วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 379 ใจร้ายใจดำ
“ข้าเห็นว่าระยะนี้เจ้ารองดูผ่ายผอมไป ไม่ทราบอ่านตำราหนักเกินไปหรือไม่” สีหน้านางเถียนเต็มไปด้วยความกังวล
“ความคิดอย่างอิสตรีจริงๆ! ไม่ตั้งใจฝึกฝนอดทนแล้วเจ้าคิดว่าการสอบติดเป็นบัณฑิตนั้นง่ายนักหรือ” นายท่านรองเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นสิ่งใดว่า “หากเหมือนเจ้าสามเสียก่อนค่อยมากลุ้มใจ”
“ท่านพี่ เจ้าสามก็แต่ภรรยาแล้ว ได้ยินน้องสี่บอกว่าเขาอยู่ในค่ายทหารก็ทำผลงานได้ดี ผู้บังคับบัญชาชื่นชม…”
นายท่านรองแค่นเสียงเย็นคราหนึ่งเป็นการตัดบทนางเถียน “ชื่นชม? กลัวว่าจะเป็นเพราะมาจากจวนกั๋วกงเสียมากกว่ากระมัง!”
เจิ้นกั๋วกงรบอยู่บนหลังม้ามาชั่วชีวิตแม้ยามนี้จะเสียสติไปแล้ว แต่ชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงในกองทัพนั้นยังคงอยู่
นางเถียนฟังแล้วไม่พอใจขึ้นมา “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าสามก็อาศัยความสามารถตนทำงานเลี้ยงตัว ท่านพี่ ท่านต่างหากที่วันๆ เอาแต่อุ้มลูกเดินไปเดินมาน่าดูที่ใดกัน อุ้มหลานไม่อุ้มบุตร นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติ”
“ธรรมเนียมปฏิบัติ?” นางท่านรองหน้าบึ้งขึ้นมาทันที “ตอนเจ้ารองยังเล็ก ข้าก็อุ้มเขาอยู่บ่อยครั้งมิใช่หรือ นางเถียน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบเยียนเหนียง แต่ผ่านมานานเพียงนี้แล้วเจ้าก็นางจะดูออกว่าเยียนเหนียงเป็นคนรักษากฎธรรมเนียมเพียงใด แม้ว่างนางยังมิออกไปนอกประตูเรือนสักนิด เจ้าเองก็มิใช่สตรีไร้คนอบรม เหตุใดจึงยอมรับนางมิได้เสียทีเล่า”
นางเถียนฟังแล้วโกรธจนหน้าขาวซีดไปหมด
“ข้ายังมีงานอีก ขอตัวไปห้องตำราก่อนแล้ว” นายท่านรองมองใบหน้าหมองคล้ำ และรอยเ**่ยวย่นรองดวงตาของนางเถียนแล้วพลันรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาจึงสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป
“ท่านพ่อ” คุณชายรองยกมือขึ้นทำความเคารพ
“เหตุใดจึงกลับมาเล่า”
คุณชายรองมองนายท่านรองคราหนึ่ง แววตามีความสับสน แต่ก็รีบปกปิดไว้อย่างรวดเร็ว “อีกสองวันต้องไปร่วมงานเลี้ยงจิ๋นหลี่ ท่านแม่จะทำชุดใหม่ให้จึงเรียกข้ามาลองใส่ดูขอรับ”
งานเลี้ยงจิ๋นหลี่เป็นธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ก่อนถึงวันสอบ บัณฑิตที่เรียนรุ่นเดียวกันจะมารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างความผ่อนคลายก่อนสอบ เช่นนี้จึงจะมีความหวังที่จะกระโดดข้ามประตูมังกรเช่นปลาจิ๋นหลี่บ้าง
หลังจากกินดื่มกันอิ่มหนำแล้ว อีกสองวันก็จะต้องสอบแล้ว ผู้ใดเป็นปลาผู้ใดเป็นมังกรก็จะได้รู้กันในเร็วๆ นี้แล หลังจากนั้นจะมีงานเลี้ยงฉยงหลิน งานเซี่ยซื่อและอีกมากมาย แต่นั่นเป็นงานเลี้ยงของผู้สำเร็จเท่านั้น แต่งานเลี้ยงจิ๋นหลี่กลับสนุกครึกครื้นไม่น้อยเลย
