วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 377 ความสำนึกรู้ของหูอี๋เหนียง
ผ่านไปอีกหลายวัน นายท่านสี่กุลหลัวก็เร่งรุดกลับมาทั้งที่ฝุ่นเต็มกาย เขากระโดดลงจากหลังม้าหน้าจวนจั๋วกง แล้วสะดุดล้มลงกับพื้น ทำเอาบ่าวผู้เฝ้าประตูตกใจยกใหญ่จึงรีบเข้ามาประคองเขาขึ้น “นายท่านสี่ ท่านเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ”
นายท่านสี่เหลือบดวงตาที่แดงก่ำนั้นขึ้นพิจารณาบ่าวผู้เฝ้าประตูคราหนึ่งแล้ว ผ่อนลมหายใจออกมา เสียงอันแหบพร่านั้นเอ่ยขึ้นว่า “พาข้าไปที่เรือนอวี้หยวนที!”
“นายท่านสี่กลับมาแล้ว…”
อาการของนางชีนับวันยิ่งแย่ลง ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นกังวลยิ่ง เดิมนางก็เฝ้าอยู่ที่เรือนอวี้หยวนอยู่แล้ว เมื่อเห็นนายท่านสี่กลับมาจึงถามว่า “คนผู้นั้นที่เจ้าพูดถึงกลับมาด้วยหรือไม่”
สีหน้านายท่านสี่สลดลง เขาส่ายหน้า แล้วเอ่ยเสียงแหบแห้งว่า “ข้าจะไปดูซีเหนียงสักหน่อย”
เรือนกลางของเรือนอวี้หยวนอัดแน่นไปด้วยผู้คนจากเรือนต่างๆ ที่มาเยี่ยม ไม่ทราบว่าหูอี๋เหนียงปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด นางจ้องมองสภาพอันดูไม่ได้ของนายท่านสี่นิ่ง แววตาล้ำลึกยากคาดเดา
กระทั่งคนแยกตัวกลับหมดแล้ว นายท่านสี่จึงออกมาจากห้องนางชี เขาชะงักเท้าคราหนึ่งแล้วมุ่งหน้าไปที่เรือนฝั่งตะวันตก
หากเป็นเมื่อก่อน แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าเขา หูอี๋เหนียงก็รีบวิ่งมาต้อนรับพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มแห่งความยินดี แต่วันนี้ทุกอย่างกลับเงียบสงัดยิ่ง
นายท่านสี่กำลังตึงเครียดจึงมิได้ใส่ใจความผิดปรกตินี้ เขาถามอาซิ่งที่ยืนเฝ้าหน้าประตูว่า “อี๋เหนียงอยู่หรือไม่”
อาซิ่งก้มหน้าเอ่ยตอบว่า “ไท่…อี๋เหนียงพาคุณชายเจ็ดไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้เจ้าค่ะ”
นายท่านสี่เม้มริมฝีปากแน่น แล้วก้าวเท้าออกไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
อากาศหนาวในเดือนสอง หิมะที่ปกคลุมยอดไม้และมุมกำแพงต่างยังไม่ละลาย มีเพียงต้นสนที่เขียวขจี ดอกเหมยที่แย้มบานรับความหนาว
เขาเห็นหูอี๋เหนียงที่สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวเดินอยู่มือจางเกอหยุดยืนอยู่ข้างต้นเหมยต้นหนึ่ง ด้านหลังมีสาวใช้ที่ชื่ออาเถาคอยเฝ้าปรนนิบัติ
นายท่านสี่เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว “เหมยเหนียง…”
ชื่อจริงของหูอี๋เหนียงมีคำว่าเหมย และตัวนางเองก็ชอบเหมยมากที่สุด นางจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนอยู่ที่เป่าหลิง ทุกครั้งที่ถึงฤดูดอกเหมยบาน คนผู้นี้จะไปเด็ดดอกเหมยมาปักใส่แจกันในห้องนอนของคนทั้งสองด้วยตนเอง
