วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 378 เมื่อวสันต์มาเยือน
ประตูเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง นางจึงได้ยินเสียงนายท่านสี่ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด “ซีเหนียงๆ เจ้าฟื้นสิ อดทนอีกนิด หมอหลวงบอกว่าเจ้าแค่ดื่มยามากหน่อย แค่ไม่กี่วันก็หายแล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นต่างทยอยเดินเข้าไป หูอี๋เหนียงขยับเข้าไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย ท่ามกลางผู้คนอันหนาแน่น นางมองลอดช่องว่างเข้าไปเห็นนายท่านสี่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น เขาจับมือนางชีไว้แน่น ไหล่สั่นไหวไม่หยุด
“ท่านพี่ ลูก…” นางชียื่นมือออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ไปอุ้มคุณชายหกกับผิงเจี่ยมาที่นี่เร็ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางชีแล้วจึงมิคิดเรื่องปิดบังคุณชายหกอีก
สาวใช้สองสามคนรีบเดินออกไป ครั้นผ่านหูอี๋เหนียงกลับไม่มีใครใส่ใจจะมองนางแม้เพียงสักครา
“ท่านพี่ ข้ากลัวว่าข้าคงไม่ไหวแล้ว บุตรทั้งสองนั้นคงต้องฝากท่านแล้ว…” นางชีหายใจติดขัด นางพูดประโยคยาวๆ เช่นนั้นแล้วก็หมดแรง ไม่อาจจะเอ่ยแม้แต่ประโยคสั้นๆ ได้อีก
นายท่านสี่เอาหน้าไปแนบกับมือนางชี “เจ้าวางใจ เจ้าหกกับผิงเจี่ย ข้าจะฝากท่านแม่ให้ช่วยดูแลเป็นอย่างดี ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่แต่งภรรยาใหม่ เมื่อถึงตอนที่เราถูกฝังอยู่ในที่เดียวกันก็จะไม่มีผู้อื่นอีก”
หูอี๋เหนียงสะท้านขึ้นมาทั้งร่าง ตามด้วยยิ้มเยาะหยันตน แล้วเดินกลับไปที่เรือนฝั่งตะวันตกอย่างเงียบๆ
ไม่นานนางก็ย้อนกลับมา ในมือมีกระดาษแผ่นหนึ่ง นางเดินตรงไปแต่กลับถูกหันจูสาวใช้ของนางชีขวางไว้ “หูอี๋เหนียง เวลานี้แล้วท่านควรกลับไปพักอย่างสงบที่เรือนตนเองจะดีกว่า”
หูอี๋เหนียงยกมือขึ้นตบหันจูไปฉาดหนึ่ง แล้วแค่ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นอนุของนายท่านสี่ คงมิต้องมาคอยให้บ่าวไพร่เช่นเจ้ามาจัดแจงกระมัง!”
เสียงตบในครั้งนี้ดังสนั่นยิ่ง ทำให้คนที่อยู่ในห้องต่างตื่นตกใจไปหมด
ฮูหยินผู้เฒ่าถามว่า “ข้างนอกมีเรื่องอันใดกัน”
หันหรุ่ยสาวใช้อีกคนของนางชีจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “หูอี๋เหนียงมาและอยากจะเข้าไปข้างในแต่หันจูห้ามไว้จึงถูกตบเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่น
“ให้หูอี๋เหนียงกลับไปก่อน!” นายท่านสี่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
เสียงของหูอี๋เหนียงพลันลอยมา “ท่านพี่ ข้ามีเรื่องสำคัญอยากพบท่าน!”