นายท่านรองได้ฟังแล้วพยักหน้า “ใช่ ควรต้องใส่อาภรณ์ที่สมฐานะสักหน่อย เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถิด”
คุณชายรองหมุนกายไปเพียงครึ่งแต่เมื่อเห็นนายท่านรองไปไกลแล้ว เขาจึงใหันไปมองทางทิศที่เรือนฝั่งตะวันตกโดยไม่รู้ตัวแล้วค่อยไปหานางเถียน
“สีหน้าท่านแม่ดูไม่ค่อยดีเลย”
ต่อหน้าบุตรชาย นางเถียนจึงมิได้ปิดบังอันใด “เพราะบิดาเจ้านั้นแล วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ที่เรือนฝั่งตะวันตกคอยอุ้มเจ้าเด็กนั่นเดินไปเดินมา เขาทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ ข้าคิดแล้วก็หงุดหงิดใจ”
คุณชายรองได้ยินคำว่า ‘เจ้าเด็กนั่น’ แล้วรู้สึกบาดหูอยู่เล็กน้อย จึงฝืนยิ้มเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ น้องแปดยังเล็ก ท่านพ่อย่อมเอ็นดูมากสักหน่อยเป็นเรื่องธรรมดา”
“เล็ก? ตอนพวกเจ้ายังเล็กก็มิเห็นบิดาเจ้าจะใส่ใจเพียงนี้ คำของแม่ให้ทิ้งไว้ที่นี่ เจ้าลองหาทางดูเอาเถิด หากเจ้าเด็กนั้นเติบใหญ่ขึ้นกลายเป็นภัย ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองพี่น้องคงได้เดือดเนื้อร้อนใจมิรู้คลายแน่”
วาจานี้คล้ายเป็นการคาดเดาอันไม่เป็นมงคล ทำให้คุณชายรองฉุกคิดขึ้นมา เมื่อออกจากเรือนของนางเถียนแล้วจึงค่อยๆ ลัดเลาะด้านหลังกำแพง เขาเหยียบต้นไม้เก่าแก่ที่ปลูกไว้ข้างกำแพงแล้วลัดเลาะไปตามทางที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เมื่อได้ยินเสียงแมวร้อง เยียนเหนียงที่นอนตะแคงข้างอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวนอกห้องนอนจึงลุกขึ้น นางบอกกับสาวใช้คนสนิทว่า “นอนตรงนี้ไม่สบายเลย ข้าจะเข้าไปนอนในห้อง พวกเจ้าออกไปเถิด”
นางเข้าไป ปิดประตูลงกลอนแล้วจึงเปิดหน้าต่าง คุณชายหลัวกระโดดลงมาอย่างแผ่วเบา
เยียนเหนียงเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “นับวันคุณชายรองจะใจกล้ามากขึ้นทุกทีแล้ว ไม่กลัวถูกคนเห็นเข้าหรือไร หรือตนั้นจะบอกว่าตนเองเป็นคุณชายสาม แต่น่าเสียดายคุณชายสามอยู่ที่ค่ายทหาร เช่นนี้คงมิอาจแอบอ้างได้”
คุณชายรองจับมือนุ่มลื่นของนางไว้ “เจ้านั้นเป็นดอกไม้ที่มีหนามที่ชอบทิ่มแทงใจของข้าที่สุด”
เยียนเหนียงกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง แต่หญิงงามโกรธเคืองช่างมีลักษณะพิเศษเฉพาะยิ่ง
คุณชายรองใจสั่นขึ้นมา เขาจับมือเยียนเหนียงไว้ จุมพิตที่ปลายนิ้ว แล้วอุ้มนางไปวางที่เตียงอย่างรวดเร็ว
เยียนเหนียงพยายามขัดขืน “ท่านบ้าไปแล้วหรือ นี่ยังกลางวันอยู่แท้ๆ”
“ท่านพ่อไปห้องตำราแล้ว ยังจะมีผู้ใดมาอีกได้เล่า”
