รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 260 วิกฤตบริษัท
เซียวจิ่งสืออยู่ที่ห้องทำงาน เดิมทีน่าจะนั่งเล่นมือถืออย่างสงบอยู่ที่หน้าโต๊ะคอมคอมพิวเตอร์ เหมือนกับเขาทำงานอยู่เหมือนเคย
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถนั่งอย่างสุขสบายบนเก้าอี้ได้อีกแล้ว เขาเดินไปเดินมาในห้องทำงานตัวเอง ทอดถอนใจเป็นครั้งคราว
เดิมทีภายใต้การบริหารของ ‘หนุ่มแจกันดอกไม้ [1] ’ อย่างเขา บริษัทตกต่ำลงไปจริงๆ อยู่แล้ว บวกกับหลินหว่านแอบโยกย้ายเงินทุนไปจนหมด ระยะนี้สถานการณ์ของบริษัทยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ ตัวเขาเองก็ไม่รู้เรื่องงานในบริษัทเอาซะเลย ในวงการธุรกิจก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนด้วย
ถึงเขาจะเชื่อถือและมอบหมายงานของบริษัททั้งหมดให้กับอี้อวิ๋นฉัง แต่ดูท่าว่าการดำเนินงานของบริษัทไม่ราบรื่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เขาคิดจะหาตัวหลินหว่านมาปรึกษาเรื่องนี้ ฝ่ายหลินหว่านนับตั้งแต่รู้ว่าเซียวจิ่งสือเป็นตัวปลอม ก็โยกย้ายเงินทุนและหุ้นของบริษัทไปจนหมด นับแต่นั้นหลินหว่านก็ไม่เคยมาหาเขาอีก
เซียวจิ่งสือกลับมานั่งที่เดิมของตัวเอง โทรออกไปสายหนึ่ง “ฮัลโหล ที่รักครับ คุณอยู่ที่ไหนเหรอ? ผมมีเรื่องอยากจะพบคุณน่ะ” เซียวจิ่งสือพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ
“ฉันอยู่ที่บ้านค่ะ มีอะไรหรือคะ” หลินหว่านคิดในใจว่าดูซิว่าเขาจะทำอย่างไร
“หาคุณก็แน่นอนว่าต้องมีเรื่องสำคัญอยู่แล้ว งั้นตอนนี้ผมไปหาคุณที่บ้านนะครับ เรื่องด่วนมาก แล้วเราก็ต้องพูดคุยกันต่อหน้าด้วย” เซียวจิ่งสือพูด
“งั้นก็ได้ค่ะ”
“งั้นผมจะไปหานะ คุณรอผมก่อนนะ!” เซียวจิ่งสือพูด
เซียวจิ่งสือเอาของฝากมาด้วยหลายอย่าง ด้วยความที่เป็นเซียวจิ่งสือตัวปลอม เขาไม่รู้ว่าหลินหว่านชอบอะไร จึงซื้อผลไม้ชั้นดีหน่อยเอามาด้วยหลายอย่าง
พอได้พบหน้าหลินหว่านก็เข้ามาเอาอกเอาใจ “ผมซื้อผลไม้มาฝากคุณนะ ได้ยินว่าผลไม้ไม่เพียงช่วยเสริมวิตามินในร่างกาย ยังช่วยเสริมความงามอีกด้วยนะ”
“เอาละค่ะ คุณเข้ามาเถอะ” หลินหว่านพูด
“จะดื่มอะไรดีคะ?”
