วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 382 กรรมตามสนอง
เสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นที่หน้าประตูหอสุราเทียนเค่อ มีคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปมุงดูอย่างสนุกสนาน ขณะที่รถม้าเคลื่อนผ่านไป เจินเมี่ยวซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าก็เหลือบเห็นบุรุษสองคนกำลังชกต่อยกัน หนึ่งในนั้นสวมชุดสีขาวงาช้าง แต่เสื้อผ้ายับยู่ยี่ไปหมด แม้เห็นเพียงด้านหลังนางกลับดูออกว่าเป็นคุณชายรองที่มาร่วมงานเลี้ยงจิ๋นหลี่นั่นเอง
ส่วนบุรุษสวมชุดคลุมยาวอีกผู้หนึ่งนั้นหน้าบวมเป็นสุกรแล้ว แต่เจินเมี่ยวกลับรู้สึกว่าคุ้นหน้าเหลือเกิน ใบหน้าที่บวมยิ่งนั้น ช่างเป็นการทดสอบสายตาคนเกินไปแล้ว
ทั้งยังมีอีกหลายคนที่คอยฉุดคอยห้าม เอะอะโวยวายกันจนไม่แยกไม่ออกว่าพูดอันใดกันอยู่
“หยุดรถ” เจินเมี่ยวร้องขึ้น อาหู่ที่เป็นสารถีขับรถม้าจึงหยุดรถทันที
เวลานี้เองทหารกลุ่มหนึ่งกลับปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่ทราบว่าโผล่มาจากที่ใด พวกเขาเข้ามาแยกคนทั้งสองออกจากกัน แล้วพาตัวไป
คนที่คอยล้อมดูอยู่กลับมิได้ไปไหน ยังคงยืนพูดคุยวิจารณ์กันอย่างเซ็งแซ่ ทั้งมีบัณฑิตหนุ่มหลายคนที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย แม้เจินเมี่ยวที่อยู่ห่างพอสมควรยังได้กลิ่นสุราลอยมาตามลมมา
นางแหวกม่านรถมุมหนึ่งขึ้น แล้วเอ่ยกำชับอาหู่เสียงแผ่วว่า “ไปสอบถามมาสักหน่อยว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งปีกว่าเท่านั้น อาหู่กลับสูงขึ้นมาก แม้แต่ใต้คางยังมีเคราเขียวครึ้มรำไร เมื่อมองจากด้านหลังเขาก็ไม่ต่างอันใดกับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเลย
เขาลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว แล้วลากรถม้าเข้าชิดริมถนนก่อนจึงเดินเข้าไปในฝูงชน
อาหู่ที่ผ่านการอบรมฝึกฝนจากหลัวเทียนเฉิงมาครึ่งปีกว่านั้นมีการพัฒนาไปมาก เขาหน้าตาดูใสซื่อแต่ช่างสังเกตนัก เมื่อมองเห็นบุรุษสองคนที่แต่งกายเหมือนเสี่ยวเอ้อในหอสุราก็เดินไปหาพวกเขาทันที
“เหตุใดบัณฑิตจึงต่อยตีคนเล่า”
เสี่ยวเอ้อสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ครั้นมีคนสอดปากขึ้นมาจึงชำเลืองมองคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มที่แต่งกายอย่างบ่าวรับใช้ หนึ่งในนั้นจึงเบ้ปากขึ้นแล้วหันหน้าหนีไป
ส่วนอีกคนฉลาดสักหน่อย แม้เห็นอาหู่แต่งกายอย่างบ่าวไพร่ แต่เนื้อผ้ากลับไม่เลวเลย จึงมิคิดล่วงเกิน เขาเผยรอยยิ้มพลางเอ่ยว่า “บัณฑิตก็เป็นคน ดื่มมากไป พูดจาไม่เข้าหูจึงวิวาทกันเท่านั้นแล”
