วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 384 ตัดใจลงมือ
คุณชายสามสกุลหลัวเพียงยื่นมือออกมาข้างเดียวก็สามารถหยุดคุณชายรองเอาไว้ได้แล้ว นี่สามารถยืนยันได้ว่าการฝึกฝนร่างกายของเขานั้นพัฒนาไปมากเพียงใด ทั้งที่มีรูปร่างเช่นเดียวกันแท้ๆ
“เจ้ารอง เจ้าเป็นบ้าอันใด ไม่ต้องมาที่เรือนของข้า ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า!” ด้วยกลัวว่าเขาจะอาละวาดจนทำบุตรในครรภ์เถียนเสวี่ยได้รับอันตรายไปด้วย คุณชายสามจึงจับแขนเสื้อของคุณชายรองไว้แล้วผลักเขาออกไปด้านนอก
เถียนเสวี่ยที่ยืนอยู่บนบันไดได้แต่ปิดปากร้องด้วยความตกใจ แม้ใบหน้าจะขาวซีดไปหมดแล้ว แต่ยังมีสติกำชับสาวใช้ว่า “รีบไปเรียนฮูหยินรองเร็วเข้า”
สาวใช้น้อยเดินไปตามระเบียงทางเดินเพื่อหลบเลี่ยงสองพี่น้องที่กำลังวิวาทกันอยู่
คุณชายรองจ้องคุณชายสามนิ่ง ในแววตาฉายความแค้นเคืองออกมา ทั้งเอ่ยอย่างบ้าคลั่งว่า “เจ้าสาม เจ้าทำให้ข้าต้องเป็นเช่นนี้แล้ว หากคิดจะปิดประตูใช้ชีวิตอย่างสงบสุขน่ะหรือ ฝันไปเถิด!”
เขาชกหมัดออกมาหมัดหนึ่ง คุณชายสามหลบไปตามสัญชาตญาณ หมัดนั้นจึงกระแทกถูกบ่าเขา
สายตาคุณชายสามจ้องคุณชายรองที่คลุ้มคลั่งผู้นั้นนิ่ง ในใจก็พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
เขาชั่วช้าเพียงนี้ เหตุใดตนจึงไม่เบียดเขาให้ตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเสียเลยเล่า!
กระทั่งอีกหมัดหนึ่งชกเข้าใส่ เพราะเสียงร้องตกใจของเถียนเสวี่ยทำให้คุณชายรองตื่นจากภวังค์ เขาจับข้อมือของคุณชายรองไว้ บิดมันอย่างไม่เกรงใจแล้วแค่นหัวเราะเอ่ยว่า “เจ้ารอง เจ้ามันเห็นแก่ตัวจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เอง ข้าเฝ้ามองดูมาตลอด! ไหนลองบอกมาสักหน่อยเถิดว่าข้าคุณชายสามทำร้ายอันใดเจ้า หรือเพราะคืนนั้นที่ข้าไปหาเจ้าเพื่อสอบถามเรื่องราวให้กระจ่าง”
เขาหันหลังกลับไปเอ่ยว่า “ญาติผู้น้อง เจ้าเข้าเรือนไปก่อนเถิด”
เถียนเสวี่ยกัดริมฝีปากล่างตนด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ
เมื่อเห็นนางยกกระโปรงเดินหมุนตัวคิดจากไป คุณชายรองที่จ้องเงาเบื้องหลังนางอยู่ก็พลันแค่นหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “น้องสามรีบไล่ญาติผู้น้องไปทำไมเล่า หรือเพราะกลัวคนจะรู้ว่าตนทำชั่วอันใดไว้”
คุณชายสามถลึงตาเบิกกว้างด้วยความโทสะ แล้วก้มหน้าพื้นเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ข้ากลัวคนจะรู้ว่าตนทำชั่วงั้นหรือ ข้าคุณชายสามสกุลหลัวเดินอกผายนั่งไหล่ผึ่ง มิเหมือนคนบางคน โชคร้ายมาเยือน ไม่คิดว่าเป็นกรรมตามสนองแต่ในหัวกลับเอาแต่โทษผู้อื่น”
คุณชายรองเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มออกมา “เช่นนั้นการที่น้องสามตกหลุมรักสาวใช้ทงฝังของบิดาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ทั้งเอาแต่คิดถึงนางไม่ลืมเลือนก็เป็นการกระทำที่เรียกว่าเดินอกผายนั่งไหล่ผึ่งงั้นหรือ”
คิดไม่ถึงว่าคุณชายรองจะพูดเรื่องพรรค์นี้ต่อหน้าเถียนเสวี่ยและเจินเมี่ยว คุณชายสามจึงหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขากำคอเสื้อคุณชายรองแน่นพลางเอ่ยอย่างมีโทสะว่า “เจ้าพูดเหลวไหลอันใด!”
