วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 375 จดหมายจากฉีเกอ
“ฮูหยินสี่ตกเลือดมากยิ่ง ข้าได้ช่วยสุดความสามารถแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยิน มือที่ถือไม้เท้าอยู่ถึงกับสั่นระริก
คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่เต็มห้อง แต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากสักคำ ต่างเงียบประดุจตายแล้วกระนั้น
นายท่านสี่สกุลหลัวพุ่งเข้ามาในห้อง เวลาแค่เพียงสั้นๆ แต่ใต้คางกลับมีเคราครึ้มปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่งแล้ว
“ฮูหยินข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
จี้เหนียงจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากมีท่านหมอที่เชี่ยวชาญในการฝังเข็ม ใช้การฝังเข็มหยุดเลือดไว้ชั่วคราวบางทีอาการอาจทุเลาลงบ้าง แล้วค่อยหาวิธีทำให้เลือดแข็งตัวเจ้าค่ะ”
ที่นางลังเลเพราะหมอที่เชี่ยวชาญในการฝังเข็มนั้นส่วนมากมักเป็นบุรุษ ทว่าจุดฝังเข็มหลายจุดในการหยุดเลือดหลังคลอดนั้นมักเป็นส่วนที่อยู่ในร่มผ้า หากฮูหยินสี่ผ่านอันตรายครานี้ไปได้ก็ไม่แน่ว่าภายหน้าอาจจะถูกแม่สามีและสามีรังเกียจ บางตระกูลยอมกระทั่งให้คนตายไปเช่นนี้เพียงเพื่อรักษาความบริสุทธิ์นั้นเอาไว้
นายท่านสี่เพียงอึ้งงันไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ ลูกจะไปเชิญหมอหลวงสวีเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ในสำนักแพทย์หลวงหากพูดถึงโรคเจ็บป่วยสารพัดต้องนึกถึงหมอหลวงจาง แต่หากพูดถึงการฝังเข็มคงไม่มีผู้ใดแล้วนอกจากหมอหลวงสวี
“เจ้าสี่ เจ้าอย่าได้ไปเชิญส่งเดช ให้ต้าหลังไปเชิญมาเถิด”
หมอหลวงสวีมิใช่หมอหลวงธรรมดา ไม่แน่ว่าเวลานี้อาจจะถูกผู้อื่นเชิญไปแล้วก็ได้ แต่หากหลัวเทียนเฉิงออกหน้าย่อมมีโอกาสมากกว่าแน่
นายท่านสี่เข้าใจเหตุผลนี้ดีจึงพยักหน้ารับ แล้วกลับไปเฝ้านางชีเช่นเดิม
นางชีหน้าซีดเผือดยิ่ง ยังมิถึงเดือนสองแต่เหงื่อกลับออกเต็มหน้าผาก
“ท่านพี่ ครั้งนี้ข้าเกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว”
“เหลวไหล ข้าอยู่ทั้งคนจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอันใดเด็ดขาด”
นางชีส่ายหน้า “เป็นตายฟ้าลิขิต หากร่างกายนี้ของข้าทนไม่ไหวจริงก็คงเป็นลิขิตสวรรค์ ท่านพี่ ท่านมิจำเป็นต้องตำหนิตนเองเลย สงสารก็แต่บุตรสาวที่เพิ่งคลอดกับเจ้าหก…”
“ซีเหนียง!” นายท่านสี่ได้แต่เศร้าสร้อยอยู่ในใจ เขาลูบมือนางชีไปมา “ไม่มีทาง เราแยกจากกันตั้งหลายปี ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบกันอีก วันคืนแห่งความสุขยังอีกยาวไกลนัก”