“น้ำเปล่าก็พอครับ” เซียวจิ่งสือในตอนนี้ยังจะมีกะจิตกะใจจะดื่มอะไรกันอีกเล่า แค่หลินหว่านช่วยพยุงฐานะบริษัทเขาไว้ได้ก็พอแล้ว ตอนนี้ความหวังเดียวของเขาก็คือหลินหว่าน
“คุณนั่งที่โซฟานี่สักครู่นะคะ ฉันจะไปเทน้ำมาให้” หลินหว่านพูด
“เอาล่ะ คุณมีเรื่องอะไรจะปรึกษากับฉันหรือคะ?” หลินหว่านเทน้ำกลับมาก็เปิดฉากพูดกับเขาเรื่องนี้
เนื่องจากเจ้าตัวเองรู้แล้วว่าเซียวจิ่งสือเป็นตัวปลอม จึงไม่มีอะไรจะคุยกับเขา
“เรื่องบริษัทน่ะ ระยะนี้คุณรู้เรื่องหรือยัง?” เซียวจิ่งสือพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มเป็นกังวล
“ระยะนี้บริษัทมีเรื่องอะไรหรือคะ? คุณก็จัดการได้ดีมาตลอดไม่ใช่หรือคะ” หลินหว่านพูดวางหมากกับเขา ถ้าหากจะขอให้เธอช่วยบริษัทก็ต้องให้เขาเอ่ยปากด้วยตัวเอง ไม่สิ ต้องบอกชื่อจริงของเขาออกมาด้วยตัวเอง
และต่อให้เธอยอมช่วยบริษัทให้กลับมาเป็นปกติอีก นั่นก็ไม่ใช่เพราะเขา แต่นั่นเป็นแรงกายแรงใจของเซียวจิ่งสือ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเขาสักนิด แค่คนที่แทรกเข้ามาระหว่างทางเท่านั้น
“ระยะนี้บริษัทดูภายนอกยังทำงานเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ความจริงไม่เหมือนกับเหมือนก่อนอีกแล้ว ถ้าไม่มีเหลยลี่มาช่วยไว้ละก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าบริษัทจะเปลี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวจิ่งสือพูดอย่างรวบรัดชัดเจน ไม่มียืดเยื้อ
“เหลยลี่? คุณแน่ใจหรือคะว่าเขาช่วยบริษัทได้?” หลินหว่านพูดอย่างไม่แน่ใจ
“ได้สิ ถ้าเขายอมช่วยบริษัทของเรา ต้องได้อยู่แล้ว” เซียวจิ่งสือรีบผงกศีรษะรับ
“แต่ผมไม่ค่อยสนิทกับเขานัก อันที่จริงความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ค่อยจะดีนัก เรื่องนี้คุณก็รู้ดีอยู่นี่” หลินหว่านไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยมาตลอด มาถึงตอนนี้ เธอจะเอาเรื่องนี้มาใส่ตัวทำไมกันเล่า?
“ผมรู้สึกว่าพวกคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถ้าคุณไปขอให้เหลยลี่มาช่วยบริษัท บริษัทก็น่าจะมีหวังอย่างมากเลย” เซียวจิ่งสือพูดอย่างอัดอั้นตันใจ
“ที่จริงเหลยลี่ก็ไม่ได้สามารถอะไรมากนัก และถ้าเป็นเรื่องของบริษัท ฉันว่าคุณน่าจะเป็นคนออกหน้าจะดีกว่านะคะ” หลินหว่านพูด
ถึงแม้เซียวจิ่งสือจะมาหาหลินหว่านถึงบ้าน แต่หลินหว่านรู้อยู่นานแล้วว่าเขาไม่ใช่เซียวจิ่งสือที่เธอเคยรู้จัก ดังนั้นหลินหว่านจึงโยนปัญหาทั้งหมดกลับไปที่เซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือพอฟังว่าหลินหว่านพูดแบบนี้ ก็ยิ่งร้อนใจ เดิมทีเขาเห็นหลินหว่านเป็นยาเม็ดช่วยชีวิตระยะสุดท้าย แต่เธอกลับบอกเขาว่าเธอช่วยไม่ได้
