รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 272 หวิดล้มละลาย
ตอนนี้บ้านตระกูลอันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่มีใครยอมเสนอตัวมาช่วยพวกเขาหรอก ข้อเสนอของอี้อวิ๋นฉังเป็นเหมือนฝนยามแล้ง อันจี๋อวี่ย่อมจะไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
ดังนั้น พออี้อวิ๋นฉังพูดเสนอขึ้น อันจี๋อวี่ย่อมตอบรับทันที
“อย่างนั้นก็ขอให้ความร่วมมือเป็นไปด้วยดีค่ะ” อี้อวิ๋นฉังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอันจี๋อวี่นัก บ้านตระกูลอันในตอนนี้ตกต่ำลงแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอหมดทางจริงๆ คงไม่ยอมร่วมมือกับอันจี๋อวี่แน่
ดังนั้น แม้แต่คำอวยพรให้ความร่วมมือเป็นไปด้วยดีก็ยังใช้น้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจนัก อันจี๋อวี่โมโหอยู่บ้าง แต่พอนึกถึงสภาพของบ้านตระกูลอันตอนนี้แล้วก็ได้แต่กัดฟันข่มกลั้นเอาไว้ ตอนนี้บ้านตระกูลอันต้องการความช่วยเหลือจากอี้อวิ๋นฉัง
รอให้ได้สิทธิประโยชน์ซะก่อนเถอะ…
อันจี๋อวี่หรี่ตามองตามเงาหลังอี้อวิ๋นฉังที่พอเสร็จการเจรจากับเขาก็จากไปโดยไม่มีทีท่าเกรงอกเกรงใจเขาเลยสักนิด แค่นเสียงเย็นชาออกมา
ส่วนอี้อวิ๋นฉังพอเจรจาความร่วมมือกับอันจี๋อวี่เสร็จ ก็ตรงกลับที่พักทันที ตอนนี้แม้ว่าเธอจะร่วมมือกับบ้านตระกูลอัน แต่จะล้มอันจี๋ถิงลงได้นั้นยังอีกห่างไกลนัก สิ่งสำคัญสุดคือเธอยังมีข่าวฉาวเป็นชนักติดหลังอยู่ ถ้าหากไม่ลบล้างข้อครหา ก็อย่าหวังว่าเธอจะปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนได้อีก
พอนึกถึงตรงนี้ อี้อวิ๋นฉังก็โมโหจนกวาดข้าวของตกแต่งที่อยู่ข้างกายลงกับพื้นไปหลายชิ้น จากนั้นโทรหาบ้านตระกูลอันเพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
ด้วยกำลังเธอเพียงลำพังจะกำจัดข่าวพวกนี้ออกจากยากลำบากอยู่บ้าง แต่บ้านตระกูลอี้คิดจะปิดข่าวสักหลายข่าวกลับเป็นเรื่องง่ายดายมาก อีกทั้งข่าวพวกนี้ก็เล่นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ความสนใจจึงลดลงไปมากแล้ว
“เรื่องของตัวเองต้องให้ฉันมาตามเช็ดตามล้างให้” ขณะที่อี้อวิ๋นฉังคิดอยู่นั้น คนของบ้านตระกูลอันก็เอ่ยปาก…พ่อเธอเอง
น้ำเสียงพ่อของอี้อวิ๋นฉังไม่ดีนัก อี้อวิ๋นฉังเองก็โมโหอยู่บ้าง ดูซิอันจี๋ถิงทำเพื่อหลินหว่านได้ตั้งมากมาย แต่ดูพ่อของเธอนี่สิ
เธอก็แค่ให้เขาช่วยทำให้ข่าวเงียบลงเท่านั้น ถึงกับต้องมาพูดจาถากถางกันด้วย อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงขุ่น “งั้นพ่อจะช่วยหรือไม่ช่วยกันแน่? ไม่ช่วยก็บอกมาได้เลยค่ะ อย่างมากหนูก็หาคนอื่นมาช่วย!”
