วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 388 หลงเข้าไปในป่าดอกหลี
“เรื่องในจวนนั้นมากมาย นอกจากครั้งที่ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่จวนปั๋ว ระยะนี้ข้ามิได้ออกไปที่ใดเลย ไหนเลยจะเคยได้ยินชื่อคุณชายฉินอันใดนั่นเล่า”
ฉงสี่เซี่ยนจู่จึงเอ่ยว่า “คุณชายฉินเพิ่งมีชื่อเสียงขึ้นมาในระยะนี้แล เขาเป็นสหายสนิทของอานจวิ้นอ๋อง และเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลใหญ่ อานจวิ้นอ๋องลากเขาไปร่วมงานเลี้ยงฉลองด้วยอยู่หลายครา ครั้นได้แสดงฝีมือการดีดพิณเพียงครั้งก็กลายเป็นบุคคลที่สตรีทั่วเมืองหลวงต่างยกยอไปเสียแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะไม่ทราบข่าวนี้แม้เพียงสักนิด”
ความจริงเรื่องนี้มิอาจโทษเจินเมี่ยวว่าไม่รู้เรื่องราวใดเอาเสียเลย ควรต้องทราบว่าคุณชายฉินผู้นี้ก็คือจวินเฮ่า และหากเป็นข่าวคราวของจวินเฮ่า หลัวเทียนเฉิงต่างปิดทางไว้อย่างแน่นหนา ไหนเลยจะยอมให้เจินเมี่ยวทราบเรื่องได้
“ที่แท้ก็เป็นเขานั่นเอง” เมื่อเจินเมี่ยวได้ฟังก็ทราบทันทีว่าคนที่ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยถึงคือผู้ใด เมื่อนึกได้ว่าตนเคยเข้าใจว่าเขาเป็นบุรุษลามกมักมากก็เริ่มรู้ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย
“หรือเจ้ารู้จักเขา” นัยน์ตาดำขลับที่ตัดกับตาขาวอย่างชัดเจนของฉงสี่เซี่ยนจู่พลันเปล่งประกายออกมา
“บังเอิญพบกับอานจวิ้นอ๋องครั้งหนึ่งจึงได้พบเขาด้วย” เจินเมี่ยวกดเสียงให้ต่ำลงอีก “ฉงสี่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าสนใจในตัวคุณชายฉินผู้นั้นยิ่งเล่า”
ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยด้วยท่าทีเปิดเผยว่า “พิณ หมากล้อม พู่กันและการวาดภาพ บทกวี สุรา บุปผา ชา ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมข้าล้วนสนใจทั้งสิ้น มา เรามาประลองกันสักตาเป็นไร”
ไม่ทราบว่านางล้วงเอากระบอกไม้ที่สลักเป็นฟักทองมาจากที่ใด เจินเมี่ยวยื่นหน้าเข้าไปดูด้วยความสนอกสนใจ จึงพบว่ากระบอกไม้รูปฟักทองนั้นใส่เบี้ยสีขาวดำไว้เต็มไปหมด
เจินเมี่ยวถึงกับตัวสั่นขึ้นมา
ดีเหลือเกิน นางช่างซ่อนได้มิดชิดนัก!
เจินเมี่ยวโบกมือไปมา “ไม่ได้หรอก ท่านก็รู้ฝีมือของข้าดี”
ฉงสี่เซี่ยนจู่กำเบี้ยนั้นไว้แล้วถอนหายใจยาวออกมา “สหายจิ้งจอก สหายสุนัขนั้นหาง่ายแต่ผู้รู้ใจนั้นหายากยิ่ง!”