“ก็มิได้อยู่ดี ข้าเพิ่งคลอด…”
คุณชายรองงับติ่งหูของนางเล่น “ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วแท้ๆ ข้าได้ยินว่า…ทำได้ เยียนเหนียง เจ้าตามใจข้าหน่อยเถิด อีกไม่กี่วันข้าก็จะไปสอบแล้ว ครึ่งปีมานี้ข้าไม่มีวันที่ผ่อนคลายเลยสักวัน”
เยียนเหนียงคลายใจอ่อนกับคำคำนี้ นางจึงหยุดขัดขืน
คุณชายรองขึ้นคร่อมร่างนาง แต่เขามิได้ถอดอาภรณ์ใดๆ เพียงถกกางเกงลงครึ่งหนึ่งและเลิกกระโปรงเยียนเหนียงขึ้นเท่านั้น
เยียนเหนียงมิได้ร่วมอภิรมย์กับผู้ใดมานานมากแล้ว ที่ตรงนั้นจึงรัดแน่นจนทำให้คุณชายรองต้องซูดปาก ทั้งยังรู้สึกหฤหรรษ์หาใดเปรียบ ขณะกำลังถึงจุดสูงสุดกลับพลันได้ยินเสียงสาวใช้ร้องเรียกอยู่นอกประตูว่า “เยียนเหนียง นายท่านมาเจ้าค่ะ”
คุณชายรองพลิกตัวลงจากร่างเยียนเหนียงอย่างทุลักทุเล เพราะรีบร้อนเกินไปจึงกลิ้งตกลงไปบนพื้นเกิดเสียงดังพลั่ก
สาวใช้จึงร้องถามเสียงสูงขึ้นว่า “เยียนเหนียง ท่านเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ”
“มิเป็นไร พอดีว่าตอนลุกขึ้นข้าเผลอไปชนที่หัวเตียงเข้าก็เท่านั้น” เยียนเหนียงจัดแจงเสื้อผ้าตนให้เรียบร้อย แล้วใช้ปลายเท้าเตะคุณชายรองพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เข้าไปซ่อนใต้เตียง”
นางลุกขึ้นเปิดประตู นายท่านรองเดินเข้ามาถึงก็ถามไปเรื่อยเปื่อยว่า “ยังกลางวันอยู่แท้ๆ เหตุใดจึงลงกลอนประตูแล้วเล่า”
เยียนเหนียงลูบมวยผมตนแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ข้ารู้สึกเพลียเล็กน้อยทั้งกลัวว่าจะมีแมวป่าแอบเข้ามาอีก”
นายท่านรองยิ้ม “สัตว์ตัวเล็กๆ พวกนั้นทำให้คนหงุดหงิดมากจริงๆ หลายวันก่อนแมวที่นางเจินเลี้ยงไว้ก็ข่วนเจ้าหกจนเป็นแผล”
เยียนเหนียงไม่อยากต่อคำอีกจึงได้แต่ยิ้มไม่พูดจา
นายท่านรองจ้องมองลำคอขาวดุจไขมันใสของนางนิ่ง พลันคิดอันใดขึ้นมาได้จึงกระโจนเข้าไปหานางอย่างอดรนทนไม่ได้
เยียนเหนียงผลักเขาด้วยใบหน้าเฉยชา “ท่านพี่อย่าเหลวไหล ยังไม่ถึงเวลา!”
“เยียนเหนียงเด็กดี ข้าแค่จะกอดเท่านั้น”
คุณชายรองที่อยู่ใต้เตียงได้ยินเสียงจากด้านนอกทั้งหมด หน้าจึงดำดุจหมึก
ไม่ง่ายเลยกว่าที่นายท่านรองจะจากไป คุณชายรองจึงมุดออกมาจากใต้เตียง ขาของเขาชาจนขยับไม่ได้แล้ว
กระทั่งหายแล้วเขาจึงเอ่ยปากว่า “ข้าอยากดูลูกสักหน่อย”
เยียนเหนียงเอ่ยเสียงแข็งว่า “บอกไปนานแล้วมิใช่หรือว่า เด็กคนนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับท่าน”
คุณชายรองแค่นยิ้ม “ข้าบอกแล้วว่าเขาเป็นลูกข้าก็ต้องเป็นลูกข้า เรื่องนี้มิใช่เจ้าปฏิเสธแล้วจะจบ”
ครั้นเห็นเยียนเหนียงไม่พูด จึงตัดใจเอ่ยว่า “ข้าขอบอกเจ้าตามความจริงเลย ท่านพ่อกินแต่อาหารที่ช่วยให้สมรรถภาพของบุรุษลดลง ทั้งอายุก็มากแล้ว เจ้าเด็กจะเป็นลูกผู้ใด”
