วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 390 จ้าวเฟยชุ่ยแผลงฤทธิ์
เมื่อเอ่ยจบเจินเมี่ยวพลันรู้สึกรอบกายเย็นยะเยือกขึ้นมา แม้แต่เส้นขนบนกายยังลุกชี้ชัน
“เป็นอันใดหรือ” นางกอดแขนเขาไว้ตามจิตใต้สำนึกแล้วเอ่ยถามเสียงออดอ้อน
น้ำเสียงออดอ้อนอ่อนโยนนั้นเต็มไปด้วยความไว้ใจ หลัวเทียนเฉิงจึงตื่นจากอารมณ์คุกรุ่นอันยากจะข่มกลั้นนั้นได้ มือเขากดขอบโต๊ะไว้ สีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงราบเรียบ “มิเป็นอันใด”
เจินเมี่ยวได้ยินเสียงดังแคร็กดังขึ้น นางก้มลงมองจึงเห็นว่าขอบโต๊ะนั้นหักหลุดติดมือออกมาแล้ว
“ซื่อจื่อ…”
ท่านไม่เป็นอันใดจริงหรือ หากป่วยเราก็ต้องรักษารู้หรือไม่!
“โต๊ะนี้ใช้มานานเกินไปแล้ว มันจึงผุหลุดออกมา” หลัวเทียนเฉิงเอาขอบโต๊ะที่หลุดติดมือมาวางลงบนโต๊ะ
เจินเมี่ยวมองโต๊ะไม้ที่ยังใหม่อยู่ถึงแปดส่วนซึ่งถูกใส่ร้ายนั้นโดยไม่พูดอันใด
นางพลันรู้สึกว่าโต๊ะหินอย่างที่อยู่ในสวนดอกหลีของจั่งกงจู่นั้นดีไม่น้อย
“ซื่อจื่อ ท่านกำลังหึงใช่หรือไม่” นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าจับจุดถูกแล้วก็กอดแขนเขาไว้พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเย้าแหย่
“ข้าจะหึงอันใดกัน” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยออกไปว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าอากาศร้อนเท่านั้น”
อากาศร้อนเสียจนอยากฆ่าจวินเฮ่าให้ตายไปเสีย
“ไม่หึงก็ดีแล้ว เฉินอ๋องยังบอกข้าว่าหากท่านรู้อาจโมโหเอาได้ ข้าจึงตอบไปว่าซื่อจื่อมิได้ใจแคบเช่นนั้นแน่”
หลัวเทียนเฉิง “…”
เขาเป็นคนใจแคบทั้งยังต้องคอยระวังมิให้ภรรยารู้อีกด้วย ทำอย่างไรดีเล่า
หลัวเทียนเฉิงที่กำลังกลัดกลุ้มจึงกินขนมยวนยางหมดในคำเดียว แล้วมิพูดจาอันใดอีกด้วยความหงุดหงิดใจ
ผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าร้องเพลงยังผิดทำนอง ดีดพิณก็ยังมิไพเราะเท่าข้า”
เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างตกใจว่า “ท่านคิดว่าหากท่านกับคุณชายจวินดีดพิณประสานเสียงกันคงดีกว่าข้าใช่หรือไม่”
“ประสานเสียง?” หลัวเทียนเฉิงพลันเอ่ยเสียงสูงขึ้นมา “พวกเจ้าบรรเลงเพลงประสานเสียงกันงั้นหรือ”
นัยน์ตาเขาเกิดเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมา เขาจับข้อมือเจินเมี่ยวไว้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
นางต้องพูดเรื่องอันใดที่ร้ายแรงออกไปเป็นแน่!