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงร้องห้ามของนางเถียนดังลอยมา นางรีบวิ่งเข้ามาพลางเอ่ยตำหนิว่า “เจ้าสาม เจ้าทำอันใดกัน พี่รองเจ้าอารมณ์มิใคร่ดีนัก เขามาสั่งสอนเจ้า เจ้าแค่ฟังก็พอแล้ว เหตุใดต้องลงไม้ลงมือ”
คุณชายสามคลายมือตนแล้วหันไปมองนางเถียนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ เขาถอยไปสองก้าวพลางแค่นหัวเราะเอ่ยว่า “ท่านแม่พูดถูก คนเช่นนี้มิควรค่าให้มือข้าต้องแปดเปื้อนเลย!”
“เจ้าสาม! เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้กับพี่ชายตนเอง เจ้ารองกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก พวกเจ้าเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ควรช่วยเหลือกัน เหตุใดถึงได้ซ้ำเติมกันเช่นนี้” นางเถียนเอ่ยขึงขังแล้วจึงถอนหายใจ “เจ้าสาม หากเจ้าไม่มีแม้แต่ความรักความห่วงใยให้พี่น้อง แม่รู้สึกผิดหวังในตัวเจ้าเหลือเกิน”
คุณชายรองมองคุณชายสามที่มีท่าทีเสียใจดั่งคนถูกกระทำอย่างไม่ยี่หระ
ตนรู้จักน้องชายคนนี้ดี แค่การที่เขาเคยหวั่นไหวกับเยียนเหนียงก็ไม่มีทางเอาเรื่องของเขาไปบอกผู้อื่นแล้ว ควรต้องทราบว่าเมื่อใดก็ตามที่ฐานะแท้จริงของเจ้าแปดถูกเปิดเผยออกมา เยียนเหนียงก็มีแต่ทางตายทางเดียวเท่านั้น ผู้รักถนอมหยกงามเช่นเขาไหนเลยจะกล้าทำลายชีวิตหนึ่งชีวิตเพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคได้
เจินเมี่ยวพลันเอ่ยปากขึ้นภายใต้บรรยากาศที่คล้ายหยุดชะงักไปครู่หนึ่งนี้ “อาสะใภ้รอง ท่านเข้าใจน้องสามผิดไปแล้ว ข้าอยู่ที่นี่ตลอด ข้าเห็นกับตาว่าน้องรองบุกเข้ามาทำร้ายน้องสามก่อน”
นางที่ยืนเฝ้ามองเหตุการณ์อันร้อนแรงนี้กลับมิอาจอยู่นิ่งได้อีกต่อไป
คิดไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีคนชอบกลับดำเป็นขาวเช่นคุณชายรอง วันนี้หากนางมิกระชากหนังหน้าอันหนาหนักของเขาออกมา นางจะไม่ไปไหนเด็ดขาด!