“ส่งหูอี๋เหนียงกลับไปก่อน!” นายท่านสี่โมโหยิ่งจึงเอ่ยเสียงสูงขึ้น
หูอี๋เหนียงได้ยินเสียงที่ดังลอยมาจากด้านในก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น นางผลักสาวใช้ที่จะไปส่งนางแล้วเดินเข้าไปในห้อง นางหยุดยืนอยู่ตรงหน้านายท่านสี่ที่ขมวดคิ้วมุ่นแล้ววางกระดาษนั้นลงมือเขา “ท่านพี่ลองดูเสียก่อนเป็นไร”
“นี่มัน…” นายท่านสี่มองข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนั้นแล้วเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
“มันคือวิธีรักษาที่ว่านั่นอย่างไรเล่า” หูอี๋เหนียงเอ่ยเสริมให้ นางชำเลืองมองนางชีที่หน้าขาวดุจกระดาษแล้วเดินจากไปเงียบๆ
นายท่านสี่มิสนสิ่งใดแล้วจับกระดาษนั้นไว้แน่นแล้วร้องเสียงขึ้นว่า “เร็วเข้า รีบไปต้มยาตามวิธีนี้เร็ว!”
หันหรุ่ยยังคงลังเลอยู่บ้าง “วิธีนี้…”
นี่เป็นของที่หูอี๋เหนียงนำมาให้ ใครจะทราบว่ามีแผนอันใดหรือไม่
“เหลวไหล เวลานี้แล้ว ยังมั่วเหม่ออันใดอยู่อีก!” นายท่านสี่เอ่ยตำหนิ
หันหรุ่ยจึงถือเทียบยานั้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องเงียบสงบยิ่งมีเพียงเสียงลมหายใจเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าที่มีอำนาจมากที่สุดยังมิเอ่ยถามสิ่งใด
เวลานี้ การสอบถามที่มาของวิธีรักษาหรือผลลัพธ์ของมันแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า อาการของนางชีในตอนนี้ก็ไม่ต่างอันใดกับคนตายแล้ว
“ท่านแม่ ท่านป่วยหรือ” คุณชายหกถูกอุ้มเข้ามา ด้านหลังเขายังมีแผลอยู่ แต่ทั้งที่อายุยังน้อยแต่กลับรู้จักปิดบังแผลตน เขาคุกเข่าลงข้างๆ นางชีแล้วร้องเรียกมารดาตน
นางชีที่กำลังจะหมดสติไปแล้วกลับคล้ายมีพลังขึ้นมาเล็กน้อย สายตาที่มองคุณชายหกนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
คุณชายเจ็ดที่งอแงโวยวายว่าต้องตามคุณชายหกมาให้ได้เห็นสภาพของนางชีแล้วก็ตกใจจนต้องห่อตัว
“ยามาแล้ว ยามาแล้วเจ้าค่ะ!”
ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่าสูตรยาที่หูอี๋เหนียงให้มานั้นจะอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ นางชีดื่มติดต่อกันเพียงสามวันเลือดก็หยุดไหลแล้ว
เมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว อาการป่วยทั่วไปของนางนั้นย่อมไม่เป็นปัญหาใดกับจวนเจิ้นกั๋วกงเลย นางชีได้กินอาหารและยาบำรุงหายากหลากหลายชนิดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แค่เพียงครึ่งเดือนกว่า นางชีก็สามารถฝืนหยัดตัวขึ้นนั่งได้แล้ว
“ท่านพี่ ข้าอยากพบหูอี๋เหนียงสักหน่อย”
“ซีเหนียง…”
นางชียิ้มบางคราหนึ่ง “หูอี๋เหนียงช่วยชีวิตข้าไว้ มิให้เจ้าหกและผิงเจี่ยขาดแม่ตั้งแต่เยาว์วัย ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ควรจะขอบคุณหน้าด้วยตัวเอง”
นายท่านสี่จึงพยักหน้ารับแล้วกำชับกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “ไปเชิญหูอี๋เหนียงมา”