“ท่านพี่” สายตานางชีอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน “ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน”
“เจ้าพูดมาเถิด”
นางชีค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น แล้วจ้องมองนายท่านสี่นิ่ง “ท่านพี่ หลังจากที่ท่านหลายตัวไป ข้ารอท่านมาหกปี หากข้ามิอาจรอดพ้นอันตรายครานี้ไปได้ ข้าขอให้ท่านรออีกสักหกปีค่อยแต่งภรรยาใหม่เข้าจวนได้หรือไม่”
นางรู้ดีว่าการขอร้องเช่นนี้ช่างไร้เหตุผลยิ่ง แต่นางจนหนทางจริงๆ เจ้าหกยังเล็กนัก บุตรสาวก็เกิดได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น หากภรรยาใหม่ที่แต่งเข้ามาคิดจะข่มเหงรังแกเด็กน้อยสองคนให้ตายไปนั้นง่ายเสียยิ่ง แล้วนางจะวางใจได้อย่างไร จึงทำได้เพียงใช้ความรักฉันสามีภรรยาบีบบังคับให้เขาสัญญากับนาง
“ท่านพี่…” นางเอ่ยเร่งเร้า
นายท่านสี่มิอยากไปคิดถึงผลลัพธ์นั้น แต่เขาก็รู้ว่าความตายเป็นเรื่องที่เรามิอาจไปห้ามได้ เพื่อให้นางชีวางใจ เขาจึงกุมมือนางแน่นแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่แต่งภรรยาใหม่เด็ดขาด”
ภายใต้เหตุบังเอิญทั้งหมดนี้เองทำให้เขามีภรรยาถึงสองคน เขาไม่อยากจะดึงสตรีอื่นเข้ามาอยู่ในวังวนนี้อีกแล้วจริงๆ
นางชีเบิกตากลมโตอย่างคาดไม่ถึง แล้วส่ายหน้าทันที “ท่านพี่ อย่าพูดเช่นนี้ ท่านต้องมีใครสักคนคอยช่วยดูแลเรือนหลัง อีกทั้งการหมั้นหมายในภายหน้าของบุตรสาว บุตรชายอีก”
“ซีเหนียง เจ้ารู้ดีว่าเรื่องที่ข้าตัดสินใจไปแล้วย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
นางชีหลับตาลงแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ท่านพี่ หากข้าจากไปแล้ว ท่านก็ยังมิได้แต่งภรรยาใหม่ ขอให้นำบุตรชายบุตรสาวของเราไปไว้กับฮูหยินผู้เฒ่าเถิด หากท่านอายุมากแล้วดูไม่ไหวก็ขอให้หลานสะใภ้ใหญ่ดูแทนเถิด”
เอ่ยถึงตรงนี้นางชีก็ยิ้มออกมา “เด็กผู้นั้นเป็นคนดียิ่ง”
ท่านพี่ไม่แต่งภรรยาใหม่ แต่ยามนี้มีหูอี๋เหนียงที่ฐานะพิเศษกว่าผู้ใดอยู่ นางจะวางใจได้อย่างไรเล่า
สวรรค์ เหตุใดจึงต้องให้นางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่จะถอยกลับมิได้ เดินต่อไปก็มิได้เช่นนี้ด้วยเล่า
“ได้ ข้าเชื่อเจ้าทุกอย่าง”
นายท่านสี่ก้มหน้าต่ำ ใบหน้าแนบติดกับหลังมือสรีสกุลชี ทำเอามือนางเปียกชื้นเป็นวง
หลัวเทียนเฉิงคว้าจับหมอหลวงสวีได้ก็รีบเร่งรุดกลับมาดุจพายุ