เจินเมี่ยวมองนางตาขวาง “มีผู้ใดพูดตรงนี้หรือไม่เล่า”
ฉงสี่เซี่ยนจู่กลอกตาให้นางคราหนึ่ง แล้วหยิบเบี้ยเหล่านั้นขึ้นมาจัดวางอย่างเบื่อหน่ายเหลือคณา
เจินเมี่ยวเกิดคิดอยากแก้แค้นขึ้นมา จึงยิ้มอย่างแฝงเจตนาร้ายพลางเอ่ยว่า “ฉงสี่ ท่านคิดว่าต้องเป็นเช่นไรจึงเรียกว่าเป็นเซียนแห่งหมากล้อมหรือ”
ฉงสี่เซี่ยนจู่พลันสนใจขึ้นมาจึงเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “อยากจะฟังอย่างละเอียดจริงๆ หรือ”
“ข้าเคยพบคนผู้หนึ่งที่สามารถปิดตาเดินหมากล้อมได้”
“ปิดตา?” ฉงสี่เซี่ยนจู่เผยสีหน้าแห่งความคิดถึงออกมา “อาจารย์ที่เคยสอนข้าก็สามารถปิดตาเดินหมากล้อมได้เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ตั้งแต่ท่านจากไป ข้าก็มิเคยได้ยินว่าผู้ใดในต้าโจวสามารถปิดตาเดินหมากได้อีกเลย”
เจินเมี่ยวยิ้มอย่างภูมิใจยิ่ง “คนที่ข้าเคยพบ เขายังสามารถเดินหมากแข่งกับคนถึงห้าคนทีเดียว”
โลกที่นางจากมานั้น ระดับฝีมือของผู้ที่เล่นหมากล้อมเป็นอาชีพนั้นฝีมือช่างห่างไกลจากยอดฝีมือในต้าโจวลิบลิ่ว
“หา!” ฉงสี่เซี่ยนจู่ผุดลุกขึ้นอย่างลืมตัว เมื่อเห็นสายตาสงสัยของคนรอบกายจึงนั่งลงอีกครา นางดึงมือเจินเมี่ยวมาถามด้วยความร้อนใจว่า “คนผู้นั้นเป็นใคร ยามนี้อยู่ที่ใด”
“คนผู้นั้น…ออกเดินทางไปไกลแล้ว…” เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากคราหนึ่งอย่างคนทำความผิด “ความจริงข้าก็ไม่รู้จักเขา เพียงแค่บังเอิญพบเขากำลังปิดตาเดินหมากล้อมกับคนถึงห้าคนจึงจำได้อย่างแม่นยำเท่านั้นเอง”
ฉงสี่เซี่ยนจู่ฟังอย่างตั้งใจแล้วพึมพำออกมาว่า “บุคคลเช่นนี้ การเดินหมากล้อมเช่นนี้ จะมิจำได้อย่างแม่นยำได้อย่างไรกัน”
นางกอดอกถอนหายใจออกมา “เหตุใดผู้ที่พบคนผู้นั้นจึงไม่ใช่ข้า ให้เจ้าพบเขาก็ไม่ต่างอันใดกับการทำลายสมบัติจากสวรรค์แท้ๆ!”
เจินเมี่ยวกลอกตาให้นางคราหนึ่ง “พอแล้วกระมัง!”
ฉงสี่เซี่ยนจู่กลับไม่พูดจาตอบโต้อยู่เป็นนานคล้ายถูกมนตร์สะกดก็มิปาน
“ฉงสี่?” เจินเมี่ยวยื่นมืออกไปหยิกนาง
ฉงสี่เซี่ยนจู่กะพริบตาปริบๆ ก่อนตื่นจากภวังค์
“เลิกคิดได้แล้ว บุคคลอัศจรรย์เช่นนั้น การได้พบเขาเป็นวาสนาอันยากจะมี”
“คนผู้นั้น…อายุเท่าใด”
เจินเมี่ยวครุ่นคิดถึงยอดฝีมือผู้นั้นที่นางเคยได้พบในภพก่อนแล้วเอ่ยว่า “น่าจะยี่สิบต้นๆ กระมัง”
ฉงสี่เซี่ยนจู่เม้มริมฝีปากตน ขยับเข้ามาใกล้นางแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำแผ่วว่า “เจินเมี่ยว ข้าตัดสินใจแล้ว”
“ตัดสินใจอันใด”
ฉงสี่เซี่ยนจู่มีสีหน้าจริงจังยิ่ง “ข้าจะไปพูดกับพระมารดาว่าข้าจะเลือกคู่หมายจากหมากล้อม ผู้ใดสามารถปิดตาเดินหมากกับคนถึงห้าคนได้ ข้าจะแต่งกับเขา!”
เจินเมี่ยวถึงกับตกจากเก้าอี้ไม้นั้น ในใจก็เอ่ยว่าแย่แล้ว หากฉงสี่เซี่ยนจู่กลายเป็นสตรีแก่ทึนทึก นางผู้เป็นสหายโง่เขลาคงต้องรับผิดชอบเสียแล้ว!