เมื่อเห็นหันจูออกไปแล้ว นายท่านสี่จึงหลุบตาต่ำด้วยอารมณ์สับสนอย่างที่สุด
วิธีรักษาในวันนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขียนอย่างรีบร้อน หมึกยังมิทันแห้งด้วยซ้ำ ทว่าตอนแรกหูอี๋เหนียงกลับโกหกเขา
ครั้นคิดถึงท่าทีเฉยเมยของนางที่มีต่อความเป็นความตายของนางชีเมื่อคราแรก แล้วคิดถึงวิธีต้มยาที่นางนำมามอบให้ในยามคับขันนั้นแล้ว นายท่านสี่ก็ไม่รู้ว่าตนควรใช้อารมณ์เช่นใดไปเผชิญหน้ากับนาง ระยะเวลาที่ผ่านมานี้เขายังมิเคยย่างกรายไปที่เรือนฝั่งตะวันตกเลย
ไม่นานหันจูก็กลับมา “นายท่าน ฮูหยิน หูอี๋เหนียงบอกว่าไม่อยากมาที่นี่เจ้าค่ะ ทั้งยังบอกอีกว่า…”
“มีอันใดก็พูดมา มิจำเป็นต้องอ้ำๆ อึ้งๆ!” นายท่านสี่ขมวดคิ้วมุ่น
หันจูรู้สึกไม่ยุติธรรมกับนางชี จึงเอ่ยพูดอย่างมิใคร่เต็มใจนักว่า “หูอี๋เหนียงบอกว่าให้นายท่านไปหานางเจ้าค่ะ”
นายท่านสี่รู้สึกแปลกใจยิ่งจึงหันไปมองนางชี
เขารู้สึกว่าท่าทางและการพูดจาของหูอี๋เหนียงเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อนตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
นางชียังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “ท่านพี่ เช่นนั้นท่านก็ไปหานางหน่อยเถิด”
ครั้นเห็นนายท่านสี่มิขยับตัว นางจึงเอ่ยเร่งเร้า “ไปเถิด ประเดี๋ยวเจ้าหกก็มาแล้ว เราจะได้กินข้าวด้วยกัน”
หูอี๋เหนียงช่วยท่านพี่เอาไว้ ทั้งยังช่วยนางอีก นางไม่รู้ว่าจริงๆ โชคชะตารักใคร่นางหรือโกรธแค้นนางกันแน่
นายท่านสี่จึงลุกขึ้นเดินไปที่เรือนฝั่งตะวันตกด้วยอารมณ์ที่สับสน
หูอี๋เหนียงกลับมิได้ออกมาต้อนรับ เมื่อเดินเข้าไปในห้องก็เห็นนางนั่งเกล้าผมอยู่ทั้งยังปิ่นดอกท้อถึงสี่อัน ขับให้ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วนั้นงดงามมากขึ้นไปอีก ที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นชุดสีแดงสดทั้งร่าง เสื้อตุ้ยจินปักลายบุปผายามเหมันต์ ส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงบานสีเดียวกัน ดูคล้ายดวงไฟกลุ่มใหญ่ช่างแสบตาและร้อนแรงนัก
“ท่านพี่ ข้าแต่งกายเช่นนี้งามหรือไม่” หูอี๋เหนียงเอ่ยปากขึ้นมาก่อนภายใต้บรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้
นายท่านสี่เม้มริมฝีปากบางตนเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใด
หูอี๋เหนียงหยิบตลับแป้งข้างมือตนขึ้นมาขว้างใส่เขา “กู่ซิน เจ้าคนสารเลวจะพูดว่าข้าสวยสักคำมันยากนักหรือ”
ตอนนั้นนางอายุยี่สิบ อุปนิสัยเปิดเผยและกล้าหาญกว่าตอนนี้มาก นางเคยหัวเราะคิกคักพลางถามเขาว่า “ท่านจำอันใดมิได้แล้วจริงๆ หรือ”
เมื่อเห็นเขาพยักหน้านางก็ยิ้ม “ข้าสกุลหู เช่นนั้นท่านใช้เป็นสกุลกู่ดีหรือไม่ สกุลกู่ ชื่อซิน ต่อไปท่านจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่โดยสมบูรณ์แบบ จะได้ไม่ต้องปวดหัวและหมดสติไปเพราะพยายามนึกถึงอดีต”
นั่นเป็นกู่ซินของนาง แต่กลับมิใช่นายท่านสี่ที่อยู่ตรงหน้านี้!
