมาซิว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทเรา มีใครที่ฐานะทางบ้านกำลังประสบปัญหา ที่ต้องการความเชื่อเหลือจากผม” เซียวจิ่งสือพูดขึ้น
เลขากลับออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อดำเนินการตามที่เซียวจิ่งสือสั่งไว้ เขายังคิดอยู่ว่า บริษัทออกจะใหญ่โตขนาดนี้ คนที่เป็นผู้ถือหุ้นจะมีฐานะทางบ้านลำบากได้อย่างไรกันนะ แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งเซียวจิ่งสือได้จึงได้แต่ไปสืบค้นมาแต่โดยดี
ไม่นานนัก เลขาก็เจอเข้ากับเป้าหมาย เขารีบไปหาเซียวจิ่งสือทันที
“ท่านประธานเซียวครับ แม้ว่าจะไม่พบว่าบ้านของใครประสบปัญหาหนักกว่ากัน แต่มีผู้ถือหุ้นแซ่จางคนหนึ่ง ลูกสาวกับภรรยาของเขาป่วยด้วยโรคร้าย ก่อนหน้านี้ได้ไปหาหมอรักษาตัวเป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่หาย และเนื่องจากต้องหาหมอรักษา ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก ช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากคนในครอบครัวล้มป่วย เลยดูทรุดโทรมและอ่อนล้าอย่างมาก ถ้าหากคุณสามารถช่วยให้ครอบครัวเขาผ่านความยากลำบากครั้งนี้ไปได้ ถ้าคนทั่วไปที่มีใจอยู่บ้าง ก็น่าจะตั้งอกตั้งใจอยู่ช่วยงานคุณอย่างจริงใจแน่” คุณเลขาบอกเล่าอย่างภาคภูมิใจ เขาคิดว่าวิธีนี้น่าจะทำได้แน่
เซียวจิ่งสือคิดดูแล้วผู้ถือหุ้นบริษัทของตัวเองแน่นอนว่าย่อมจะช่วยงานเขาได้อย่างดีที่สุด แม้จะบอกว่าเป้าหมายเพื่อให้เขาตั้งใจทำงานให้กับบริษัทอย่างซื่อสัตย์ แต่เรื่องนี้ถึงยังไงก็สำคัญที่การรักษาอาการป่วย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เซียวจิ่งสืออยากจะช่วยเขาให้สุดกำลัง แน่นอนว่าเซียวจิ่งสือเองก็หวังว่าในวันข้างหน้า ผู้ถือหุ้นคนนั้นจะรู้สึกขอบคุณที่เขาช่วย ทางที่ดีที่สุดคือสามารถอยู่ทำงานให้เขาได้
“ดี เอาอย่างนี้ เพื่อแสดงความจริงใจ ผมจะไปเยี่ยมผู้ถือหุ้นจางกับครอบครัวด้วยตัวเอง คุณช่วยผมนัดเขาด้วย เป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” เซียวจิ่งสือพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ครับ ท่านประธานเซียว” เลขาพูดจบก็ถอยออกไป
เซียวจิ่งสือเผยรอยยิ้มลึกลับ เขารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องหาเพื่อนรักของเขา…laze เขามีชื่อเสียงอย่างมากในต่างประเทศ เขาฉลาดมากแต่ก็ใช้ว่าคนธรรมดาๆ จะได้รักษากับเขา เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะรวยเอามากๆ
เซียวจิ่งสือกับ laze เป็นเพื่อนคู่หูที่สนิทกันมาก ถ้าเซียวจิ่งสือเอ่ยปากให้เขาช่วย เขาต้องรีบมาช่วยเซียวจิ่งสือจนสุดความสามารถอย่างแน่นอน เซียวจิ่งสือมั่นใจในความสามารถของเขามาก รู้ว่าโรคบางอย่าง เมื่อถึงมือเขาเป็นต้องหายขาด