พูดจบ อี้อวิ๋นฉังก็นิ่งเงียบไป ไม่พูดอะไรอีก ฝ่ายพ่อของเธอก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน ชั่วครู่หนึ่งเขาจึงแค่นเสียงเย็นชาว่า “คราวหน้าถ้ามีเรื่องแบบนี้อีกอย่ามาหาฉัน เรื่องยุ่งที่ตัวเองก่อขึ้นก็แก้เอง ต่อให้หาฉันก็ไม่มีประโยชน์ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
พูดจบพ่อเธอก็วางสายไปเลย ท่ามกลางเสียงกัดฟันกรอดของอี้อวิ๋นฉัง เธอโกรธจนเขวี้ยงมือถือออกไป อย่างไม่อยากเห็นมันอีก
พ่อของอี้อวิ๋นฉันนับว่ายังมีความสามารถพอตัว หลังอี้อวิ๋นฉังขอให้เขาทำให้ข่าวเงียบลงไม่นานนักคำวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงค่ำก็ลดลงไปไม่น้อย โดยทั่วไปถ้ามีคนโพสต์ข้อความก็จะถูกบล็อกไว้โดยไม่ทราบสาเหตุ
ในสังคมออนไลน์ล้วนแต่เป็นพวกท่องเน็ตวิจารณ์กันทั้งนั้น อยู่ว่างๆ ลุกขึ้นมาด่าใครสักคน ก็เป็นเพราะการแสดงความคิดเห็นบนเน็ตไม่มีข้อจำกัดไม่ต้องกลัวว่าคำพูดคำสองคำจะเกิดปัญหาอะไร
ดังนั้นเอง หลังจากการพูดวิจารณ์อี้อวิ๋นฉังถูกบล็อก พวกท่องเน็ตวิจารณ์ก้ขี้เกียจจะเสียแรงตามไปด่าอีก คำวิจารณ์อี้อวิ๋นฉังเรื่องวางก้ามเป็นซุปตาร์รุ่นใหญ่จึงหายไปจากสังคมออนไลน์
จากนั้นก็ค่อยๆ มีข่าวของดารารุ่นเล็กอื่นๆ ที่กำลังเป็นที่สนใจเข้ามาแทนที่ เรื่องของอี้อวิ๋นฉังจึงถูกคนหลงลืมไป ไม่มีใครมาวิจารณ์ด่าว่าเธออีก
อี้อวิ๋นฉังเห็นแล้ว ความรู้สึกไม่พอใจก็ดีขึ้นมาอีกหลายขุมในที่สุด เธอโทรไปบ้านตระกูลอี้กล่าวขอบคุณพ่อของเธอ
“อย่าทำเรื่องพวกนี้ออกมาให้ฉันต้องยุ่งด้วยก็พอแล้ว คำขอบคุณน่ะไม่ต้องหรอก” น้ำเสียงพ่อของอี้อวิ๋นฉังยังไม่ดีนัก เรื่องที่อี้อวิ๋นฉังกลายเป็นข่าวฮอตครั้งนี้เผยแพร่ออกไป ทำให้เขาไม่พอใจลูกสาวอยู่บ้าง
ถึงยังไงซะการวางก้ามใหญ่โตด่าผู้คนพวกนี้ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องดีเด่อะไร
อี้อวิ๋นฉังถูกพ่อดักคอมาแบบนี้ก็หมดอารมณ์จะคุยต่อ เธอพูดต่ออีกไม่กี่คำก็วางสายไป
……
“ท่านประธาน คราวนี้ความลับบริษัทรั่วไหลออกไปตั้งเยอะ หุ้นบริษัทตกฮวบฮาบหนักเอาการอยู่นา”
ภายในวั่นหย่ากรุ๊ป ผู้ช่วยถือโน๊ตบุ๊กมาหาเซียวจิ่งสือด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ระยะนี้ไม่รู้ว่าทำไม บริษัทคู่แข่งมักจะรู้ความลับของบริษัทพวกเขาอยู่เรื่อย
ทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้พวกที่รู้ก็มีแต่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท แต่บริษัทคู่แข่งกลับขุดออกมาจนได้ ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยว่าในบริษัทมีหนอนบ่อนไส้
สำหรับเรื่องนี้ เซียวจิ่งสือย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เขายิ่งรู้ด้วยว่าเรื่องพวกนี้ทำไมจึงถูกคนอื่นรู้ คิดว่าช่วงเวลาที่เขาถูกอี้อวิ๋นฉังพาตัวไปนั้นฮั่วเทียนอวี่คงได้ทราบเรื่องไปไม่น้อย
พอนึกถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก็ยิ้มเหยียดทีหนึ่ง แล้วหันไปเลิกคิ้วกับผู้ช่วย “นายออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันดูเอง”
พอได้ยินดังนั้น ผู้ช่วยก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก ถึงยังไงบริษัทก็เป็นของเซียวจิ่งสือ เขาแค่ผู้ช่วยตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะพูดอะไรได้ แต่ว่าถ้าหวั่นหย่าเกิดล้มไปจริงๆ เขาก็ต้องหางานทำใหม่เท่านั้น
ผู้ช่วยทอดถอนใจออกไปจากห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ ปล่อยเขาไว้ในห้องทำงานตามลำพัง
เซียวจิ่งสือมองดูเขาออกไป คิดดูแล้วหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาหลินหว่าน
พักนี้หลินหว่านทำสงครามเย็นกับเขา ตอนนี้เขาย่ำแย่ขนาดนี้ ย่อมก้มหัวไปขอความสงสาร เชื่อว่าหลินหว่านต้องยอมช่วยเขาโดยไม่คำนึงถึงความผิดครั้งเก่าแน่
หลินหว่านที่ปลายสายอีกด้าน รับสายอย่างเร็ว ถามด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบว่า “มีอะไรคะ?”