เยียนเหนียงอึ้งไป ในที่สุดจึงอุ้มเด็กน้อยมาให้เขาดู
คุณชายรองจ้องเด็กน้อยที่งัวเงียนั้นแล้วรู้สึกว่าคิ้ว ตา รูปปาก เหมือนเขาไปหมด แต่ทว่าเขากับน้องชายนั้นมีหน้าตาออกไปทางนางเถียนมากกว่า
หากเด็กคนนี้โตขึ้นสักหน่อย…
เขาพลันหวั่นใจขึ้นมาจึงยื่นมือไปปิดจมูกเด็กน้อยไว้ดุจภูตบอกเทพสั่ง
เยียนเหนียงหน้าถอดสีทันที นางผลักเขาเต็มแรก แต่กลับมิกล้าร้องเสียงดัง ครั้นเห็นแววตาของคุณชายรองยังคงมืดมัว นาจึงกัดไปที่หลังมือเขาสุดแรงเกิด
คุณชายรองเจ็บยิ่งจึงตื่นจากภวังค์ ในใจกลับยิ่งเสียใจ
บางทีในใจลึกๆ ของเขาคงไม่อยากให้เด็กน้อยที่มีฐานะอันน่าตะขิดตะขวงใจเช่นนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปถึงได้อดใจไม่ไหวจนมาหานางที่นี่
“ที่แท้หากท่านมั่นใจว่าเด็กคนนี้เป็นลูกท่าน ท่านก็จะฆ่าเขาใช่หรือไม่” เยียนเหนียงเหน็บหนาวหัวใจขึ้นมา
ต่อให้นางเกลียดชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้เท่าใด ทั้งเกลียดตัวเองที่วนเวียนอยู่ระหว่างบุรุษสองคนมากแค่ไหนนางกลับไม่เคยคิดทำร้ายลูกนางเลย เขาเป็นเลือดเนื้อของนาง เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้
“ไสหัวไปซะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านอีก!”
คุณชายรองใจเย็นลงแล้วจึงเอ่ยว่า “เยียนเหนียง เด็กที่หน้าตาเหมือนภรรยาเอก ภายหน้าจะต้องเผชิญกับปัญหาอันใด เจ้าไปลองคิดดูให้ดี ข้ากลับก่อนแล้ว หลังสองเสร็จจะมาหาเจ้าใหม่”
รอกระทั่งคุณชายรองไปแล้ว เยียนเหนียงที่มักมีท่าทีนิ่งเฉยตลอดมากลับมีสีหน้าเศร้าสลดดุจคนวิญญาณหลุดลอยเป็นครั้งแรก
สวนดอกไม้ในเดือนสามนั้นมีบุปผาหลากสีบานสะพรั่งเต็มไปหมด
เจินเมี่ยวคิดรายการอาหารประเภทย่างเอาไว้ แรกเริ่มต้องย่างเนื้อเป็ดให้หอมแล้วหั่นเป็นแผ่นบาง ใช้แป้งแผ่นห่อ ใส่น้ำจิ้มรสหวาน แตงกวา หัวหอมฝอย รสชาติมันช่างอร่อยอย่างบอกผู้ใดเลยเชียว
ครั้งนี้นางกับหลัวเทียนเฉิงกินมากเกินไปทำให้นอนไม่หลับทั้งคู่ จึงออกมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้วยกัน
“ไม่ไหวแล้ว ขาข้า ท้องข้างปวดไปหมด แต่มันก็ยังไม่ย่อย” เจินเมี่ยวนวดคลึงท้องตน
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่ไว้ไมตรีว่า “ผู้ใดให้เจ้าแย่งเนื้อชิ้นสุดท้ายไปเล่า!”
เจินเมี่ยวหน้าเครียดขึ้นมา “ท่านแย่งข้าไม่ได้แต่ก็ไม่ควรไร้ซึ่งความเห็นใจเช่นนี้”
หลัวเทียนเฉิงกัดฟันตน “นั่นเรียกว่าแย่งไม่ได้หรือ เป็นเพราะเจ้าข่มขู่ข้า หากกล้าแย่งเจ้า ต่อไปจะกินเป็ดย่างแค่ตอนที่ข้าไปอยู่ที่ศาลาว่าการ”
ความคิดอันโหดร้ายเช่นนั้น เหตุใดนางจึงคิดขึ้นมาได้เล่า
“คนที่กินเป็ดไปสามตัว ทำให้ข้าย่างจนปวดข้อมือไปหมด ไม่มีสิทธิ์บ่นว่า!”