เจินเมี่ยวลอบคิดอยู่เงียบๆ
“เจี๋ยวเจี่ยว…”
“ใช่แล้ว ตอนนั้นคุณชายจวินใช้ใบไม้เป่าเป็นบทเพลง อานจวิ้นอ๋องรู้สึกว่าเรียบง่ายไปสักหน่อยจึงให้ข้าใช้พิณของคุณชายจวินดีดประสานเสียงไปด้วย”
หลัวเทียนเฉิงหลับตาลง ภายนอกอาจดูไม่ออก แต่ภายในนั้นโมโหจนแทบตายแล้ว
ชาติก่อนผู้ใดต่างก็ทราบดีว่าเซียนพิณจวินเฮ่าหวงแหนพิณหางหงส์ของเขาดุจดวงตาก็มิปาน เมื่อใดกันที่เขายอมให้คนจับต้องได้ตามใจ
หรือวาสนาของเขากับเจี๋ยวเจี่ยวจะเป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดไว้แล้ว ทำให้เกิดชมชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน
หรือจวินเฮ่าก็มีความทรงจำเมื่อชาติก่อนเช่นเดียวกับเขา
หลัวเทียนเฉิงสะบัดศีรษะไปมา
ไม่ หากเขามีความทรงจำเดิม ครั้งแรกที่เห็นตนคงไม่มีทางแสดงท่าทีเช่นนั้นแน่
ว่าไปแล้วด้วยอำนาจในตอนนี้ของหลัวเทียนเฉิง หากคิดจะเอาชีวิตของจวินเฮ่าไปอย่างเงียบๆ ก็มิใช่เรื่องยาก แต่เพราะผ่านเรื่องราวมามากมาย เขาจึงเข้าใจดีว่าบนโลกนี้มีหลายเรื่องที่จะหายวับไปพร้อมกับความตายแต่ไม่ใช่สำหรับความรัก
เขาไม่เชื่อเด็ดขาด ต่อให้ต้องอดทนอดกลั้นเพียงใด เขาก็จะรอเพื่อดูว่าครั้งนี้เจี๋ยวเจี่ยวยังจะมองคนผู้นั้นแม้เพียงหางตาหรือไม่
“เจี๋ยวเจี่ยว” น้ำเสียงของเขาสงบลงแล้วดั่งอารมณ์อันเดือดพล่านนั้นไม่เคยเกิดขึ้น เขาซุกศีรษะกับไหล่ของนางคล้ายเด็กหนุ่มผู้อ่อนแอคนหนึ่ง
“ข้าคิดว่าข้าคงหึงหวงอยู่บ้างเล็กน้อย ต่อไปหากเจ้าอยากบรรเลงดนตรีประสานเสียงกับผู้ใดก็ให้เป็นข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น อย่างไรเสียฝีมือดีดพิณเจ้าก็มิได้เก่งกาจอันใด ย่อมไม่มีผู้ใดรู้สึกเสียดายที่ฝุ่นควันบดบังประกายไข่มุกเป็นแน่”
“ซื่อจื่อ” เจินเมี่ยวกัดฟันเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าหากท่านมิพูดประโยคสุดท้ายออกมา ข้าคงรับปากด้วยความยินดีกว่านี้แน่”
หลัวเทียนเฉิงหัวเราะแผ่วเบา “เช่นนั้นข้าขอคืนคำ แค่เราสองคนรู้แก่ใจตนก็พอแล้ว”
“พอแล้ว” เจินเมี่ยวมองเขาด้วยสายตาตำหนิ “ท่านคิดว่าข้าอยากสร้างเรื่องขายหน้าหรือไร หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าอานจวิ้นอ๋อง เขาทำอันใดตามใจตนเสมอ ถ้าตอนนั้นไม่รับปากไปก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาจะทำเรื่องประหลาดอันใดขึ้นอีก”
เมื่อเอ่ยถึงอานจวิ้นอ๋อง สายตาหลัวเทียนเฉิงพลันเคร่งขรึมลงทันที
เขากับจวินเฮ่าเป็นสหายสนิทกัน ไม่มีทางที่จะไม่ทราบอุปนิสัยของจวินเฮ่า แต่กลับเอ่ยปากให้เจี๋ยวเจี่ยวร่วมบรรเลงพิณประสานเสียง เขาเพียงแค่ทำตามใจ…หรือมีสาเหตุอื่นกันแน่
อานจวิ้นอ๋องที่เดิมควรตายไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้วกลับกลายเป็นคนที่ทำให้เรื่องราวต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
เขาควรต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกสักคราแล้ว
“เจี๋ยวเจี่ยว”
“หืม”
“อีกสักสองสามวันข้าอาจจะมิได้กลับมาพักที่จวนชั่วคราว”