เซียวจิ่งสือในตอนนี้เหมือนกับ ‘มดในกระทะร้อน’ นั่งไม่ติดแล้ว จึงเริ่มเดินพล่านไปมาในห้องรับแขกบ้านหลินหว่าน ตอนแรกที่เขาเข้าแทนที่เซียวจิ่งสือ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ที่แท้ผู้บริหารของบริษัทหนึ่งมันยุ่งยากลำบากขนาดนี้
พอเห็นเซียวจิ่งสือยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของบริษัท หลินหว่านเห็นว่าน่าจะได้เวลาเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาแล้ว
“ตอนนี้คุณรู้สึกหรือยังว่าการบริหารจัดการบริษัทมันยากนะ?” หลินหว่านพูดหยั่งเชิง รู้สึกว่าเปิดโปงเขาง่ายๆ มันง่ายกับเขาเกินไป
ทีตอนแรกเธอไปหาเขาที่ห้องทำงาน เขายังคิดจะเอาเปรียบเธอด้วย ต้องให้เขาขายหน้าบ้าง
“ใช่เลย ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองแก่แล้วเลย เมื่อก่อนการจัดการบริษัทก็ไม่เห็นจะยากลำบากแบบนี้เลย” เซียวจิ่งสือแม้จะยุ่งยากใจ แต่ยังรีบตั้งสติรับมือ ไม่ยอมตกหลุมพรางหลินหว่าน
“คุณว่าไหมทำไมฉันรู้สึกว่าตอนนี้คุณไม่หล่อเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ? แล้วยังรู้สึกว่าตอนอยู่กับคุณไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว?” หลินหว่านพูดพลางจ้องมองเซียวจิ่งสือด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบ
“ทำไมจะไม่หล่อเหมือนเมื่อก่อนล่ะ? ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมหล่อขึ้นเรื่อยๆ เลยนะเนี่ย หรือว่าคุณเปลี่ยนใจแล้ว?” เซียวจิ่งสือพูดกับหลินหว่าน
“คงไม่น่าจะเกี่ยวกับหน้าของคุณกระมัง? แค่รู้สึกว่าพักนี้คุณแต่งตัวดูแย่ลงนะ ดูสิคุณใส่ชุดอะไรนะ?” หลินหว่านจงใจพูดแบบนี้กับเซียวจิ่งสือ อยากจะยั่วโมโหเขา
“ทำไมคุณถึงรู้สึกว่ารสนิยมการแต่งตัวของผมแย่ลงล่ะ? ผมรู้สึกว่าเมื่อก่อนต่างหากที่แต่งตัวน่าเกลียดนะ” เซียวจิ่งสือแน่นอนว่าต้องคัดง้างกับเธอในด้านนี้
จะพูดอย่างไรดีล่ะ ทั้งสองโต้เถียงกันเรื่องนี้ไม่จบเลยทีเดียว
“เรื่องบริษัทคงทำให้คุณยุ่งหัวหมุนเลยสินะคะ? ใครใช้ให้คุณมอบหมายงานทั้งหมดให้อี้อวิ๋นฉังกันเล่า” หลินหว่านใช้น้ำเสียงคาดคั้นเอากับเซียวจิ่งสือ
“ที่ให้อี้อวิ๋นฉังทำก็เพราะเธอมีความสามารถไง ผมเห็นว่าเธอทำงานนี้ได้” เซียวจิ่งสือยังคิดจะอธิบายแบบเอาสีข้างเข้าถูกับหลินหว่าน
“คุณไม่รู้สึกว่าการบริหารบริษัทจนเป็นแบบตอนนี้ คุณก็ควรจะทบทวนตัวเองบ้างหรือคะ?” หลินหว่านพูด
“ผมก็ไม่รู้ว่าพักนี้บริษัทเป็นอะไรไป ผมพบว่าตอนนี้พวกพนักงานทำงานกันไม่ได้เรื่องเลย ผมนั่งอยู่ที่ห้องทำงานทุกวัน อ่านเอกสารพวกนั้นอย่างตั้งใจแล้วนา”
——
[1] แจกันดอกไม้ ใช้เป็นคำเปรียบเปรยว่าเป็นเพียงไม้ประดับ ดูสวยแต่ไม่มีประโยชน์ ทำอะไรไม่ได้