“ฉงสี่…”
“เจินเมี่ยว ข้าได้ให้คนจัดขนมไว้ที่สวนดอกหลีด้านนั้น หากเจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายก็ไปลองชิมขนมดูได้ ข้าไปหาพระมารดาแล้ว” ฉงสี่ทิ้งเจินเมี่ยวไว้แล้วเดินหนีไปทันที
เจินเมี่ยวเบิกตาอ้าปากกว้าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นอย่างจนใจ
รอบกายนางล้วนเป็นคุณหนูน้อยที่ยังมิออกเรือน ครั้งนี้เจินปิง เจินอวี้ก็มิได้มา นางอยู่ที่นี่จะมีความหมายอันใดกัน
เจินเมี่ยวค่อยๆ เดินลึกเข้าไปตามทิศทางที่ฉงสี่เซี่ยนจู่ชี้
ทั่วสารทิศมีแต่ต้นหลี ดอกหลีร่วงโปรยเกลื่อนพื้นดุจหิมะ กลิ่นหอมเย็นโอบรอบอยู่รอบกาย งดงามอย่างที่สุด
ทัศนียภาพที่เหมือนกันไปเสียหมด แตกต่างแค่เพียงเล็กน้อยนี้ทำให้เจินเมี่ยวต้องยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก คล้ายว่านางเลี้ยวผิดทางแล้ว
นางรู้สึกเสียใจขึ้นมาจึงหมุนกายเดินกลับไปยังทิศทางเดิมที่จากมา แต่กลับหาทางออกไม่เจอ เพียงได้ยินเสียงหัวเราะสดใสดังแว่วมาจากรอบทิศ ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงพิณดังขึ้นแต่กลับมิได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยกันอีก นอกจากเสียงพิณแล้วก็มีเพียงเสียงลมพัดดอกหลีดังซ่าๆ เท่านั้น
เจินเมี่ยวหยุดเดินเพื่อฟังเสียงก่อนครู่หนึ่งพลางเอ่ยในใจว่าเสียงพิณนี้จวินเฮ่าต้องเป็นผู้ดีดบรรเลงเป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาคุณหนูคงต้องอยู่ทิศตรงกันข้ามกับเสียงพิณเป็นแน่
นางหมุนกายเดินไปอีกด้านหนึ่ง เมื่อเดินไปร้อยกว่าก้าวก็เห็นโต๊ะหินจัดวางอยู่ไม่ไกลเท่าใดนักดั่งคาด ด้านข้างยังมีสตรีสองนางที่มัดมวยผมอย่างสาวใช้น้อยอยู่ด้วย
ดวงตาเจินเมี่ยวเป็นประกายขึ้นมาแล้วรีบพุ่งเข้าไปทันที
เจินเมี่ยวเป็นสหายสนิทกับฉงสี่เซี่ยนจู่ เห็นชัดว่าสาวใช้ทั้งสองรู้จักนางจึงย่อกายทำความเคารพ “บ่าวคารวะจยาหมิงเซี่ยนจู่เจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวโบกมือไปมาเป็นการบอกว่ามิต้องมากพิธี นางยกกาสุราสีเขียวหยกขึ้นรินจนเต็มจอกด้วยตนเอง แล้วยกมันขึ้นจ่อที่ปลายจมูกเพื่อสูดดม นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สุราที่หมักจากดอกหลีช่างยอดเยี่ยมนัก แต่สตรีมิอาจดื่มมากจนเกินไป ฉงสี่มิได้เตรียมอย่างอื่นไว้ด้วยหรือ”
แม้เอ่ยเช่นนี้แต่นางก็ยังคงดื่มจนหมดจอก อากาศในเดือนสี่นั้นร้อนยิ่ง ทั้งนางยังเดินวนอยู่ในสวนดอกหลีนานจนเหงื่อเริ่มซึมออกมาแล้ว การได้ดื่มสุราดอกหลีที่หวานปนขม ความหอมนั้นซึมซาบเข้าไปภายในอวัยวะทั้งห้า เจินเมี่ยวถอนหายใจด้วยความผ่อนคลายแล้วรินอีกจอก
สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากัน อยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็มิกล้า สุดท้ายสาวใช้ที่อายุมากกว่าสักหน่อยจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “จยาหมิงเซี่ยนจู่…”
นางอยากถามว่าเหตุใดจึงมาที่นี่ได้ แต่หากสาวใช้ผู้หนึ่งเอ่ยถามออกไปเช่นนี้มิใช่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ นางจึงมิได้เอ่ยต่ออีก