“จะไปที่ใด นานแค่ไหน” เจินเมี่ยวได้ยินวาจานี้แล้วอารมณ์กลับมิใคร่ผ่องใสนัก
นางคิดว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้น่าจะเรียกว่าความอาวรณ์
นางชินกับการนอนด้วยกันสองคนทุกคืน ชินกับการกินข้าวเย็นกับคนที่กินมากกว่านาง ทั้งยังกินด้วยท่าทางแสนอร่อยกว่านางเสียอีกไปแล้ว
เรื่องการออกไปทำงานต่างที่ต่างถิ่นอันใดนั่น นางเกลียดเหลือเกิน
“ยังไม่แน่นอน บางทีก็อาจมิต้องไป ถึงตอนนั้นคงรู้แน่”
หลัวจากนั้นสองวัน ว่าวผีเสื้อตัวหนึ่งก็ถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะเจาเฟิงตี้
ว่าวนี้แม่ทัพน้อยโอวหยางเจ๋อเป็นผู้นำมันกลับมาหลังจากออกไปทำงานที่นอกเมือง
โอวหยางเจ๋อคือหลานชายคนโตของจวนแม่ทัพโอวหยาง เดิมฝึกวิชาทหารอยู่ในค่ายทหาร เมื่อเริ่มเข้าสู่ยามวสันต์เกิดมีกลุ่มโจรเข้ามาก่อความวุ่นวายที่ทางเหนือ เขาจึงถูกส่งไปปราบโจรทั้งที่เพิ่งทราบข่าวว่านางเจี่ยงตั้งครรภ์
เขาออกออกไปสองเดือน แต่จัดการทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อยสวยงามและกลับมารายงานที่เมืองหลวง ชื่อแม่ทัพน้อยต่างถูกลือกระฉ่อนไปทั่ว แต่ที่ผู้อื่นไม่ทราบคือเขาได้นำสิ่งของอันน่าตกใจกลับมาด้วย
ว่าวนั้นไม่มีสายป่าน ทั้งยังฉีกขาดไปพอสมควร ตัวว่าวมีอักษรอยู่หนึ่งแถวเขียนว่า ‘ริมตลิ่งในหมู่บ้านสือหลี่มิได้เกิดจากภัยธรรมชาติ แต่เกิดจากคน การจัดการที่ผิดพลาดทำให้คนตายอย่างไม่เป็นธรรม หวังว่าสวรรค์จะลงโทษคนชั่วเสียที’
ด้านล่างยังเขียนอักษรตัวเล็กๆ เท่าหัวแมลงวันว่า ‘หลิงจือ’
“นี่มันเรื่องราวใดกัน” เจาเฟิงตี้ชี้ไปที่ว่าวนั้นด้วยสีหน้าปั้นยาก
หลัวเทียนเฉิงที่พาโอวหยางเจ๋อเข้าวังมาเข้าเฝ้าเจาเฟิงตี้จึงมองเขาคราหนึ่ง
โอวหยางเจ๋อที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งเอ่ยว่า “ขณะที่กระหม่อมเดินทางผ่านเส้นทางที่ใกล้กับจิงโจวก็บังเอิญเก็บว่าวนี้ได้ จึงส่งคนไปสืบดู พบว่าเส้นทางจากจิงโจวไปถึงเมืองหลวงล้วนมีการตั้งด่านตรวจค้นอย่างเข้มงวด ไม่ว่าผู้ใดที่จะไปที่เมืองหลวงล้วนต้องถูกสอบถามอย่างละเอียด กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ผิดปรกติยิ่ง มิกล้าแหวกหญ้าให้งูตื่นจึงเข้าเมืองหลวงมาหาใต้เท้าหลัวเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“จิงโจว หมู่บ้านสือหลี่…” เจาเฟิงตี้เอามือไพล่หลังเดินไปสองก้าวก็รู้สึกเพลียขึ้นมา จึงกลับไปนั่งเช่นเดิม “หรือเรื่องที่ฝนตกติดต่อกันสามวันสามคืนที่หมู่บ้านสือหลี่ ทำให้ตลิ่งพังแต่คนตายกลับน้อยยิ่งนั้นมีบางอย่างแอบแฝงอยู่”
เขาหันไปมองว่าวนั้นอีกคราด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาได้
โอวหยางเจ๋อคุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่นานจนเริ่มปวดหนึบขึ้นมาจึงได้ยินเจาเฟิงตี้เอ่ยว่า “ขุนนางหลัว เจ้ากับโอวหยางเจ๋อพาคนจำนวนหนึ่งไปสืบเรื่องที่จิงโจวอย่างเงียบๆ เราอยากรู้ว่าเรื่องที่เขียนอยู่บนว่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่!”