นางเถียนจึงเพิ่งเห็นว่าเจินเมี่ยวอยู่ที่นี่ด้วย พลันรู้สึกเสียหน้าขึ้นมาจึงเอ่ยแดกดันไปว่า “ที่แท้หลานสะใภ้ก็อยู่ด้วย เจ้าเป็นสะใภ้ใหญ่เหตุใดจึงปล่อยให้พวกเขาพี่น้องชกต่อยกันแต่กลับไม่ห้ามเล่า”
เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างรู้สึกแปลกใจสงสัยยิ่ง “อาสะใภ้รอง ข้าเห็นแค่น้องรองที่บุกเข้ามาลงไม้ลงมือ ยังมิเห็นน้องสามตอบโต้ด้วยซ้ำ ไหนเลยจะเรียกว่าชกต่อยกันได้เล่า”
นางมองคุณชายรองและคุณชายสามคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หากชกต่อยกันจริง แค่ฝีมือจากการฝึกซ้อมจากค่ายทหารของน้องสาม…เกรงว่าภาพที่อาสะใภ้รองเห็นคงไม่เป็นเช่นนี้แน่”
นางเถียนจุกอกไปคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “หลานสะใภ้ใหญ่ เจ้าไม่เข้าใจเรื่องราวที่แท้จริงก็มิจำเป็นต้องพูดให้มากความ เจ้ารองมาหาเจ้าสามเพราะสองสามวันมานี้มีเรื่องกลัดกลุ้มใจจึงอดกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ เท่านั้น”
ยามนี้เจ้ารองได้กลายเป็นตัวตลกให้คนวิจารณ์ไปทั่วเมืองหลวงแล้ว จึงมิอาจให้มีข่าวว่าลงไม้ลงมือกับพี่น้องตนแพร่ออกไปอีกได้
หากมิใช่เพราะเจ้าสามทำเรื่องอัปรีย์มิรู้ความนั่นก่อน เจ้ารองไหนเลยพบเคราะห์ร้ายอันไม่คาดคิดนี้ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางเถียนก็อดหันไปชำเลืองมองคุณชายสามมิได้
ครั้นเจินเมี่ยวยอมออกหน้าให้ ใจของคุณชายสามก็อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสายตานั้นของนางเถียนกลับทำให้เขาดั่งตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งก็มิปาน
มุมปากเจินเมี่ยวประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ “อาสะใภ้รอง ข้าทราบเรื่องนั้นดี น้องรองเกิดความคิดอันไม่ควรมีต่อสาวใช้ทงฝังของท่านอารอง น้องสามทราบเข้า คิดว่าเขาทำไม่ถูกจึงไปหาเขาเพื่อพูดคุยให้กระจ่าง”
“อย่าได้พูดจาเหลวไหล!” มิทันรอให้คุณชายรองตื่นจากภวังค์แห่งความตกใจ นางเถียนก็ร้องเสียงแหลมขึ้นต่อว่าเสียก่อน
เมื่อเห็นท่าทีตอบโต้ของนางเถียนแล้ว ใจของคุณชายสามกลับยิ่งเหน็บหนาวมากขึ้นไปอีก เขาหัวเราะเยาะหยันตนทันที ที่แท้มารดาที่เขารักและเคารพมาตั้งแต่เยาว์วัยกลับไม่ลังเลเลยที่จะเทถังอาจมราดบนศีรษะเขา มากกว่าที่จะยอมคิดว่าเจ้ารองจะทำเรื่องผิดพลาดแม้เพียงสักน้อยนิด
เจินเมี่ยวปิดปากไว้ด้วยท่าทีตกใจเล็กน้อย “อาสะใภ้รอง ท่านอย่าเพิ่งวู่วามไป ข้าเพียงบังเอิญได้ยินบ่าวไพร่พูดคุยกันเท่านั้น”
อย่างไรเสียเรื่องที่คุณชายรองกับเยียนเหนียงลอบนัดพบกันก็เป็นความจริง นี่ไม่นับว่านางใส่ร้ายพวกเขาเลย
“สารเลว เจ้าหุบปากเสีย!” คุณชายรองถลึงตาเบิกกว้าง แล้วยื่นมือออกมาหวังคว้าตัวเจินเมี่ยวท่าทางคล้ายสัตว์ดุร้ายตัวหนึ่งที่คิดจะจับคนไปฉีกทึ้ง
คุณชายสามเกิดโมโหขึ้นมา “เจ้ารอง หากเจ้ากล้าแตะต้องพี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้ข้าจะหักแขนเจ้าเสีย!”