เจินเมี่ยวกวาดตามองอาหารบนโต๊ะแล้วอดยิ้มออกมามิได้ นางหยิบเนื้อทอดชิ้นเล็กขึ้นมากินคำหนึ่ง
สาวใช้ทั้งสองถึงกับเบิกตาค้างไปทันใด
เจินเมี่ยวมองพวกนางคราหนึ่งแล้วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดที่มุมปาก พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฉงสี่บอกว่าเตรียมขนมไว้ ยังคิดว่าจะมีแต่ของหวานเลี่ยนๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีเนื้อทอดด้วย”
นางกวาดตามองอาหารเลิศรสที่วางเต็มโต๊ะนั้นแล้วโบกมือให้สาวใช้ทั้งสอง “คาดว่าฉงสี่คงไม่มาแล้ว ข้าคนเดียวกินไม่หมดหรอก หากมีอันใดที่ชอบ พวกเจ้าก็แบ่งไปกินเถิด”
สาวใช้ทั้งสองหน้ามืดไปทันที “จยาหมิงเซี่ยนจู่ยังมีผู้อื่นมาอีกเจ้าค่ะ…”
“ยังมีผู้อื่นอีก?” เจินเมี่ยวขมวดคิ้วขึ้น “ฉงสี่มิได้บอกข้าไว้เลย”
นางมองจานที่เดิมวางเนื้อทอดไว้ทั้งหมดหกชิ้นเป็นรูปดอกเหมยนั้นคราหนึ่ง ยามนี้ขาดไปหนึ่งกลีบดูแล้วมิใคร่น่ามองนัก
“จะมีคนมาเพิ่มอีก เจ้าก็ควรบอกข้าเสียก่อน”
สาวใช้ทั้งสองอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ในใจก็กล่าวว่าเซี่ยนจู่ท่านลงมือรวดเร็วยิ่ง เราเอ่ยปากเตือนอันใดไม่ทันเลยจริงๆ!
“ช่างเถิด เป็นข้าที่คิดไปเองว่าไม่มีผู้ใดแล้ว” เจินเมี่ยวไม่อยากทำให้สาวใช้ทั้งสองต้องลำบากใจอีก นางจ้องจานใบนั้นพลางครุ่นคิด แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาจัดให้เนื้อทอดนั้นกลายเป็นดอกเหมยห้าแฉก
“ไม่เลว เช่นนี้ก็ดูไม่ออกแล้ว”
เจินเมี่ยวพยักหน้าหงึกหงักแล้วพลันตัวแข็งทื่อ นางค่อยๆ หมุนกายหันไปมอง จึงเห็นอานจวิ้นอ๋องยืนอยู่ไม่ไกล ทั้งยังหันมามองนางด้วยรอยยิ้มตาหยีอีก
“จยาหมิง?” อานจวิ้นอ๋องโบกมือไปมาตรงหน้าเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวจึงมีสติคืนมา เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดนอกจากอานจวิ้นอ๋อง นางก็ลอบถอนหายใจออกมา แล้วย่อกายถวายพระพร “ที่แท้ก็เป็นพี่สิบสามนี่เอง ท่านกังรอคนกระมัง แหะๆๆ เช่นนั้นหม่อมฉันมิรบกวนแล้ว”
นางยกกระโปรงคิดเดินจากไปแต่อานจวิ้นอ๋องกลับยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้ามิได้รอผู้ใด”
เจินเมี่ยวอึ้งไป ในใจก็เอ่ยว่าฉงสี่คงไม่มีทางจัดโต๊ะให้นางร่วมกินข้าวกับอานจวิ้นอ๋องกระมัง
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อานจวิ้นอ๋องกลับหมุนกายไปร้องตะโกนว่า “พวกเจ้ารีบมาเร็วเข้า จยาหมิงก็อยู่ที่นี่ด้วย”
วาจานี้ของเขาคล้ายเวทมนตร์ที่ปลุกความครื้นเครงให้เกิดขึ้น พริบตาก็มีคนมากมายเดินออกมาจากหลังต้นหลีนั้น
องค์ชายทั้งหลายต่างมากันพร้อมเพรียงรวมถึงอ๋องน้อยจากจวนหย่งอ๋อง หานมู่อวี่บุตรชายคนรองของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่และคนสุดท้ายคือจวินเฮ่าที่ถือพิณมาด้วย
เจินเมี่ยวนิ่งอึ้งเป็นระกาไม้ไป ในใจมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ‘ฉงสี่ เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะตีเจ้าให้ตายให้ดู!’