ที่แท้นางได้สูญเสียเขาไปตั้งแต่คราแรกที่เขาความจำกลับคืนมาแล้ว แต่นางเองที่ไม่อยากยอมรับ
ยามนี้ นางก็ไม่อยากจะยอมรับ แต่มิได้เกี่ยวอันใดกับบุรุษตรงหน้านี้อีกแล้ว
“เหมยเหนียง สำหรับเรื่องวิธีรักษานั้น…ขอบใจเจ้ามากที่ยอมบอกวิธี…”
หูอี๋เหนียงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย นางแค่นยิ้มเย็นเอ่ยว่า “มิจำเป็นต้องขอบใจข้า ข้ามิได้หวังให้ท่านกับนางชีซาบซึ้งอันใด ท่านเองก็รู้ดีแก่ใจว่าข้ามิยินยอมบอกมันแก่ท่านตั้งแต่แรกเริ่ม”
นายท่านสี่ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “แต่สุดท้ายเจ้าก็ยอมบอกมันออกมา”
หูอี๋เหนียงยิ้ม “ไม่บอกแล้วอย่างไร บอกแล้วอย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือข้าเข้าใจความคิดของท่านพี่แล้ว”
นางหลุบตาลงเพื่อกวาดตามองชุดสีแดงสดบนร่างตน นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านพี่ส่งข้ากลับเป่าหลิงเถิด”
“เหมยเหนียง?” นายท่านสี่ตกใจยิ่ง
หูอี๋เหนียงสบตากับนายท่านสี่แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันสงบเรียบว่า “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าแค่อยากจะเป็นหูไท่ไท่ มิได้อยากเป็นหูอี๋เหนียง ส่วนจางเกอนั้น…”
นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยอย่างเข้มแข็งว่า “จางเกอร่างกายอ่อนแอให้เขาอยู่ที่จวนกั๋วกงเถิด ข้าเชื่อว่าท่านพี่กับฮูหยินจะดูแลเขาอย่างดี หากท่านพี่ยังนึกถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาก็ให้ส่งเขาไปอยู่กับข้าสักเดือนสองเดือนในช่วงคิมหันต์ของทุกปีแล้วกัน”
นายท่านสี่มองหูอี๋เหนียงนิ่ง ในใจมีความคิดนับพันนับหมื่นวิ่งวนไปหมด เขาอ้าปากขึ้นแต่สุดท้ายก็เอ่ยอย่างยากลำบากว่า “ได้”
วสันต์เดือนสาม วันนั้นฝนตกลงมาไม่ขาดสาย ต้นหญ้าเขียวขจี รถม้าคันใหญ่คันหนึ่งพร้อมผู้คุ้มกันนับสิบค่อยๆ เดินทางจากเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ
ทว่าเรื่องที่เป็นที่สนใจของคนในเมืองหลวงอย่างยิ่งคือการสอบบัณฑิตกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
สำหรับจวนกั๋วกงที่เพิ่งจะมีเด็กน้อยเกิดใหม่ถึงสองคนนั้น การขาดอี๋เหนียงไปคนหนึ่งคล้ายเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียจนมิควรค่าให้เอ่ยถึง วันเวลาในจวนกลับผ่านไปอย่างมีความสุขสนุกสนานมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอยู่เล็กน้อยเสียอีก
นางเถียนกลับอารมณ์มิใคร่จะดีนัก นางกอดอกยืนอยู่บนบันไดแล้วเอ่ยถามสาวใช้ว่า “นายท่านไปที่เรือนฝั่งตะวันตกอีกแล้วใช่หรือไม่”
สาวใช้จึงตอบรับคำอย่างระมัดระวัง