อาหู่เผยสีหน้าเอาอกเอาใจออกมา “ต่างเป็นบัณฑิตมีหน้ามีตาด้วยกันทั้งสิ้น อย่างไรคงไม่ต่อยตีกันถึงเพียงนี้ ข้าเห็นหน่วยกองกำลังทหารม้าทั้งห้ามาพาตัวคนไปด้วย”
เขาพูดพลางส่งเงินให้ไปด้วย
เสี่ยวเอ้อผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มถึงกับอึ้งงันไป จากนั้นรีบรับไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อลูบคลำเงินนั้นแล้วก็อยากจะยกขึ้นกัดเพื่อพิสูจน์ดูเหลือเกินแต่ต้องอดกลั้นเอาไว้
เสี่ยวเอ้ออีกผู้หนึ่งเห็นแล้วกลับอิจฉาตาร้อนจึงลอบใช้สายตาจับจ้องอาหู่ อาหู่จึงรีบยัดเงินให้เขาไปอีกคน
“พี่ชายทั้งสองเล่าให้ข้าฟังหน่อยเถิด” อาหู่ลูบผมตนด้วยท่าทีใสซื่อ
เสี่ยวเอ้อทั้งสองมองตากันแล้วพยักหน้าให้กันอย่างรู้ใจ
เรื่องที่วิวาทกันใหญ่โตเพียงนี้ หากพวกเขาไม่พูด ผู้อื่นก็ต้องพูดแน่ เกรงว่าอีกไม่นานเรื่องราวคงแพร่สะพัดไปทั่วถนนใหญ่และตรอกซอกซอยแล้ว เงินที่เขาให้นั้นมากกว่าเบี้ยประจำเดือนของพวกเขาเสียอีก แล้วยังจะไม่บอกเขาอีกหรือ
มิต้องให้อาหู่ถามอีก คนทั้งสองก็บอกเล่าออกมาอย่างละเอียด
“วันนี้มิใช่มีการจัดงานเลี้ยงจิ๋นหลี่ที่หอสุราเราหรือ บัณฑิตที่จะเข้าร่วมสอบการสอบชุนเหวยส่วนใหญ่ต่างมาที่นี่ทั้งสิ้น พวกเขาดื่มสุราจ้วงหยวนหงชั้นดี งานดำเนินไป ทุกคนต่างดื่มกันแล้วไม่น้อย ไม่ทราบผู้ใดเกิดอยากจะเขียนบนกลอนไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย เถ้าแก่ของเราจึงนำผ้ายาวจั้งกว่าไปให้ ตอนนั้นคึกคักสนุกสนานยิ่ง น้องชาย ข้าจะบอกเจ้าให้ สองคนที่วิวาทกันนั้นต่างไม่ธรรมดาทั้งสิ้น ผู้ที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวงาช้างคือคุณชายรองของจวนเจิ้นกั๋วกง ส่วนคุณชายอีกคนที่สวมชุดสีน้ำเงินเป็นคุณชายของถงจือ[1]แห่งจวนจิ่งเทียน…”
เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็พูดเสียงต่ำลง แล้วขยิบตาเอ่ยว่า “ความจริงคุณชายจูนั้นมิใช่บัณฑิตอันใดหรอก เพียงแต่ใช้เส้นสายเข้ามาร่วมสนุกในงานเลี้ยงด้วยเท่านั้น ผู้ใดจะทราบขณะที่บัณฑิตทั้งหลายกำลังเขียนบทกวีกันอยู่นั้น คุณชายรองสกุลหลัวกลับเอาทำหมึกราดใส่ร่างคุณชายจู ดื่มกันไปมากมิใช่หรือ ตอนนั้นคุณชายจูจึงเกิดโมโหกระทั่งลงมือโต้ตอบกลับทันที”
เสี่ยวเอ้ออีกคนหนึ่งจึงหัวร้องฮี่ๆ ขึ้นแล้วเอ่ยว่า “คุณชายจูท่านนั้นยัง…ชู่…”
เพราะฐานะของคุณชายจู เขาจึงมิอาจตัดสินอันใด ทำเพียงถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “ในขณะที่ต่อยตีกันอยู่นั้นก็ถึงกับดึงกางเกงของคุณชายรองสกุลหลัวลงมา!”
