รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 252 ทดสอบ
อันจี๋ถิงรู้สึกเหลือเชื่อ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ชายตรงหน้านี้จึงได้ทิ้งลูกสาวของเธอไปแล้วกลับหันไปสนใจผู้หญิงอื่นแทน และผู้หญิงนั่นยังทำให้เธอเกลียดมากซะด้วย ทั้งๆ ที่เป็นแค่ใบหน้าที่ทำศัลยกรรมมาเท่านั้นเอง
“เซียวจิ่งสือ ฉันขอให้คุณไว้เกียรติตัวเองสักหน่อยได้ไหม และก็ช่วยให้เกียรติลูกสาวฉันด้วย อย่ามัวแต่คิดถึงเรื่องคนอื่น คุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันก็หวังว่าคุณจะเข้าใจว่าต้องเห็นค่าคนที่อยู่ตรงหน้า!” อันจี๋ถิงตักเตือนเซียวจิ่งสือในฐานะผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นวิธีการปกป้องลูกสาวของเธอเองด้วยเช่นกัน
“คุณป้าครับ ผมก็จะขอให้คุณเข้าใจความเป็นจริงสักหน่อยได้ไหมครับ ตอนนี้คุณไม่รู้อะไรเลย คุณรู้สึกว่าคนตรงหน้านี้เป็นลูกสาวของคุณจริงๆ งั้นหรือ? ผมอยากให้คุณช่วยคิดให้ดีด้วย ลองนึกดูคำพูดที่ผมพูดกับคุณวันนี้ให้ดี” เซียวจิ่งสือพูดอย่างไม่เกรงใจ เขาแค่คิดว่าคนคนนี้ไม่ยอมรับลูกสาวตัวเอง แต่กลับไปยอมรับผู้หญิงใจอรพิษนั่นแล้วก็ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจมาก
“เรื่องของฉัน ตัวฉันรู้ดีที่สุด ไม่ต้องให้คุณมาสอน คุณเองต่างหากที่อย่าหาข้ออ้างเปลี่ยนใจให้ตัวเองอีกเลย มีใครบ้างไม่รู้ว่าคุณเจ้าชู้ ฉันรู้จักคุณดีตั้งแต่แรกแล้ว!” อันจี๋ถิงเริ่มเป็นฝ่ายรุกบ้าง เพราะเธอเห็นว่าเซียวจิ่งสือทำตัวไร้มารยาทกับเธอมาก เธอไม่อยากให้ลูกสาวของเธออยู่กับคนแบบนี้
เซียวจิ่งสือก็ไม่สนใจเธออีก ตอนนี้จะพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้เขาแค่อยากจะหาตัวหลินหว่านให้เจอเท่านั้น ส่วนแม่ของเธอ คิดจะอยู่กับใคร รับใครเป็นลูกสาว ก็เป็นเรื่องของเธอเอง แค่หวังว่าเธอจะไม่มานึกเสียใจภายหลังก็พอแล้ว
พูดกันถึงที่สุดแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เป็นอันจี๋ถิงทำมันขึ้นทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยื่นมือเข้ามา คิดว่าตัวเองฉลาด จะทำให้ลูกสาวตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ได้ยังไงกัน
เธอจะพูดว่าเขาเจ้าชู้ยังไงก็ได้ ถึงยังไงเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว สิ่งที่เขาทำขอเพียงไม่ผิดต่อหัวใจตัวเองก็พอแล้ว ใจของเขามีแค่หลินหว่านคนเดียวเท่านั้น ต่อให้คนอื่นทำหน้าทำตัวให้เหมือนเธออย่างไรก็ตาม ในสายตาเขาเป็นเพียงแค่สิ่งเลื่อนลอยที่ไร้ความหมายทั้งนั้น
พักนี้ เขาเอาแต่ตามหาหลินหว่านตลอด เรื่องอื่นๆ จึงถูกเขาละเลยไป แม้แต่เรื่องในบริษัทก็ไม่ได้ติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เขารู้ว่าถ้าไม่พบตัวหลินหว่าน ก็ไม่รู้ว่าเธอจะต้องเจอกับอันตรายอะไรอีก
บางครั้งเขาก็สงสารหลินหว่านมาก ทั้งที่ตัวเองต้องเจอกับเรื่องร้ายมากมาย แม้แต่แม่แท้ๆ เพียงคนเดียวของตัวเองยังเข้าใจผิดรังเกียจเธอ เห็นเธอเป็นเศษสวะไร้ค่า เซียวจิ่งสือรู้สึกน้อยใจแทนเธอจริงๆ และก็รู้สึกเจ็บปวดใจแทนหลินหว่านด้วย
แต่ไม่เป็นไร ต่อให้คนทั้งโลกทิ้งหลินหว่านไป แต่ข้างกายเธอจะยังมีเซียวจิ่งสืออยู่ เขาจะไม่ยอมทิ้งเธอไปเด็ดขาด ต่อให้หลินหว่านจะจำเขาไม่ได้เลยก็ตาม ขอเพียงเซียวจิ่งสือยึดมั่นในความรักของตัวเอง ไม่ยอมแพ้ทิ้งหลินหว่านไป นั่นก็หมายความว่าพวกเขาทั้งสองคนยังมีความหวัง หลินหว่านจะต้องฟื้นความทรงจำได้สักวันในที่สุด