กระทั่งหมอหลวงสวีเดินเข้าไปในเรือนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยถามว่า “เหตุใดสีหน้าท่านหมอหลวงสวีจึงมิใคร่ดีนักเล่า”
ครั้นเจอตัวก็คว้าเขาขึ้นหลังมาทะยานดุจบินได้มาทันที สีหน้าท่านหมอยังจะดูดีได้อีกหรือ
หลัวเทียนเฉิงคิดอยู่ในใจแต่ยังคงสีหน้าเรียบเฉยไว้ “อาจเพราะเส้นทางขรุขระไปหน่อยกระมัง”
เขาพาไปดึงตัวคนมาจากจวนอานจวิ้นอ๋อง คิดว่าคงได้ต้องขออภัยในภายหลังแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ท่ามกลางสายตาเฝ้ารอของคนทั้งหลาย ในที่สุดหมอหลวงสวีก็เดินออกมาเสียที
“หมอหลวงสวี เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้ห้ามเลือดได้ชั่วคราวแล้ว แต่จะห้ามได้เพียงสามวัน ทุกสามวันต้องมาฝังเข็มใหม่ แต่หลังจากครบสามครั้งแล้วยาก็จะหมดฤทธิ์ทันที ข้าดูรายการเทียบยาที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวนั้นแล้ว ไม่มีปัญหาใด ต้มมาให้ฮูหยินกินก่อนเถิดว่าจะมีอาการดีขึ้นหรือไม่”
ความหมายคือต้องฟังลิขิตจากสวรรค์แล้ว สาเหตุของการตกเลือดหลังคลอดนั้นซับซ้อนยิ่ง เป็นประตูผีอีกบานหลังการคลอดบุตรของสตรีเลยทีเดียว
ใจของนายท่านสี่ค่อยๆ สิ้นหวังลงทุกที รอกระทั่งหมอหลวงสวีไปแล้ว เขาจึงเดินกลับมาที่หน้าประตูห้องของนางชีอย่างคนไร้วิญญาณ
“ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง”
“หลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
เขาหยุดฝีเท้าแล้วค่อยๆ หมุนกายกลับไปยังเรือนตน
ด้านนอกยังคงเหน็บหนาว ต้นเหมยหลายต้นต่างไร้ใบ แต่ดอกของมันยังคงผลิบาน
นายท่านสี่ยืนอยู่ใต้ต้นเหมยอยู่นาน กลีบดอกเหมยร่วงหล่นลงบนบ่าของเขา กายเขาอาบไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยแต่คนกลับยิ่งดูโดดเดี่ยวสิ้นหวัง
เสื้อคลุมหนังหมาป่าถูกวางลงบนบ่าเขา “ท่านพี่ ระวังจะหนาวจนไม่สบายนะเจ้าคะ”
นายท่านสี่หมุนกายกลับไปด้วยความแปลกใจ “เหมยเหนียง เจ้ามาได้อย่างไร”
หูอี๋เหนียงกัดริมฝีปากตนด้วยความน้อยใจ ในดวงตามีคลื่นลูกหนึ่งซัดสาดอยู่ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยบอกว่า หากไม่มีเรื่องใดก็ให้คนในเรือนข้าออกไปข้างนอกให้น้อยหน่อย หรือนั่นรวมถึงข้าด้วย”
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” นายท่านหลัวเอ่ยเสียงเรียบประโยคหนึ่งอย่างสิ้นความสนใจ
แม้ท่าทีเขาจะดูเช็นชาแต่หูอี๋เหนียงกลับรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสวรรค์จะยืนข้างนางให้นางชีตกเลือดเช่นนี้!
การตกเลือดครั้งนี้รุนแรงนัก หากนางชีไม่อยู่แล้ว เรือนสี่แห่งนี้…นางจะคิดวิธีเอามาไว้ในมือให้ได้!