เจินเมี่ยวอยากจะเอากำปั้นทุบดินเหลือเกิน นางคิดมาตลอดว่าตนแต่งกับบุรุษวิปริต ที่ไหนได้นางผิดแล้ว นางแต่ให้กับถังข้าวต่างหากเล่า
เมื่อเห็นนางทำแก้มป่อง ดวงหน้าดุจดอกท้อ หลัวเทียนเฉิงจึงคิดขึ้นมาได้ เขายื่นมือออกไปเด็ดดอกท้อมาปักที่มวยผมให้นางแทนปิ่น เขาหัวเราะเสียงต่ำพลางเอ่ยว่า “เอาล่ะ คราวหน้า เจ้าสอนข้า ข้าจะเป็นคนย่างเอง”
“เช่นนั้นท่านต้องจำไว้ให้ดีด้วยเล่า”
คนทั้งสองพูดคุยหัวเราะ เดินเคียงกันไปแต่บังเอิญพบกับคุณชายรองเข้า
สายตาเขาร่วงตกไปที่กิ่งดอกท้อบนมวยผมเจินเมี่ยว จึงหัวเราะพลางเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ช่างมีความสุขนัก”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มอ่อนโยนยิ่ง “ยากนักจะได้พบน้องรอง ระยะนี้เจ้าผ่ายผอมลงไปมาก อ่านตำรานั้นเหนื่อยยาก ควรต้องออกมาเดินเล่นเคลื่อนไหวร่างกายเสียบ้าง มิเช่นนั้นต่อให้ร่ำเรียนเก่งกาจ แต่สุขภาพย่ำแย่ ไหนเลยจะทนการสอบได้”
วาจานี้คล้ายเอ่ยเตือน แต่ฟังให้ดีกลับเหมือนสาปแช่ง คุณชายรอขมวดคิ้วไม่พอใจ “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ น้องชายไม่รบกวนพวกท่านแล้ว”
เจินเมี่ยวมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของคุณชายรองแล้วเก็บสายตากลับมาทั้งเม้มริมฝีปากแน่น “ข้ามักรู้สึกว่าเขาดูแปลกๆ อยู่ทุกวัน เห็นเขาคราใด อารมณ์ไม่ดีทุกที คนเช่นนี้หากปล่อยให้แสดงความสามารถที่มีเต็มท้องจนได้เป็นบัณฑิตชั้นสูงก็คงเป็นเพียงการหาเวทีที่ให้กว่าเดิมให้เขาได้ทำความชั่วมากยิ่งขึ้นเท่านั้นแล”
อยู่ในจวนยังสามารถยื่นมือไปถึงสตรีของบิดา หากได้เป็นขุนนางจริง แล้วจะไปหวังให้เขาทำความดีอันใดได้
หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “การสอบเป็นบัณฑิตชั้นสูงก็มิได้ง่ายถึงเพียงนั้น”
“ข้าว่าอาสะใภ้รองกับน้องรองนั้นมองว่าตำแหน่งบัณฑิตชั้นสูงนั้นเป็นดั่งสิ่งของในถุงหนังของตนแล้ว”
“รอดูต่อไปเถิด” หลัวเทียนเฉิงหยักยกมุมปากข้นแล้วลูบแก้มเจินเมี่ยวแผ่วเบาคราหนึ่ง “ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาแล้ว เราเดินไปดูทางนั้นกันดีกว่า”
เมื่อเดินผ่านพุ่มต้นหญ้าเขียวขจีไปก็เห็นสาวใช้ผู้หนึ่งนำทางหมอที่ถือกล่องยาเดินผ่านมา ครั้นพบเจินเมี่ยวคนทั้งสองจึงรีบทำความเคารพ
เจินเมี่ยวเอ่ยถามว่า “มาจากเรือนของซานไหน่ไหน่หรือ นางเป็นอย่างไรบ้าง”
สาวใช้มีสีหน้ายินดียิ่ง “กำลังจะไปรายงานข่าวดีต่อฮูหยินผู้เฒ่าว่าซานไหน่ไหน่มีข่าวดีแล้วเจ้าค่ะ”