ในหลายวันมานี้จึงผ่านไปเช่นนี้ อันจี๋ถิงอยู่ร่วมกับอี้อวิ๋นฉัง ตอนแรกอันจี๋ถิงมีความสุขมาก ปกติเธอได้อยู่กับลูกสาวน้อยมาก ตอนนี้มีเวลาพูดคุยด้วยกันมากมาย สำหรับเธอแล้วเป็นการปลอบประโลมที่ดีที่สุด
ทั้งสองอยู่ด้วยกันทั้งวันคืน แต่บางทีอันจี๋ถิงกลับพบว่าอี้อวิ๋นฉังไม่ปกตินัก พอเริ่มพูดเกี่ยวกับความทรงจำในวัยเด็ก เธอก็หันเหไปพูดเรื่องอื่นแทน เหมือนกับไม่ต้องการพูดถึงมัน ทำให้อันจี๋ถิงเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้าง
นั่นก็เพราะ ตอนที่อันจี๋ถิงยังสาว เธอต่อสู้ฟาดฟันผ่านเรื่องต่างๆ มามากมาย จนสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาได้ เธอย่อมไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นคนปกติที่คิดจะหลอกเธอจึงไม่ง่ายนัก
อันจี๋ถิงมักพบว่าอี้อวิ๋นฉังปฏิบัติกับเธอไม่เหมือนเป็นแม่ลูกกัน เธอรู้สึกว่าอี้อวิ๋นฉังทำตัวเหมือนคนแปลกหน้า ทั้งการพูดจาปฏิบัติตัว ทำให้อันจี๋ถิงรู้สึกประหลาดใจว่า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่าอี้อวิ๋นฉังรู้ตัวหรือไม่ว่าอันจี๋ถิงเกิดความสงสัยขึ้น เธอจึงดูไปแล้วตึงเครียดอยู่บ้าง
มีครั้งหนึ่งเธอทำให้อันจี๋ถิงรู้สึกติดใจมากก็คือ เธอออกไปข้างนอกซื้อของกลับมากมาย ถือข้าวของเต็มมือ ดูแล้วท่าทางจะหนักมาก แต่อี้อวิ๋นฉังเห็นเธอเข้ามากลับไม่คิดจะเข้ามาช่วยเธอถือของเลยสักนิด กลับเดินเข้าบ้านไปซะเฉยๆ ทำให้อันจี๋ถิงอดคิดมากไม่ได้ นี่มันไม่ใช่พฤติกรรมที่ลูกสาวของเธอจะทำเลยนี่นา
นอกจากนี้ตอนที่ทั้งสองพูดคุยกัน อี้อวิ๋นฉังก็มักจะพูดถึงเรื่องของเซียวจิ่งสือ ส่วนความทรงจำวัยเด็กของเธอกับแม่กลับไม่พูดถึงเลยสักคำ นี่มันผิดปกติเกินไปจริงๆ คนทั่วไปก็น่าจะคิดถึงชีวิตที่อยู่กับคนในครอบครัวกันไม่ใช่หรือไง? ทำไมอี้อวิ๋นฉังจึงเอาแต่พูดถึงเซียวจิ่งสือนะ
ทั้งที่เซียวจิ่งสือก็ไม่ได้ทำดีกับอี้อวิ๋นฉังสักเท่าไร อี้อวิ๋นฉังยังเสนอตัวเข้าหาเขาขนาดนี้ มันทำให้อันจี๋ถิงสงสัยมาก เธอรู้สึกว่าเธอไม่เข้าใจเด็กสาวตรงหน้านี้มากขึ้นทุกที ยิ่งพวกเธออยู่ด้วยกันนานเท่าไร อันจี๋ถิงก็ยิ่งสงสัยอี้อวิ๋นฉังมากขึ้นไปทุกที
ด้วยประสบการณ์ที่เธอเคยผ่านมาอย่างโชกโชน จิตใต้สำนึกบอกกับเธอว่า คนตรงหน้านี้มีบางอย่างปิดบังเธออยู่ และไม่ใช่เรื่องเล็กด้วย ก่อนหน้านี้อันจี๋ถิงดีใจมากว่าได้อยู่ร่วมกับลูกสาวในที่สุด แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกเฉยชามาก เธอไม่รู้ว่าตอนนี้สิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่มันถูกหรือว่าผิดกันแน่
เย็นวันนี้ พวกเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหาร ทานอาหารร่วมกัน อี้อวิ๋นฉังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย เธอพยายามจะไม่พูดกับอันจี๋ถิง เพราะเธอรู้ว่ายิ่งพูดมากก็ยิ่งผิดมาก ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วเธอเลือกที่จะนิ่งเงียบซะ ประเด็นนี้เธอก็นับว่าฉลาดทีเดียว
ส่วนอันจี๋ถิงในเวลานี้กลับมองดูอี้อวิ๋นฉังอย่างครุ่นคิด อี้อวิ๋นฉังไม่รู้ตัวเลย แค่ก้มลงทานอาหารของตัวเอง อันจี๋ถิงจึงคิดจะทดสอบอี้อวิ๋นฉังดูสักหน่อย มีบางเรื่องที่เธอเก็บไว้ในใจมานานมากแล้ว บางครั้งอยากจะถามออกมา แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะจึงได้แต่เก็บเอาไว้ในใจ
“ฮ่าๆ มา แม่จำได้ว่าตอนเด็กลูกชอบทานพริกเขียวมากนี่นา ทานเยอะๆ นะ” อันจี๋ถิงยิ้มแล้วจงใจพูดขึ้น พูดพลางก็คีบพริกเขียวใส่ชามข้าวของอี้อวิ๋นฉัง
แต่คราวนี้อี้อวิ๋นฉังกลับหน้าเหวอ เธอไม่รู้เลยว่าตอนเด็กหลินหว่านชอบอะไร ไม่รู้เลยว่าเธอชอบทานอะไร