หลังจากที่หลัวเทียนเฉิงจากเมืองหลวงไปเงียบๆ ได้เจ็ดแปดวันก็ถึงพิธีอภิเษกอันยิ่งใหญ่ขององค์ชายหกพอดี
นางเถียนยังคงลุกออกจากเตียงไม่ได้ นางชีก็ยังสุขภาพมิใคร่แข็งแรงนัก จึงมีเพียงเจินเมี่ยวและนางซ่งที่ไปร่วมงาน
เจินเมี่ยวกับนางซ่งอยู่คนละแวดวงกัน เมื่อไปถึงที่นั่นคนทั้งสองจึงมิได้ถูกจัดให้นั่งโต๊ะเดียวกัน
แม้จะเป็นงานมงคลของอ๋องแต่ก็มิได้แตกต่างจากคนทั่วไปมากนัก เมื่อฟ้ามืดลงเสียงดนตรีบรรเลงก็ดังขึ้น จ้าวเฟยชุ่ยที่มีผ้าปิดหน้าเจ้าสาวสีแดงคลุมไว้จับผ้าแพรสีแดงคนละฝั่งกับองค์ชายหกเพื่อทำพิธีคำนับฟ้าดิน หลัวจากนั้นก็ถูกส่งไปที่ห้องหอ
พระชายาของซิ่วอ๋องเอ่ยเชื้อเชิญเจินเมี่ยวว่า “เราไปดูเจ้าสาวกันเถิด”
ต้าโจวมีธรรมเนียมว่าหลังจากเจ้าสาวเข้าไปในห้องหอแล้ว เจ้าบ่าวจะออกไปดื่มสุรากับแขกเหรื่อ บรรดาสตรีทั้งหลายซึ่งเป็นเครือญาติของฝ่ายเจ้าบ่าวจะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสาวเพื่อให้เกิดความครื้นเครงเบิกบาน และเป็นการทำความรู้จักกับเจ้าสาวไปในตัวด้วย
จ้าวเฟยชุ่ยที่เป็นหลานสาวของหวงโฮ่วนั้นคลุกคลีกับองค์หญิงและสตรีในพระบรมวงศานุวงศ์มาบ้างแล้ว นางจึงคุ้นเคยกับคนเหล่านี้พอสมควร
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “หวังเฟยไปเถิด หม่อมฉันนั่งรออยู่ที่นี่ดีกว่า”
พระชายาซิ่วอ๋องทำปากขมุบขมิบคราหนึ่งแล้วยื่นมือไปฉุดนาง “ไปเถิด เราทุกคนที่มาร่วมงานก็ไปกันหมด หากเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวจะน่าดูที่ใดกัน”
เมื่อเห็นว่ามีคนเริ่มมองมาทางพวกนางแล้ว เจินเมี่ยวจึงมิผลักไสอีก นางลุกขึ้นเดินตามไปทันที
ภายในห้องหอมีคนเบียดเสียดกันอยู่ไม่น้อยแล้ว ท่ามกลางเสียงเร่งเร้าของสตรีทั้งหลาย องค์ชายหกจึงค่อยๆ เปิดผ้าปิดหน้าเจ้าสาวขึ้น เสียงร้องชู่ๆ ด้วยความชื่นชมจึงดังขึ้นเป็นระลอก
เจินเมี่ยวอดมองอย่างละเอียดอีกครามิได้
ตั้งแต่จ้าวเฟยชุ่ยไว้ทุกข์ คนทั้งสองก็มิได้พบหน้ากันเลย วันนี้จึงเพิ่งเห็นว่านางได้กลายเป็นสาวน้อยที่งดงามหยาดเยิ้มจนคนใจสั่นหวั่นไหวไปแล้ว
“ข้าจะออกไปรับแขกก่อน ประเดี๋ยวเจ้าก็กินข้าวก่อนได้เลย” องค์ชายหกพูดจบก็เดินออกไปด้วยท่าทีเรียบเฉยไม่มีความเขินอายอย่างเจ้าบ่าวหมาดๆ สักนิด ทั้งที่สตรีทั้งหลายต่างคอยเย้าแหย่อย่างสนุกสนาน
เมื่อเขาจากไป บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักขึ้นกว่าเดิม
จ้าวเฟยชุ่ยเงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปทั่วห้องหอหลังใหม่นี้อย่างสง่างาม เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเจินเมี่ยวก็อดชะงักงันไม่ได้
กับเจินเมี่ยวนั้นนางยังคงรู้สึกสับสนอยู่มาก