เซียวจิ่งสือโทรหา laze พูดว่า “ฉันมีเรื่องให้แกช่วยหน่อย ลูกเมียของผู้ถือหุ้นบริษัทฉันป่วยเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่ง หาหมอมานานแต่รักษาไม่หายสักที ตอนนี้ถึงคราวที่แกจะแสดงฝีมือแล้ว ไม่รู้ว่าแกจะรักษาโรคนี้ได้ไหม บางทีแกอาจจนปัญญากับโรคนี้ก็ได้นะ เพราะเจ้าโรคนี้มันหาเจอได้ยากมากเลย” เซียวจิ่งสือพูดพลางแอบยิ้ม
เซียวจิ่งสือรู้ว่าถ้าใช้น้ำเสียงปกติไปขอให้เขาช่วยรักษาสองคนนั้น laze ต้องตอบกลับด้วยน้ำเสียงถือดี ทั้งยังจะแซะเขาอีกหลายคำด้วย เซียวจิ่งสือพูดแบบนี้เสียอีก ทำให้ laze เกิดความรู้สึกสงสัยอยากรู้ต่อโรคชนิดนี้ และอยากจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองต่อหน้าเซียวจิ่งสือ เช่นนี้แล้วเขาย่อมจะรับปากเซียวจิ่งสือเร็วขึ้น
แล้วก็เป็นอย่างที่เซียวจิ่งสือคาดไม่ผิด พอlaze ได้ฟังว่าเซียวจิ่งสือสงสัยในความสามารถของเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเสียงกระตือรือร้น “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีโรคประหลาดอะไรที่ฉันรักษาไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจะรีบไปให้เร็วที่สุดเลย ฉันจะช่วยรักษาพวกเขาเอง ให้แกได้เห็นว่า ฮูโต๋กลับชาติมาเกิด [ 1 ] ฝีมือการรักษาขั้นเทพที่แท้จริงเป็นอย่างไร แกเป็นเพื่อนกับฉันมาตั้งนานขนาดนี้ได้ไงวะ ชิ สงสัยความสามารถของฉัน ดูท่าว่าต้องพิสูจน์ให้เห็นกันซะบ้าง”
ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันอีกครู่หนึ่งแล้ววางสายไป ถึงตอนนี้ laze เพิ่งจะรู้สึกตัว ที่แท้เซียวจิ่งสือตั้งใจใช้วิธีนี้ให้เขารีบรับปากรักษา laze หัวเราะออกมา พร้อมกับคิดว่าเซียวจิ่งสือนี่ยังฉลาดหาตัวจับยากเหมือนเดิม
วันรุ่งขึ้น laze รีบบึ่งมาหาเซียวจิ่งสือ พอเจอกันสองเกลอก็พูดคุยกันอย่างดีใจ
จากนั้นเซียวจิ่งสือกับผู้ช่วยแล้วก็ laze พากันไปที่บ้านของผู้ถือหุ้นจาง ภรรยากับลูกสาวเขายังอยู่ที่โรงพยาบาล มีผู้ถือหุ้นอยู่บ้านเพียงคนเดียวเดี่ยวโดด แม้แต่แม่บ้านก็ไม่มี เซียวจิ่งสือเห็นเช่นนั้น ก็นึกโทษตัวเองว่าทำไมไม่มาช่วยเขาให้เร็วกว่านี้
“ท่านประธานเซียว คุณอุตส่าห์มาถึงนี่แต่ผมไม่มีอะไรจะใช้ต้อนรับคุณได้เลย ที่บ้านเข้าออกโรงพยาบาลกันทั้งปี ตอนนี้เลยอยู่ในสภาพนี้ ผมก็เหนื่อยทั้งกายใจอย่างมาก ไม่ใช่ว่าผมจะไม่อยากช่วยงานบริษัทต่อไป แต่พอคิดถึงเรื่องครอบครัวแล้วก็วุ่นวายใจมาก ไม่สามารถสงบจิตใจได้เลย ผมจึงรู้สึกผิดกับบริษัทอย่างมากเช่นกัน” ผู้ถือหุ้นจางพูดพลางก้มศีรษะต่ำลง อาจเป็นเพราะความทุกข์ยากของครอบครัวในระหว่างนี้ทำให้เขาเครียดมากจริงๆ เสียงที่พูดออกมาจึงฟังดูแหบเครือเหมือนจะร้องไห้
——
[ 1 ] ฮูโต๋กลับชาติมาเกิด เป็นคำพังเพยเปรียบว่ามีฝีมือการรักษาที่เก่งกาจ ฮูโต๋ เป็นชื่อหมอจีนสมัยฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25-220) มีฝีมือการรักษาเก่งกาจจนเป็นที่เลื่องลือ ใช้ยาชาในการรักษาผู้ป่วยเป็นครั้งแรก