ในห้องมีแต่กลิ่นดอกเหมยและความรักกระจายไปทั่ว
เวลานี้เองนางจึงหันไปหาเขาด้วยหัวใจอันเหน็บหนาวที่โอบกอดความหวังอันน้อยนิดไว้ แต่กลับได้ยินเขาพูดว่า “ท่านหมอเท้าเปลือยกลับบ้านเกิดไปแล้ว เหมยเหนียง ปีนั้นเจ้ากินยาติดต่อกันเกือบเดือน เจ้าช่วยนึกดูสักหน่อยได้หรือไม่ว่ายานั่นมีส่วนผสมอันใดบ้าง”
หูอี๋เหนียงมองบุรุษที่มีสภาพน่าเวทนาตรงหน้า ความหวังเล็กๆ ในใจพลันมลายหายไป นางจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “อาเถา พาคุณชายเจ็ดเดินเล่นด้านหน้านั้นก่อน”
“เจ้าค่ะ” อาเถาย่อเข่าทำความเคารพแล้วอุ้มคุณชายเจ็ดไป “คุณชายเจ็ด บ่าวจะพาท่านไปเล่นที่ด้านหน้าโน้นนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่กับท่านพ่อ” คุณชายเจ็ดอยากจะให้นายท่านสี่อุ้ม แต่เขาคิดถึงแต่วิธีที่จะช่วยนางชีอยู่เต็มหัวใจ จึงละเลยจุดนี้ไป
หูอี๋เหนียงเจ็บปวดประหนึ่งถูกเข็มทิ่มต่ำ
อาเถาจึงรีบปลอบว่า “คุณชายเจ็ด ด้านหน้านี้เป็นศาลาหลิงอิน ไม่แน่ว่าคุณชายห้า คุณชายหกอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้นะเจ้าคะ”
ครั้นคุณชายเจ็ดได้ยินว่าคุณชายหกอาจอยู่ที่นั่น เขาก็พยักหน้าแล้วยื่นมือให้อาเถาอุ้มเดินไปทันที
กระทั่งคุณชายเจ็ดไปไกลแล้ว หูอี๋เหนียงจึงใช้แววตาอันสับสนมองนายท่านสี่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่กำลังเย้าข้าเล่นหรือไร อย่าว่าแต่เรื่องที่ผ่านมาแล้วหลายปีนั้นเลย ต่อให้เป็นปีนี้ข้าก็จำไม่ได้ คนเรากินไก่ยังต้องแยกให้ออกหรือว่าไข่นั้นมาจากแม่ไก่ตัวใด”
นายท่านสี่ถูกถามเช่นนี้ก็อึ้งงันไป แม้สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของหูอี๋เหนียงแต่กลับมิได้คิดอันใดมาก ยังคงจมอยู่กับความคิดของตน
เขาพลันนึกอันใดขึ้นมาได้จึงคว้าข้อมือหูอี๋เหนียงขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “เหมยเหนียง สาวใช้ที่คอยต้มยาให้เจ้าผู้นั้นเล่า ข้าจำได้ว่านางชื่ออาหลี่ใช่หรือไม่”
“อาหลี่? ปีนั้นจางเกอล้มป่วย แต่นางดูแลไม่ดีจึงได้ขายออกไปพร้อมกับแม่นมของจางเกอแล้วมิใช่หรือ”
หูอี๋เหนียงมองใบหน้าอันสิ้นหวังของนายท่านสี่แล้วกลับรู้สึกเบิกบานใจอยู่ลึกๆ
ความเบิกบานใจเช่นนี้ นางไม่อยากจะกักเก็บมันไว้สักนิดแต่นางอยากให้อีกฝ่ายรู้ด้วยซ้ำ เช่นนี้แล้วความเจ็บปวดในใจจึงจะลดทอนลงบ้างสักเล็กน้อย
นายท่านสี่ตั้งท่าจากไปอย่างคนไร้วิญญาณ แต่หูอี๋เหนียงกลับเรียกเขาไว้ “ท่านพี่ ข้ามีเรื่องอยากถามท่านสักหน่อย”
นายท่านสี่ยิ้มอย่างอ่อนล้า “เหมยเหนียง มีเรื่องอันใดค่อยถามคราวหน้าเถิด ข้าอยากจะไปดูฮูหยินสักหน่อย”
หูอี๋เหนียงยืนขวางตรงหน้าเขาไม่ขยับไปที่ใด
นายท่านสี่จึงเริ่มแปลกใจขึ้นมา “เหมยเหนียง?”