“ข้าได้ยินว่าฮูหยินตกเลือดหลังคลอดทำให้นึกถึงตอนที่ข้าคลอดจางเกอ ข้าไม่วางใจจึงมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
หูอี๋เหนียงเอ่ยเช่นนี้เพราะอยากให้นายท่านสี่จำได้ว่านางเองก็เคยเผชิญอันตรายนี้มาก่อน เมื่อนึกได้ย่อมต้องเกิดความสงสารนางขึ้นมาบ้างสักหลายส่วน
นายท่านสี่ได้ฟังแล้วก็ตกตะลึงไป พลันดวงตากลับเกิดประกายวาบขึ้น เขาจับข้อมือหูอี๋เหนียงไว้ “เหมยเหนียง ตอนที่เจ้าตกเลือดหลังคลอดนั้นมีท่านหมอเท้าเปลือยผู้หนึ่งใช้วิถีพื้นบ้านรักษาเจ้าจนหายดี ตอนนั้นข้าบอกให้ใช้เงินซื้อวิธีรักษาจากเขามิใช่หรือ”
เมื่อได้ฟังวาจานี้หูอี๋เหนียงก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที ทว่าเมื่ออยู่ในการจับจ้องของนายท่านสี่นางจึงได้แต่ตอบว่า “ท่านพี่ลืมแล้วหรือ ตอนนั้นท่านหมอบอกว่าเป็นความลับที่บรรพบุรุษตกทอดกันมา เป็นตายอย่างไรก็ไม่ขาย ข้าบอกแก่ท่านตั้งแต่ตอนนั้นแล้วมิใช่หรือ”
นายท่านสี่ทบทวนความทรงจำอย่างละเอียดอีกครา ตอนนั้นเขากำลังพูดคุยการค้าสำคัญอยู่ เดิมก็ล่าช้าไปเพราะหูอี๋เหนียงอาการไม่ใคร่สู้ดีนัก รอกระทั่งนางเริ่มดีขึ้นเขาจึงเอ่ยปากบอกเพียงคำแล้วรีบไปคุยการค้านั้น ภายหลังหูอี๋เหนียงก็มิได้เอ่ยถึงเขาจึงปล่อยเลยตามเลย
นายท่านสี่หมุนกายเดินจากไปทันที
“เอ๊ะ ท่านพี่ ท่านจะไปที่ใด…”
นายท่านสี่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เพียงเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าจะกลับเป่าหลิงไปเชิญท่านหมอเท้าเปลือย…”
วาจายังเอ่ยมิทันจบแคนก็จากไปไกลแล้ว
หูอี๋เหนียงยืนกัดริมฝีปากอยู่ข้างต้นเหมย ทั้งดึงทึ้งดอกเหมยลงมาหลายดอก นางใช้มืออันขาวราวหิมะนั้นบดขยี้จนเละ โยนลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ซ้ำจึงค่อยหมุนกายกลับเรือนไป
หลังจากไล่คนรับใช้ออกไปจากห้องหมดแล้ว นางก็นั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งครู่หนึ่งจึงยืนมือออกเปิดลิ้นชักชั้นสุดท้ายแล้วหยิบกล่องใบเล็กขนาดเท่าฝ่ามือที่ลงสลักไว้อย่างดีออกมา
กล่องใบเล็กน้อยสลักลายดอกบัวเอาไว้อย่างประณีต ไม่ทราบว่านางหยิบกุญแจดอกเล็กมาจากที่ใด เมื่อสอดมันเข้าไปในรูสลัก เพียงเสียงแกร๊กดังขึ้น มันก็ถูกเปิดออกทันที
บนผ้ากำมะหยี่สีแดงสดมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับไว้อย่างดีวางอยู่ กระดาษนั้นเริ่มมีสีเหลืองซีดเล็กน้อยแล้ว
นางเปิดออกแล้วจดจำสิ่งที่อยู่ในนั้นอย่างจริงจัง กระทั่งแสงเริ่มมืดสลัวนางจึงกำกระดาษเป็นก้อนกลม นางลุกไปยืนหน้าโคมไฟ เปิดที่ครอบโคมออกแล้วยื่นมือออกไป เปลวไฟพลันกลืนกินกระดาษที่เริ่มซีดเหลืองนั้นไปในพริบตา
เปลวไฟเต้นระริกส่องสะท้อนให้ใบหน้าหูอี๋เหนียงประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด กระทั่งกระดาษแผ่นนั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน นางจึงยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายที่สุด
นางเป็นบุตรสาวของพ่อค้าวาณิช บิดาสอนนางมาตั้งแต่เยาว์วัยว่าไม่มีอันใดในโลกนี้ที่ซื้อมิได้ มีแค่จ่ายไม่มากพอเท่านั้น!