“เจ้าสาม!” นางเถียนมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ นางหันไปมองเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว “หลานสะใภ้ พวกเขาพี่น้องต้องชกต่อยกันเพราะเจ้า อาสะใภ้รองคงต้องไปรายงานเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบสักหน่อยแล้ว”
เจินเมี่ยวกะพริบตาอย่างคนถูกใส่ร้าย “อาสะใภ้รองพูดเช่นนี้ได้อย่างไร เห็นชัดว่าน้องรองคิดไม่ซื่อต่อเยียนเหนียง พวกเขาถึงได้ทะเลาะกัน หากท่านย่าเรียกพบข้าก็จะพูดเช่นนี้เช่นกัน”
นางเถียนโกรธจนปวดร้าวหัวใจไปหมด ทั้งทนไม่ได้ที่เจินเมี่ยวสาดน้ำสกปรกใส่คุณชายรอง นางจึงอดเอ่ยออกมามิได้ว่า “เป็นเจ้าสาม…”
ครั้นเอ่ยออกไปจึงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม นางได้แต่เข่นเขี้ยวเขี้ยวฟัน อยากจะให้เจินเมี่ยวหายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้คงดีไม่น้อย
เจินเมี่ยวเบนสายตาไปมองสองพี่น้องนั้นทันทีแล้วส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ต่างเป็นบุตรชายด้วยกันทั้งสิ้น เหตุใดอาสะใภ้รองถึงต้องให้น้องสามรับผิดแทนน้องรองด้วย แม้แต่ข้าที่เป็นพี่สะใภ้ยังทนดูไม่ได้”
นางเถียนกลับสูดปากตนคราหนึ่ง
วาจานี้ของนางเจินช่างเต็มไปด้วยเจตนาร้าย เดิมเจ้าสามก็ทำตัวเหินห่างกับนางอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เขาจะคิดเช่นไร เกรงว่าคงได้ตำหนิต่อว่ามารดาเช่นนางไปชั่วชีวิตเลยกระมัง
นางคนสารเลว ความคิดช่างชั่วร้ายนัก!
นางเถียนกำลังคิดจะด่าออกไป กลับได้ยินเจินเมี่ยวพูดขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “หากเป็นอย่างที่อาสะใภ้รองพูดว่าน้องสามทำผิด น้องรองจึงได้สั่งสอนตักเตือน คืนนั้นน้องรองก็ควรไปที่เรือนน้องสาม เหตุใดเรื่องราวจึงกลับกันเล่า ข้าคิดว่าต่อให้กล้าหาญเพียงใด แต่หากกระทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้น คนที่ทำผิดคงต้องเก็บซ่อนมันไว้อย่างดีด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะทราบเข้า ไหนเลยจะวิ่งไปเรือนผู้อื่นแล้ววิวาทกันจนเป็นเรื่องเป็นราว”
สายตาตานางจับจ้องนางเถียนที่สีหน้าซีดเหลือง ท่าทีเหม่อลอย รอยยิ้มเคลือบที่มุมปากแล้วเอ่ยว่า “สายตาของบรรดาบ่าวไพร่ช่างแม่นยำนัก ต่างเป็นบุตรชายเช่นกัน ผู้ใดทำผิดก็อบรมสั่งสอนเสีย แต่หากผู้ที่มิได้ทำผิดต้องมารับผิดชอบแทน คนทำผิดกลับทำตัวดั่งมิใช่เรื่องตนต่างหากที่ทำให้คนเจ็บปวดใจ อาสะใภ้รอง ท่านว่าใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวพูดจบก็หันไปชำเลืองมองคุณชายรองคราหนึ่ง แล้วย่อกายคารวะนางเถียนที่นิ่งงันเป็นระกาไม้ “อาสะใภ้รอง ข้าขอตัวกลับก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
กระทั่งเจินเมี่ยวเดินไปไกลแล้ว นางเถียนจึงค่อยๆ กันกลับมามองคุณชายรอง ริมฝีปากสั่นระริกเล็กน้อย “เจ้ารอง ที่นางพูดเป็นเรื่องจริงหรือ”
นางไม่อยากเชื่อแต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกว่าที่เจินเมี่ยวพูดนั้นมีเหตุผลไม่น้อย…
“ไม่…” นางเถียนส่ายหน้าโดยแรงเพื่อสลัดความคิดนั้นทิ้งไป
นางเจินคงต้องการยุแหย่เพื่อทำลายชื่อเสียบุตรชายที่นางภาคภูมิใจที่สุดเป็นแน่
นางมองไปที่คุณชายสาม “เจ้าสาม คนที่มีใจให้กับเยียนเหนียงเมื่อคราแรกเป็นเจ้าแท้ๆ เหตุใดจึงยอมปล่อยให้ผู้อื่นเอาน้ำสกปรกมาสาดพี่รองเจ้าได้”
“ท่านแม่!” คุณชายสามรู้สึกไม่อยากเชื่ออย่างยิ่ง เขาหันกลับไปมองเถียนเสวี่ยคราหนึ่ง
เขาไม่ควรคาดหวังว่าเมื่อท่านแม่ฟังวาจาของพี่สะใภ้ใหญ่แล้วจะเห็นธาตุแท้ของเจ้ารองเสียที ใช่การพยายามโยนเรื่องของเยียนเหนียงเข้าใส่เขาต่อหน้าภรรยาเขาเช่นตอนนี้!