องค์ชายหกมีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขายกมือขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะออกมาเสียงแผ่ว “จยาหมิง คิดไม่ถึงว่าจะพบเจ้าที่นี่ด้วย”
“หม่อมฉันก็คิดไม่ถึงเช่นกันเพคะ” เจินเมี่ยวยกมุมปากขึ้นยิ้ม
นางเพียงฝืนก้มหน้าย่อกายทำความเคารพทุกคน กระทั่งถึงจวินเฮ่านางจึงทำเพียงโค้งกายเล็กน้อย “คุณชายจวิน”
“ฮูหยินเจิน” จวินเฮ่ามองนาง มุมปากประดับรอยยิ้มบางเบา ทว่าเมื่อเอ่ยคำสามคำนั้นออกมากลับรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ในหัวใจ เขาบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกทุกข์ระทมที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นมาจากที่ใด แต่ก็อดเหลือบมองนางอยู่หลายครามิได้
เจินเมี่ยวลอบกัดริมฝีปากตนอยู่เงียบๆ
นางรู้สึกว่าคุณชายจวินผู้นี้ดูแปลกๆ อย่างไรพิกล
ในกลุ่มคนเหล่านี้อานจวิ้นอ๋องอายุมากที่สุด เจินเมี่ยวจึงเอ่ยกับเขาว่า “เสด็จพี่สิบสาม พวกท่านค่อยๆ พูดคุยกันไปเถิด หม่อมฉันไม่รบกวนแล้ว”
“จยาหมิง ในเมื่อบังเอิญพบกันแล้ว ไยต้องรีบไปด้วยเล่า อย่างไรก็ฟังจวินเฮ่าดีดพิณสักเพลงเถิด” อานจวิ้นอ๋องชี้ไปที่ม้านั่งใต้ต้นดอกหลีที่กำลังบานสะพรั่งเป็นการบอกใบ้ให้นางไปนั่งที่นั่น
“จยาหมิง นั่งก่อนเถิด” องค์ชายหกส่งสายตาให้นาง
อานจวิ้นอ๋องมีอุปนิสัยดันทุรัง หากไม่ทำตามเขาก็ไม่แน่ว่าจะทำเรื่องผิดแปลกอันใดออกมา เพราะความเมตตาของเจาเฟิงตี้ที่มีแต่อานจวิ้นอ๋อง แม้แต่พวกเขาเหล่าองค์ชายเองก็ยังรู้สึกหวั่นเกรงไม่น้อย
คนที่อยู่ตรงนี้ นอกจากจวินเฮ่าแล้วต่างนับว่ามีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติกับนางไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะอ๋องน้อยถือว่าเป็นพี่ชายบุตรธรรมอย่างถูกต้องของนางเลยทีเดียว ว่าไปแล้วการฟังเพลงบรรเลงสักหนึ่งเพลงอย่างเปิดเผยก็มิใช่เรื่องไม่สมควรอันใด เจินเมี่ยวจึงนั่งลงตามที่องค์ชายหกบอก
นอกจากเจินเมี่ยวที่นั่งอยู่ใต้ต้นหลีแล้ว ผู้อื่นต่างนั่งล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะหินด้วยกันทั้งสิ้น มีเพียงจวินเฮ่าที่มิได้นั่ง แต่กลับเดินไปยังใต้ต้นหลีอีกต้น เอื้อมตัวเด็ดใบไม้มาใบหนึ่งแล้วเช็ดอย่างเบามือ
“จวินเฮ่า เหตุใดจึงเด็ดใบไม้มาเล่า” อานจวิ้นอ๋องเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ครั้งนี้ไม่ดีดพิณดีกว่าแต่จะเป่าใบไม้สร้างความบันเทิงให้กับทุกพระองค์แทนพ่ะย่ะค่ะ” จวินเฮ่าพูดพลางยกใบไม้ที่เช็ดสะอาดแล้วนั้นขึ้นทาบริมฝีปาก ใช้นิ้วจับกระชับไว้อย่างเบามือ เสียงดนตรีอันกังวานดังขึ้นเป็นจังหวะ คล้ายว่าเขากำลังลองเป่าเท่านั้น แต่เสียงที่ลองเป่าไม่กี่คราก็ดังอยู่ไม่นานกลับค่อยๆ กลายเป็นบทเพลงเพลงหนึ่ง
เพลงที่เขาเป่าคือ ‘ความคะนึง’