เจินเมี่ยวเคยช่วยชีวิตนาง แต่เพราะเรื่องนั้นจึงทำให้ตนกับชูสยาจวิ้นจู่ห่างเกินกัน ทั้งยังมีท่าทีโกรธเคืองนางมากอย่างยิ่ง นี่เป็นเรื่องที่จ้าวเฟยชุ่ยไม่อยากเอ่ยถึงแม้แต่น้อย
เมื่อรวมกับเรื่องที่เจินจิ้งกลายเป็นอนุที่องค์ชายหกโปรดปรานที่สุด ก็ทำให้ตาชั่งของนางสูญเสียถ่วงดุลทันที สุดท้ายความโกรธเกลียดจึงมีมากกว่า นางลอบกลอกตาใส่เจินเมี่ยวคราหนึ่ง
เจินเมี่ยวมิได้แสดงตัวออกมาเพียงหลบอยู่ในกลุ่มคนเงียบๆ กระทั่งทุกคนพูดคุยหยอกล้อกันพอแล้วนางก็เดินออกมาพร้อมกับคนอื่นๆ
“ไปดูที่เรือนหน้าทีว่าท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง ได้ดื่มจนเมามายหรือไม่” จ้าวเฟยชุ่ยกำชับสาวใช้คนสนิท ในใจก็เอ่ยว่าหากดื่มมากก็ดี คืนนี้นางจะได้มิต้องเหนื่อยรับมือเขา
ไม่นานสาวใช้ก็กลับมาด้วยสีหน้าแฝงโทสะ
“มีอันใด”
“เดิมท่านอ๋องกำลังจะมาที่นี่แล้ว แต่คนของเรือนเหยี่ยนชุ่ยกลับมารายงานว่าจวิ้นจู่น้อยไม่สบาย ท่านอ๋องจึงบอกว่าจะไปดูก่อนค่อยกลับมาเจ้าค่ะ”
จ้าวเฟยชุ่ยโมโหยิ่ง นางดึงมงกุฎหงส์บนผมตนโยนทิ้งไปที่เตียง แล้วถอดอาภรณ์อันหนักอึ้งนั้นทิ้งเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีแดง เสื้อด้านบนเป็นแขนกระบอกแคบเล็ก นางเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไปเถิด เรียกแม่นมมาด้วยสักสองสามคนแล้วตามข้าไปที่เรือนเหยี่ยนชุ่ย!”
“คุณหนู!” สาวใช้ตกใจยกใหญ่
จ้าวเฟยชุ่ยถูกเลี้ยงอย่างตามใจมาตั้งแต่เยาว์วัย นางพูดคำใดล้วนเป็นคำนั้น เมื่อนางกวาดตามองสาวใช้คราหนึ่ง สาวใช้ผู้นั้นก็มิกล้าส่งเสียงออกมาอีก ได้แต่เดินตามหลังนางไปเงียบๆ
หลังจากที่จ้าวเฟยชุ่ยเดินออกมาก็ชี้นิ้วสั่งสาวใช้ในจวนอ๋องผู้หนึ่งว่า “เจ้านำทางข้าไปที่เรือนเหยี่ยนชุ่ยเดี๋ยวนี้”
คนกลุ่มหนึ่งเดินตามกันเป็นพรวนไปที่เรือนเหยี่ยนชุ่ย แค่เห็นว่าไฟยังสว่างอยู่ ทั้งมีเงาคนเคลื่อนไหวไปมา จ้าวเฟยชุ่ยก็ยกเท้าเตะประตูให้เปิดออกทันที
องค์ชายหกกำลังดูอาการของเจินเจินอยู่ เมื่อได้ยินเสียงจึงหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจอยู่หลายส่วน
จ้าวเฟยชุ่ยไม่มองเขาสักนิด แต่ตรงเข้าไปตบหน้าของเจินจิ้งที่กำลังมองมาด้วยความตกตะลึง
นางตบเข้าไปโดยแรงทำให้เจินจิ้งถึงกับล้มกลิ้งไปนั่งอยู่บนเตียง
แม่นมที่กำลังอุ้มเจินเจินอยู่ถึงกับมือไม้สั่นจะเกือบทำเด็กน้อยร่วงตกลงพื้น
องค์ชายหกจึงรีบเข้าไปรับเด็กน้อยมาอุ้ม เขาจ้องจ้าวเฟยชุ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ
จ้าวเฟยชุ่ยแค่นยิ้มเย็น “สตรีชั่ว หากเจ้าคิดว่าข้าจะเป็นคนดี เรียบร้อย มีจริยธรรม และอดทนอดกลั้น เจ้าก็มองคนผิดไปแล้ว ข้ามิได้เป็นบุตรของอนุ คงเรียนรู้ที่จะอดทนอดกลั้นเช่นนั้นมิได้หรอก!”