เคล็ดลับการรักษาโรคนี้นางใช้เงินจำนวนที่ไม่มีผู้ใดนึกถึงได้ซื้อมา ตอนนี้นางจำได้หมดแล้ว แต่เกรงว่ายามนี้หมอเท้าเปลือยคงหอบเงินก้อนใหญ่กลับบ้านเกิดตนไปแล้วกระมัง
ไม่ว่าอย่างไร หากท่านพี่คิดจะตามคนกลับมาภายในสิบวันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้แน่
ครั้นนายท่านสี่สกุลหลัวออกเดินทางไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็พาคุณชายหกและหลานสาวตัวน้อยที่เพิ่งเกิดมาไปไว้ที่เรือนอี๋อานทันที คุณชายเจ็ดที่มักมีคุณชายหกคอยเล่นด้วยอยู่เสมอไม่มีเพื่อนเล่นจึงเอาแต่งงอแงไม่หยุดทำให้หูอี๋เหนียงปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง ครั้นเมื่อคิดว่านายท่านสี่ยอมเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อเร่งไปที่เป่าหลิงเพื่อนางชีและนางเองเป็นผู้พูดให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ยิ่งอารมณ์ดี
วันนี้นางได้ยินว่ามีคนมาจากเป่าหลิงก็ตกใจยกใหญ่ “ไม่กี่วันเท่านั้น ท่านพี่กลับมาเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
แม่นมคนสนิทยิ้มแก้มปริ “ไท่ไท่ คนที่มาคือแม่นมจางเจ้าค่ะ ท่านบอกเองมิใช่หรือว่าหากพ้นปีใหม่ไปแล้วให้ส่งคนไปรับคุณชายรองกับแม่นมจาง”
หูอี๋เหนียงลุกขึ้นยืนทันที “ฉีเกอมาแล้วหรือ”
แม่นมคนสนิทหุบยิ้มโดยพลัน “คุณชายรองมิได้มาเจ้าค่ะ แต่ส่งจดหมายมาให้ท่านแทน”
หูอี๋เหนียงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ฉีเกอไม่มา แล้วเจ้าดีใจอันใดกัน”
“โอ๊ย ไท่ไท่แสนซื่อของข้า คุณชายรองตั้งใจอ่านตำรา ภายหน้าจะต้องมาสอบเมืองหลวงแน่ แล้วจะลืมท่านได้อย่างไรเจ้าคะ แม่นมจางมานั้นแลจึงเป็นเรื่องที่ดียิ่ง นางเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องการบำรุงร่างกายของสตรี ทั้งยังเชื่อถือได้ ต่อไปท่านก็มิต้องกังวลว่าคุณชายจะไม่มีเพื่อนเล่นแล้วอย่างไรเจ้าคะ”
หูอี๋เหนียงพลันเปลี่ยนจากความกังวลเป็นยินดี นางกำชับว่า “เตรียมการรับรองไว้แล้วใช่หรือไม่ รีบไปพาคนเข้ามาเร็วเข้า”
ผ่านไปไม่นานแม่นมคนสนิทก็กลับมา ทั้งรายงานว่า “ได้จัดเตรียมห้องพักรับรองไว้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ให้สาวใช้พาแม่นมจางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเจ้าค่ะ”
หูอี๋เหนียงพยักหน้า “แม่นมจางอายุมากแล้ว เดินไม่ค่อยสะดวก เดิมคิดว่าจะให้นางพักรักษาตัวอยู่ที่เป่าหลิง คิดไม่ถึงว่านางจะมาช่วยในยามที่ข้าตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบากเช่นนี้อีก ให้นางพักผ่อนสักสองสามวันก่อนก็ได้”
อย่างไรเสียนางชีก็เป็นถึงเพียงนั้นแล้ว หากนางชีจากไปจริงๆ เกรงว่านางคงรีบร้อนอันใดไปไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี้
“จดหมายของฉีเกอเล่า รีบเอามาให้ข้าเร็ว”
แม่นมคนสนิทรีบเอาจดหมายมามอบให้
หูอี๋เหนียงยิ้มไม่หยุดทั้งตาทั้งปาก นางเปิดจดหมายออกอ่านอย่างระมัดระวัง พลันรอยยิ้มกลับแข็งค้าง มืออ่อนแรง จดหมายร่วงตกลงพื้น คนทั้งคนคล้ายลืมตามเก็บวิญญาณที่ทำหายไปกระนั้น
แม่นมคนสนิทรีบก้มลงเก็บทันที นางชำเลืองมองอย่างรวดเร็วคราหนึ่งแต่ก็ต้องอึ้งงันไป