“มันมิดูป่าเถื่อนไปหน่อยหรือ” อาหู่ฟังแล้วถึงกับอึ้ง
ท่าทีตะลึงลานของอาหู่ทำให้เสี่ยวเอ้อทั้งสองรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง หนึ่งในนั้นจึงเอ่ยว่า “นั่นน่ะสิ วันนี้ทำให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตายิ่ง ตอนนั้นทุกคนต่างพากันตกใจเพียงใดอย่าได้พูดถึงเลย ส่วนคุณชายรองสกุลหลัวก็น่าสงสารเช่นกัน แม้แต่ปานแดงตรงบั้นท้ายเขา ทุกคนก็เห็นกันหมด…”
เขาพูดถึงตรงนี้ เสี่ยวเอ้ออีกคนจึงตบศีรษะตนทีหนึ่ง “โอ๊ย พูดถึงตรงนี้แล้วทำให้ข้านึกถึงเรื่องที่ลือกันไปทั่วเมื่อปีที่แล้วขึ้นมา”
“เรื่องใดหรือ” อาหู่ถาม
เสี่ยวเอ้อฉีกยิ้มยิงฟัน แต่มิได้เอ่ยอันใด
อาหู่กำเงินในแขนเสื้อตนด้วยความเสียดาย แล้วกัดฟันยื่นให้เขาไป
เสี่ยวเอ้อผู้นั้นจึงเอ่ยว่า “ปีที่แล้วคนในเมืองหลวงต่างเล่าลือกันเรื่องที่คุณชายสามสกุลหลัวถูกโจรชั่วบุกเข้าไปข่มเหงในจวนมิใช่หรือ ทั้งยังลือว่าที่บั้นท้ายของคุณชายสามมีปานขนาดเท่าพุทราอีกด้วย”
เสี่ยวเอ้ออีกผู้หนึ่งส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้หรอก แม้จะเป็นแฝด แต่คงมิได้มีปานในที่เดียวกันด้วยกระมัง”
เสี่ยวเอ้อผู้นั้นจึงกลอกตาใส่เขา “ถึงได้บอกว่าเจ้าโง่อย่างไรเล่า ยังต้องคิดอีกหรือ คงเพราะคุณชายรองกับคุณชายสามเป็นแฝดกัน ตอนนั้นข่าวลือถึงได้บอกผิดตัวอย่างไรเล่า!”
“ซี๊ด…” เสี่ยวเอ้ออีกผู้หนึ่งถึงกับสูดปากคราหนึ่ง เสียงที่เอ่ยนั้นสูงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “เจ้าหมายความว่าคนที่ถูกข่มเหงจริงๆ เมื่อปีที่แล้วคือ…คุณชายรองสกุลหลัว?”
เพราะเขาเอ่ยเสียงสูงยิ่ง คนที่อยู่รอบๆ หลายคนต่างได้ยินทั้งสิ้น
มีบัณฑิตหลายคนที่คิดเรื่องนี้ได้ก่อนแล้วต่างหันไปสบตากัน แล้วเผยสีหน้าอันแปลกประหลาดออกมา
เมื่อเกี่ยวพันไปถึงเรื่องรักใคร่คาวโลกีย์ของชนชั้นสูง มันกลับยิ่งดึงดูดความสนใจคนมากกว่าการต่อยตีกันกลางถนนเสียอีก หากมีอันใดข้องใจก็จะรีบไปสอบถาม คนที่ได้ยินข่าวมาก็จะรีบบอกเล่าน้ำลายแตกฟองเลยทีเดียว
อาหู่ค่อยๆ ถอยออกมาจากเหตุการณ์อันคึกคักนี้ แล้วควบรถม้าจากไปอย่างเงียบๆ
ครั้นถึงจวนกั๋วกง เจินเมี่ยวจึงเรียกอาหู่มาถามอย่างละเอียด
เมื่อฟังเขาพูดจบแล้ว เจินเมี่ยวก็หยักยกมุมปากตนขึ้นอย่างอดมิได้ นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มออกมาว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
นางกวาดตามองชิงเกอคราหนึ่ง “พาอาหู่ออกไปแล้วเอาขนมดอกท้อที่เจ้าทำเมื่อเช้านี้ให้อาหู่ไปด้วยหนึ่งจาน”
ชิงเกอถลึงตาให้อาหู่ แล้วเอ่ยอย่างมิใคร่ยินยอมนักว่า “ไปเถิด”
“อืม” อาหู่เผยรอยยิ้มใสซื่อออกมา แล้วเดินส่ายก้นตามชิงเกอออกไป
เจินเมี่ยวนิ่งงันอยู่นั้นแล้วจึงไปที่เรือนอี๋อาน
เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังพักผ่อนอยู่ เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมา หงฝูสาวใช้ใหญ่จึงไม่กล้าชักช้า นางรีบเข้าไปถามทันทีว่า “ต้าไหน่ไหน่มามีเรื่องใดหรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังพักผ่อนอยู่เจ้าค่ะ”
“รบกวนแม่นางหงฝูไปเรียนให้ข้าทีเถิด”