แววตาของคุณชายสามเย็นชาไปจนถึงก้นบึ้ง
นางเถียนถึงกับตกใจจนอึ้งงันกับแววตาเย็นชานั้นของคุณชายสาม นางหันหน้ามามองเลิ่กลั่กด้วยใจอันสับสน “เจ้ารอง…”
คุณชายรองพลันหัวเราะออกมา เมื่อหัวเราะพอแล้วก็หมุนกายเดินโซซัดโซเซออกไปด้านนอก
นางเถียนรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาจึงรีบร้องตะโกนออกไปว่า “รีบไปเชิญหมอหลวงมาเร็ว”
นางรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้วด้วยรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตั้งแต่คุณชายรองสอบไม่ผ่าน เขาก็ดูไม่ใคร่ปกตินัก เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้วมิใช่ป่วยเป็นโรคทางจิตแล้วหรือ
คุณชายสามมิได้ตามออกไป แต่หมุนกายเดินไปบนบันได แล้วโอบเอวเถียนเสวี่ยพลางเอ่ยด้วยท่าทีเหนื่อยล้าว่า “ญาติผู้น้อง เราเข้าเรือนกันเถิด”
“อืม” เถียนเสวี่ยเก็บความตกใจหวั่นไหวทุกอย่างไว้ให้ลึกสุดใจแล้วหมุนกายตามเข้าไป
กระทั่งส่งหมอหลวงกลับไปแล้ว นางเถียนจึงหันไปมองคุณชายรองที่หลับสนิทไปหลังจากดื่มยาด้วยสีหน้าขมวดเกร็ง “ท่านพี่ยังไม่กลับมาใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
“ไปเรียกสาวใช้ร่างใหญ่มาสักหลายคนหน่อย”
กระทั่งคนมาครบแล้วนางเถียนจึงไปที่เรือนฝั่งตะวันตก
“ฮูหยิน…” สาวใช้ที่มาเปิดประตูรีบทำความเคารพ
นางเถียนไม่มองแม้แต่หางตา นางเชิดคางขึ้นเอ่ยกำชับว่า “พวกเจ้าเข้าไปเชิญเยียนเหนียงออกมา”
สาวใช้ร่างใหญ่ต่างมองสบตากันด้วยความลังเลเลิกลัก
นายท่านรองรักใคร่เยียนเหนียงและบุตรมาก พวกนางต่างเห็นกันอยู่กับตาตน
นางเถียนมีโทสะขึ้นมา “มีอันใด ข้าสั่งพวกเจ้าไม่ได้แล้วงั้นหรือ หากผู้ใดไม่ไป ข้าจะไล่ออกจากจวนเดี๋ยวนี้!”
สาวใช้ทั้งหลายต่างใจหายวาบขึ้นมาจึงรีบเข้าไปในเรือน ไม่นานก็ลากเยียนเหนียงออกมา
เยียนเหนียงมองนางเถียนคราหนึ่งด้วยความสงบนิ่ง “เยียนเหนียงคารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”
นางเถียนจ้องเยียนเหนียงเขม็ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ดูท่าเยียนเหนียงคลอดบุตรแล้วคงไม่มีเวลาดูแลตัวเอง บ่าวไพร่ช่วยเยียนเหนียงล้างหน้าสักหน่อยเถิด!”
ภายในบริเวณเรือนนั้นมีอ่างเลี้ยงปลาลายครามอยู่คู่หนึ่ง สูงเท่าเอวคน เมื่อได้ยินคำสั่งของนางเถียน สาวใช้ร่างใหญ่หลายคนต่างก็กดศีรษะของเยียนเหนียงลงไปในนั้นพร้อมกัน