เซียวจิ่งสืออ้าปาก กำลังจะพูดออกมา เสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้นอีกครั้ง หลินหว่านเป็นคนรู้งาน ในเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของอีกฝ่ายชัดเจนขนาดนี้ เธอจึงเงียบเสียงไป
เซียวจิ่งสือเดือดปุด พูดเสียงห้วนอย่างไม่พอใจนักว่า “เข้ามา”
คนเคาะประตูเป็นเลขาของเขา เลขาผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ พอเห็นหน้าบูดบึ้งของเซียวจิ่งสือก็หนาวเยือกขึ้นมา พูดอึกอักเล่าถึงสาเหตุที่เขาเข้ามา
“ท่านประธาน มีตั้งหลายบริษัทขอยกเลิกสัญญากับพวกเราแล้วนะครับ” ความลับบริษัทถูกเปิดออกมาหมด คนอื่นเขาก็ไม่ใช่พี่น้องยอมตายแทนกันได้ของเซียวจิ่งสือซะหน่อย ย่อมจะไม่อยู่ช่วยกันยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา
เซียวจิ่งสือเข้าใจหลักเหตุผลนี้ดี การที่มีคนจำนวนมากขอยกเลิกสัญญาจึงเป็นเรื่องที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว
พอเห็นท่าทางอยากจะพูดแต่ยับยั้งชั่งใจไว้ของเลขา เซียวจิ่งสือก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
พอได้ยินดังนั้น เลขาก็มองเซียวจิ่งสือ แล้วพูดอย่างระวังว่า “ไม่ทราบทำไมบริษัทคู่แข่งถึงได้รู้ความลับของบริษัทเรามากขนาดนี้ ตอนนี้มีหลายบริษัทขอยกเลิกสัญญาแล้ว และหุ้นบริษัทเราก็ร่วงแล้วร่วงอีก ถ้าหาสัญญาความร่วมมือไม่ได้ บริษัทเราอาจถึงกับล้มละลายได้นะครับ”
เซียวจิ่งสือเลิกคิ้วมองมาทางเลขา ที่เขาพูดมาก็ถูก แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ถึงกับไม่มีทางออกซะทีเดียว ถ้าจะหาบริษัทมาทำความร่วมมือ ด้วยเส้นสายคนรู้จักของเซียวจิ่งสือก็น่าจะหาได้ แต่ว่า…
เซียวจิ่งสือกวาดตามองมือถือ เขาหรุบตาลงทำท่ากลุ้มใจ พูดว่า “ผมรู้แล้ว คุณออกไปก่อน ผมจะลองคิดหาทางดู”
บริษัทเป็นของเซียวจิ่งสือ ตอนนี้ประธานกรรมการบริษัทเหมือนตั้งขึ้นมาลอยๆ เซียวจิ่งสือต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจในการบริหารสูงสุด เลขาก็ได้แต่พูดไม่อาจทำอะไรได้
วั่นหย่ายิ่งใหญ่มาได้หลายปีขนาดนี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้จะสามารถผ่านวิกฤตไปได้ เลขาก็ไม่โง่พอที่จะล่วงเกินเซียวจิ่งสือในตอนนี้ จึงได้แต่รับคำแล้วออกจากห้องไป