หูอี๋เหนียงย่นมือออกไปดึงถุงหอมที่ห้อยไว้ตรงเอว แล้วชูขึ้นสูง แขนเสื้อกว้างนั้นลื่นไหลลงมาเผยให้เห็นท่อนแขนขาวราวหิมะของนาง
ปลายนิ้วเรียวยาวห้อยไว้ด้วยถุงหอมสีสันงดงามประณีต กลิ่นหอมของมันลอยวนอยู่ที่ปลายจมูกนายท่านสี่ เขาพลันได้ยินนางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ท่านพี่ ข้าอยากถามท่านว่าถุงหอมนี้ท่านเป็นคนซื้อมาด้วยตนเองใช่หรือไม่”
นายท่านสี่จ้องถุงหอมนั้นโดยไม่พูดอันใดอยู่เป็นนาน สุดท้ายจึงพ่นออกมาคำหนึ่งว่า “ใช่”
ถุงหอมนั้นแกว่งชนกระทบฝ่ามือดุจหยกของนางไม่หยุด หูอี๋เหนียงกัดรีบฝีปากแน่นขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น ข้างในใส่สิ่งใดไว้ ท่านทราบหรือไม่”
ครานี้นายท่านสี่กลับนิ่งเงียบไปนานกว่าเดิม และเอ่ยออกมาในที่สุดว่า “ทราบ”
ทั้งที่นางคาดเดาคำตอบเช่นนี้ไว้แล้ว แต่เมื่อได้ฟังเขาพูดออกมาจากปากกลับเจ็บปวดเลือดเนื้อแหลกสลายคล้ายมีค้อนอันใหญ่ทุบลงบนหัวใจด้วยแรงมหาศาลกระนั้น
หูอี๋เหนียงมิอาจทนรับกับความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ได้ นางกุมหน้าอกตนแล้วค่อยๆ นั่งลง
“เหมยเหนียง…” นายท่านสี่รีบเข้าไปประคองแต่ถูกหูอี๋เหนียงสะบัดออกอย่างแรง
“อย่ามาถูกตัวข้า!” นางลุกขึ้นยืน หน้าอกกระเพื่อมไหวดุจคลื่นซัดสาด “ท่านพี่ ท่านมีสิทธิ์อันใดถึงทำกับข้าเช่นนี้ มีสิทธิ์อันใด ท่านพูดเองว่าแม้ข้าจะเป็นอนุแต่จะปฏิบัติกับข้าและจางเกออย่างดีที่สุดเช่นเดิม”
นางชูถุงหอมนั้นขึ้นสูงแล้วโยนมันลงกับพื้นอย่างแรง “นี้คือการปฏิบัติต่อข้าอย่างดีงั้นหรือ ท่านทำให้ข้ามิอาจมีบุตรได้อีก แล้วหากเป็นนางชีเล่า หากเป็นนางท่านจะใจร้ายทำเช่นนี้ได้ลงคอหรือไม่”
แววตาที่นายท่านสี่มองหูอี๋เหนียงมีทั้งความสงสาร เป็นห่วงและรู้สึกผิด แต่ครั้งนี้เขากลับมิได้ให้นางรอคำตอบนานเกินไป “หากเจ้ากับนางชีสับเปลี่ยนฐานะกัน ข้าก็จะทำเช่นนี้เหมือนเดิม”
“เพราะเหตุใด” หูอี๋เหนียงมึนงงอย่างที่สุด
“เพราะ…ข้าไม่อยากให้บุตรอนุเกิดขึ้นมาอีก ชีวิตของเขาถูกกับหนดให้ยากลำบากกว่าผู้อื่นตั้งแต่คลอดออกมา ข้าทำใจไม่ได้…”
หูอี๋เหนียงอึ้งงันไป
“เหมยเหนียง ตอนนี้เจ้ารู้แล้วก็นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน นี่คือความคิดที่แท้จริงของข้า ตอนนี้ ภายหน้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นอกจากเรื่องนี้แล้วข้าจะทำดีต่อเจ้ากับจางเกอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงแต่เจ้าต้องปฏิบัติตนอย่างที่อนุพึงกระทำเท่านั้น เหมยเหนียง เจ้าใจเย็นแล้วลองคิดใคร่ครวญให้ดีก่อนเถิด ข้าไปดูฮูหยินก่อนแล้ว” นายท่านสี่ตบไหล่หูอี๋เหนียงคราหนึ่ง แล้วเดินผ่านนางไปไม่แม้จะหันกลับมามอง