หงฝูได้ยินเช่นนั้นก็ทราบทันทีว่ามิใช่เรื่องเล็กแน่ จึงรีบไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่า หลังจากนั้นไม่นานนางค่อยออกมาบอกว่า “ต้าไหน่ไหน่เชิญด้านในเจ้าค่ะ”
หลังจากเจินเมี่ยวเข้าไปก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่านั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว หงสี่กำลังยกอ่างล้างหน้าและเก็บผ้าเช็ดหน้าออกไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากวักมือเรียก “หลานสะใภ้ มานั่งตรงนี้เถิด”
เจินเมี่ยวเดินเข้าไปนั่ง นางพิจารณาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีสนิทสนม “มาหาย่ายามนี้มีเรื่องใดหรือ”
เจินเมี่ยวเพิ่งจะกลับมาจากจวนเจี้ยนอานปั๋ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเข้าใจว่านางเจอปัญหายุ่งยากบางอย่างของตระกูลมารดาตน
“ท่านย่า ตอนที่กลับจากจวนปั๋วข้าผ่านหอสุราเทียนเค่อพอดี เมื่อเห็นว่ามีการวิวาทกันเกิดขึ้นจึงตั้งใจสังเกตดู จึงพบว่ามีทหารมาจับตัวผู้ที่ก่อความวุ่นวายไป ข้าจึงพบว่าหนึ่งในนั้นคือน้องรองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าอึ้งไปครู่หนึ่งจึงมีสติคืนมา นางยังรู้สึกไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง “เจ้ารองเป็นคนสุขุม เหตุใดจึงไปวิวาทได้เล่า”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ข้าเพียงมองผ่านๆ คราหนึ่งเท่านั้น ความจริงเป็นเช่นไรมิใคร่แน่ใจเจ้าค่ะ แต่ท่านวางใจเถิด ข้าให้คนเขียนจดหมายไปแจ้งท่านพี่แล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อฟังนางเอ่ยเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็โล่งอกลงไปเล็กน้อย
“ท่านย่า ท่านว่าควรจะไปแจ้งให้อาสะใภ้รองทราบสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าร้องเรียกหงฝูทันที “ไปเชิญฮูหยินรองที่เรือนซินหยวนมาที”
เจินเมี่ยวได้ยินก็นั่งอมยิ้มหลังตรงอยู่เช่นนั้น
เมื่อรู้ว่านางเถียนจะได้ลิ้มรสถึงความรู้สึกดั่งฟ้าผ่าวันฟ้าใสเป็นเช่นไร นางจึงสบายใจได้เสียที
ไม่นานนางเถียนก็เดินหน้าระรื่นเข้ามา นางยิ้มก่อนเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกสะใภ้มีเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
นางชำเลืองมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วเม้มปากเอ่ยว่า “เถียนเสวี่ยมีอาการแพ้ ข้ากำลังจะแนะนำนางว่าให้กินสิ่งใดได้บ้างเพื่อบรรเทาอาการแพ้เจ้าค่ะ”
นางเอ่ยวาจานี้เพื่อแทงใจเจินเมี่ยว แต่น่าเสียดายที่มันไม่ต่างอันใดกับการชักสีหน้าใส่คนตาบอด เจินเมี่ยวยังคงนั่งอมยิ้มอยู่เช่นนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน
คนที่หน้าเสียคือนางเถียนมากกว่า “หา เจ้ารองถูกทหารจับตัวไป เป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ”
เมื่อได้ฟังวาจาของฮูหยินผู้เฒ่า นางก็ถึงกับอึ้งงันไป
“เจ้ามิต้องตกใจไป เราให้คนส่งจดหมายไปแจ้งต้าหลังแล้ว เรื่องราวเป็นเช่นไร คิดว่าอีกไม่นานคงทราบแน่”
“สะใภ้…จะให้คนไปตามท่านพี่กลับเดี๋ยวนี้!” นางเถียนกำผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยมืออันสั่นเทาเหตุใดเจ้ารองถึงถูกทหารจับตัวไปได้ อีกสองวันเขาก็จะเข้าร่วมการสอบแล้ว!
ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งชั่วยามก็มีสาวใช้มารายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ซื่อจื่อพาคุณชายรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
นางเถียนลุกพรวดขึ้นทันที นางวิ่งออกไปอย่างไม่มีแก่ใจสนกิริยาใดแล้ว
“เจ้ารอง!” นางเห็นอย่างชัดเจนว่าคุณชายรองที่ใบหน้าเขียวช้ำดุจคนตายนั้นมีคนสองคนคอยพยุงไว้ที่ด้านหลังหลัวเทียนเฉิง นางร้องขึ้นด้วยความตกใจสุดขีดแล้วพุ่งเข้าไปหาทันทีอย่างมิอาจอดกลั้นได้
“เจ้ารอง เจ้ารอง เป็นอย่างไรบ้าง” นางเถียนเขย่าแขนคุณชายรองไปมา
คุณชายรองกลับปล่อยให้นางเขย่าโดยไม่ขยับเคลื่อนไหวคล้ายคนไร้วิญญาณกระนั้น
นางเถียนพิจารณาคุณชายรองไปทั่วร่าง ปากก็พูดพร่ำว่า “บอกแม่มา เจ้าบาดเจ็ดที่ตรงใด เจ็บที่ไหน”
เป็นหลัวเทียนเฉิงที่เอ่ยตอบแทนคุณชายรอง “น้องรองมิได้บาดเจ็บสาหัสอันใด เพียงแต่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจมากกว่า”
“กระทบกระเทือนจิตใจอันใด”
หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจออกมา “น้องรองวิวาทกับคนที่เทียนเค่อ เขาไม่ทันระวังจึงถูกอีกฝ่ายถกกางเกงลง ตอนนี้ผู้คนต่างกำลังเล่าลือถึงเรื่องเมื่อปีก่อนว่ามิใช่น้องสามแต่เป็นน้องรอง!”
“หา?” นางเถียนนั่งกองลงกับพื้นคล้ายถูกกระชากกระดูกออกจากร่างในทันที
“รีบพยุงฮูหยินรองขึ้นมาเร็ว แล้วไปเชิญท่านหมอมาดูอาการคุณชายรองด้วย” ยังคงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่เอ่ยกำชับอย่างครบถ้วยด้วยความสุขุม
หลังจากที่หมอหลวงมาตรวจดูอาการก็เขียนเทียบยาที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจให้กับคุณชายรอง
สองวันหลังจากนั้น คุณชายรองยังคงฝืนตัวเองเพื่อไปเข้าร่วมการสอบ แต่กลับทนไม่ไหวหมดสติไปกลางห้องสอบ จึงถูกคนหามกลับมาส่งที่จวนกั๋วกง
นางเถียนร่ำไห้อย่างหนักจนเกือบจะหมดสติไป นายท่านรองสกุลหลัวหงุดหงุดโมโหยิ่งจึงตรงไปที่เรือนฝั่งตะวันตก
ในเวลาเพียงไม่นานบรรยากาศแห่งความยินดีที่บ้านรองมีมาหลายวันกลับหายไปไม่มีเหลือ คุณชายรองที่คิดว่าต้องสอบให้ผ่านมาตั้งแต่ตนหมดสิทธิ์ในการสอบ ทำให้เขาไม่พูดไม่จามาหลายวันแล้ว
เมื่อข่าวครานี้แพร่สะพัดไปถึงจวนเจี้ยนอานปั๋ว นางหลี่ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวพลางเอามือทาบอก “โชคดีที่ข้ามิให้บุตรสาวแต่งไปกับเขา!”
——
[1] ถงจือ หมายถึงข้าราชการฝ่ายบุ๋นระดับยกกระบัตร