นางเถียนแค่นเสียงในลำคอคราหนึ่งแล้วยกเท้าก้าวไปทางทิศตะวันตก แต่กลับมีสาวใช้ผู้หนึ่งมารายงานว่า “ฮูหยินเจ้าค่ะ ซาเอ๋อร์สาวใช้ของซานไหน่ไหน่มาแจ้งว่าซานไหน่ไหน่ไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ”
“ไม่ค่อยสบาย?” นางเถียนเลิกคิ้วขึ้น “เมื่อเช้าก็ยังมาน้อมทักทายอยู่มิใช่หรือ”
นางคิดในใจว่าหรือเพราะระยะนี้ถูกเจ้าสามดูแลรักใคร่มากเกินไป ทั้งเห็นว่าเจ้าสามนั้นดูเฉยชากับตนและท่านพี่จึงคิดกำเริบเสิบสานเสียแล้ว
กล่าวไปแล้วแต่ก่อนนั้นนางเถียนเอ็นดูหลานสาวผู้นี้ยิ่ง ทว่าตั้งแต่ความสัมพันธ์กับคุณชายสามจืดจางลง ทั้งทุกครั้งที่บุตรชายตนกลับมาจากค่ายทหารก็เพียงเข้ามาทักทายเป็นพิธีแต่กลับดูแลเอาใจใส่ภรรยายิ่ง นางจึงเริ่มรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา แต่นางเถียนก็มิอยากให้คนภายนอกมาดูแคลนเถียนเสวี่ย
“ไปแจ้งต่อต้าไหน่ไหน่สักคำแล้วเชิญท่านหมอหลวงมาตรวจชีพจรซานไหน่ไหน่ด้วย”
การมิได้ดูแลจวนแล้วก็มีข้อดีของมันเช่นกัน ตอนที่นางเป็นผู้ดูแลจวน หากสะใภ้ตนไม่สบายแล้วเชิญหมอหลวงมาตรวจดูก็คงกังวลว่าผู้คนจะคิดเป็นอื่น แต่ยามนี้หากนางเจินมิจัดการดูแลให้ดี นางย่อมต้องเป็นคนผิดอย่างแน่นอน
นางเถียนสั่งเสร็จก็ไปที่เรือนตะวันตกจึงเห็นนายท่านรองสกุลหลัวอุ้มคุณชายแปดออกมาเดินเล่นที่ลานกลางเรือนพอดี ทั้งยังชี้ไปที่กำแพงพลางเอ่ยกับเยียนเหนียงที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “ปลูกต้นท้อที่นี่สักสองต้น รอให้เจ้าแปดสูงเท่านี่ก็คงปีนขึ้นไปเก็บกินเองได้แล้ว”
เยียนเหนียงเพิ่งจะคลอดได้ไม่นาน แต่รูปร่างกลับอวบอิ่มกว่าแต่ก่อนเล็กน้อยเท่านั้นทั้งยังมีความงามเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน แต่ท่าทางของนางกลับดูเฉยชา “ตามแต่ท่านพี่จะจัดการเถิดเจ้าค่ะ”
นางเถียนเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันตนด้วยความโกรธ นางกระแอมไอออกมาแล้วร้องตะโกนขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านหน่อย”
สายตานางมองไปที่ใบหน้าน้อยๆ ของคุณชายแปด แล้วก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกพลางเบนสายตาหนีทันที
“มีเรื่องอันใด” สายตาของนายท่านรองไม่ห่างจากคุณชายแปดสักนิด คำถามที่เอ่ยออกมาจึงออกจะไม่ใส่ใจสักเท่าใดนัก
นางเถียนหน้าเคร่งขึ้นมาทันที “ย่อมต้องเป็นเรื่องการสอบของเจ้ารองอยู่แล้ว ท่านพี่ ข้าจะกลับไปรอท่านที่เรือนกลางก่อนแล้วกัน”
นางหมุนกายเดินจากไปอย่างรวดเร็ว นายท่านรองเห็นเช่นนั้นจึงรีบส่งเด็กน้อยให้เยียนเหนียง “ข้าไปเรือนกลางประเดี๋ยวเท่านั้น”
เยียนเหนียงจ้องแผ่นหลังของนายท่านรอง ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นใดอยู่เลยแม้แต่น้อย ครั้นได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ นางจึงก้มหน้าลงเขี่ยแก้มเขาเล่นแล้วอุ้มกลับห้องไปเงียบๆ