หูอี๋เหนียงกลับมิได้เดินตามนายท่านสี่ไป แต่ยังคงยืนอยู่ที่นั่นเป็นนานกระทั่งร่างกายเหน็บหนาวไปถึงกระดูกจึงมีสติคืนมา นางหมุนกายคิดกลับเรือน แต่ใจกลับเหน็บหนาวขึ้นมาจึงก้าวเท้ามุ่งหน้าไปหาคุณชายเจ็ด
นางได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กดังมาแต่ไกลจึงอดเร่งฝีเท้ามิได้ ครั้นเดินพ้นมุมหนึ่งของหุบเขาจำลองก็เห็นเด็กน้อยสองคนกำลังวิ่งหยอกล้อกับแมวสีขาวตัวอยู่บนพื้นที่โล่งเตียนไม่ไกลจากศาลาหลิงอิน
หูอี๋เหนียงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เหตุใดจางเกอต้องเล่นกับเจ้าเด็กนั่นด้วยเล่า
ยังมีแมวขาวนั่นอีก คล้ายว่าจะเป็นของนางเจิน สัตว์เดรัจฉานไว้ใจไม่ได้ หากข่วนจางเกอบาดเจ็บจะทำฉันใดเล่า
เมื่อความคิดเช่นนี้วูบผ่านเข้ามา นางก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น ทว่าทันใดนั้นร่างทั้งร่างกลับแข็งค้างไป
ทั้งที่เด็กน้อยสองคนที่กำลังเล่นกับแมวอย่างสนุกสนานอยู่แท้ๆ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด คุณชายเจ็ดกลับเก็บก้อนหินเล็กๆ ขึ้นมาโยนใส่หางของมัน
แมวขาวร้องโหยหวนเสียงดังขึ้นมาทันที มันร้องขู่คราหนึ่งแล้วหมุนตัวกระโจนเข้าใส่คุณชายเจ็ดทันที
ชั่วขณะนั้นสาวใช้ทั้งหลายต่างได้แต่ตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ รวมถึงหูอี๋เหนียงด้วย ทุกคนได้แต่ยืนอึ้งทำอันใดไม่ถูก
“จางเกอ!” หลังจากที่หูอี๋เหนียงอึ้งงันไปครู่หนึ่งนางก็มีสติคืนมาจึงรีบวิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
สาวใช้ทั้งหลายต่างรีบวิ่งเข้าหาดุจเพิ่งตื่นจากฝัน
ทว่ามันสายไปแล้ว แมวขาวนั้นพุ่งไปใกล้แล้ว แต่กลับเงาเล็กๆ สายหนึ่งกระโจนเข้ามาขวางตรงหน้าคุณชายเจ็ด แมวข่วนที่หลังของเขา เลือดไหลซึมเป็นทางยาว คุณชายหกกอดเอวคุณชายเจ็ดไว้แล้วล้มลงไปด้วยกัน ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของบรรดาสาวใช้
เด็กน้อยทั้งสองล้มทับกันกองลงกับพื้น ท่าทางน่าขบขันยิ่ง เพียงแต่รอยเลือดเป็นทางยาวบนหลังของคุณชายหกกลับทำให้สาวใช้ตกใจจนหน้าซีด
หูอี๋เหนียงเดินเข้าไปหา “จางเกอ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ อย่าทำให้แม่ตกใจเช่นนี้! เจ็บหรือไม่ เจ้าพูดสิ”
คุณชายเจ็ดตื่นจากภวังค์แห่งความตกใจ เขากะพริบตาปริบๆ “ไม่เจ็บ พี่ชายเป็นคนเจ็บ”
หูอี๋เหนียงอึ้งงันไปครู่หนึ่ง นางมองคุณชายหกแล้วรู้สึกสับสนยิ่ง สุดท้ายก็เรียกสติกลับมาได้ “มังยืนเหม่อลอยอันใดกันอีก รีบพาคุณชายหกกลับเรือน แล้วเชิญท่านหมอมาตรวจเร็วเข้า!”
สาวใช้ผู้หนึ่งอุ้มคุณชายหก ส่วนหูอี๋เหนียงก็อุ้มคุณชายเจ็ดแล้วไปที่เรือนอี๋อานด้วยกัน
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสภาพของคุณชายหกหน้าก็เปลี่ยนสีทันที จึงเอ่ยถามเขาขณะรอท่านหมอมาตรวจอาการ “เจ้าหก บอกย่าสิ เจ็บหรือไม่”
คุณชายหกคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับอย่างใสซื่อ “เจ็บขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองหูอี๋เหนียงคราหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามอีกว่า “หากเจ็บแล้วเหตุใดจึงไปยืนขวางหน้าเจ้าเจ็ดเล่า”
หากนางชีจากไปไม่หวนกลับ แล้วหูอี๋เหนียงหันมาเอ็นดูเจ้าหกจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เช่นนั้นการเจ็บตัวของเจ้าหกก็มิสูญเปล่าแล้ว
คุณชายหกยื่นมืออ้วนอวบของตนชี้ไปที่คุณชายเจ็ดแล้วเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังอย่างที่สุด “เขาเป็นน้อง ข้าเป็นพี่ พี่ต้องปกป้องน้อง มันคือเรื่องอันควรกระทำ”
“เด็กดีของย่า!” ฮูหยินผู้เฒ่ากอดคุณชายหกไว้ในอกด้วยความรักใคร่เอ็นดูอย่างที่สุด
“พี่หก ข้าช่วยเป่าให้ท่านดีหรือไม่” คุณชายเจ็ดขยับเข้ามาเอ่ยปากถาม
คุณชายหกปลีกตัวออกจากอกฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยกับคุณชายเจ็ดด้วยสีหน้ารังเกียจ “เจ้าเป่าแล้ว ข้าก็ยังคงเจ็บเช่นเดิม ข้าว่ารอท่านหมอเถิด”
“พี่หกไม่ดี คิดว่าข้าสู้ท่านหมอมิได้หรือ!”
“มิใช่เช่นนั้น ท่านแม่เคยสอนข้าว่าทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตน แค่ทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอแล้ว เจ้ามิใช่หมอเสียหน่อย ไยต้องเอาตนไปเปรียบกับหมอ” คุณชายหกเอ่ยสั่งสอนน้องชายด้วยท่าทีจริงจังสมเหตุสมผล
หูอี๋เหนียงถึงกับอึ้งงันไป นางมองคุณชายหกแล้วหันมองคุณชายเจ็ด คล้ายมีน้ำเย็นถังหนึ่งราดลงบนศีรษะนางทำให้นางตื่นเต็มตาเสียที
ทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตน แค่ทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอแล้วงั้นหรือ
ที่แท้แล้วแม้แต่เด็กน้อยผู้หนึ่งก็ยังรู้ความกว่านาง นางเพิ่งเข้าใจถ่องแท้วันนี้เอง!
สาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความลนลาน “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ที่เรือนอวี้หยวน แย่แล้วเจ้าค่ะ!”
เพราะเรื่องของนางชี ทุกคนต่างปิดบังคุณชายหกไว้ เมื่อเขาอยู่ที่นี่ด้วย สาวใช้จึงเพียงพูดเป็นนัยๆ เท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นทันที “หงฝู ดูแลคุณชายหกให้ดี หงสี่ประคองข้าไปที่เรือนอวี้หยวนที!”
หูอี๋เหนียงจ้องม่านตรงประตูที่สั่นไหวไปมาอยู่เป็นนาน จึงกำชับอาเถาให้คอยดูแลคุณชายเจ็ดอยู่ที่นี่ ส่วนางก็รีบตามฮูหยินผู้เฒ่าไปทันที