วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 393 ฟ้าผ่ากลางแจ้ง
“อยากพบข้า?” เสนาบดีหยางจัดอาภรณ์ตน “ฮูหยินผู้นั้นถามว่าอันใดบ้าง”
บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า “มิได้ถามขอรับ เพียงบอกว่าให้ไปเรียกนายท่านมาพบเท่านั้น”
เสนาบดีหยางหัวเราะแหะๆ แล้วเอ่ยกับองค์ชายสามว่า “จยาหมิงเซี่ยนจู่ช่างใจกล้ากว่าสตรีทั่วไปนัก”
องค์ชายสามพลันหวั่นไหวขึ้นมาในใจ “ดูภายนอกเหมือนอ่อนแอแทบต้านลมไม่ไหว”
เสนาบดีหยางฉวยโอกาสสั่งสอนไปว่า “บนโลกนี้คนที่อุปนิสัยขัดแย้งกับหน้าตานั้นมีมาก จะใช้รูปลักษณ์มาตัดสินคนนั้นย่อมไม่ได้”
“ท่านตากล่าวมีเหตุผลยิ่ง” แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจขององค์ชายสามกลับมิได้คิดเช่นนั้น
เขามิใช่เด็กน้อยแล้ว เป็นถึงท่านอ๋อง แต่ท่านตามักเห็นเขาเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความอยู่ร่ำไป ภายหน้าหากเขาได้ครองตำแหน่งนั้นก็ยังต้องมีท่านตาคอยชี้มือชี้เท่าบอกงั้นหรือ
เสนาบดีหยางไม่รู้ว่าหลานชายที่ตนรักใคร่เอ็นดูมาแต่เยาว์วัยจะคิดเป็นอื่น เขาเพียงเอ่ยกับบุรุษผู้นั้นว่า “ไปบอกแก่ฮูหยินผู้นั้นว่า ข้าเพียงเชิญนางมาเที่ยวที่นี่แค่ไม่กี่วัน ส่วนนายท่านของเจ้า นางไม่จำเป็นต้องพบหรอก”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “บอกนางว่าหากอยากทราบ ภายหน้าสามีนางคงบอกนางเอง”
คนผู้นั้นกำลังจะหมุนกายเดินจากไป แต่องค์ชายสามกลับเอ่ยปากขึ้นว่า “ท่านตา คนซ่อนอยู่ที่ใด ปลอดภัยดีหรือไม่”
เสนาบดีหยางเขยิบเข้าไปกระซิบข้างหูองค์ชายสามครู่หนึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นที่นั่นเอง” ดวงตาขององค์ชายสามเป็นประกายขึ้นมา
เจินเมี่ยวเดินไปใกล้ประตู ขณะกำลังจะผลักประตูก็เห็นมันเปิดออก สาวใช้ผู้นั้นเดินเข้ามา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ฮูหยินหิวหรือไม่เจ้าคะ”
เจินเมี่ยวหมุนกายกลับไปนั่งแล้วถามว่า “นายท่านเจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
“นายท่านบอกว่าแค่เชิญฮูหยินมาเที่ยวเล่นไม่กี่วันเท่านั้น ถึงเวลาก็จะส่งท่านกลับไป หากฮูหยินสงสัยในฐานะของนายท่าน ภายหน้าค่อยถามเอาความจากสามีท่านเจ้าค่ะ”
สามี?
เมื่อได้ฟังวาจานี้ เจินเมี่ยวก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องวุ่นวายนี้คงมีสาเหตุมาจากหลัวเทียนเฉิงแน่
ตอนนี้เขาออกไปทำงานที่นอกเมืองพอดี แต่กลับลักพาตัวนางมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกันแน่
“กล่าวเช่นนี้หมายความว่านายท่านเจ้าคงไม่มาพบข้าแล้ว?”
สาวใช้พยักหน้า “นายท่านบอกว่า ฮูหยินมิจำเป็นต้องกังวลเกินไป ดูแลตนเองให้ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับท่านก็คงได้แต่ฝังไว้ในสุสานใดสุสานหนึ่งเท่านั้น”
เจินเมี่ยวกัดริมฝีปากแน่น นี่เป็นการเตือนมิให้นางร่ำไห้โวยวายคิดฆ่าตัวตาย มิเช่นนั้นคงได้ตายเปล่าแน่
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวทำหน้านิ่ง สาวใช้จึงหมุนกายออกไป ไม่นานก็ยกถาดใบใหญ่เข้ามา
เจินเมี่ยวชำเลืองมองครู่หนึ่ง
ในนั้นมีโจ๊กถ้วยหนึ่งและหมานโถวเส้นเงินม้วนสองลูก เห็ดหูหนูผัดแตงกวาและซานเย่าผัดเห็ดหูหนู ทั้งมีไข่เค็มอีกหนึ่ง
“ฮูหยิน กินข้าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวเบือนหน้าหนี “เอาออกไป ข้าไม่กิน”
สาวใช้จึงเอ่ยเตือนว่า “เหตุใดฮูหยินต้องทรมานตนเองด้วยเล่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกินอันใดบ้าง”
เจินเมี่ยวเปิดเปลือกตาขึ้นเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ข้าต้องการกินเนื้อ”
สาวใช้ถึงกับมือสั่นจนเกือบทำถาดนั้นร่วงหลุดมือไป
นางจะต้องฟังผิดไปเป็นแน่ ฮูหยินที่ถูกลักพาตัวมาควรต้องร่ำไห้น้ำตานองหน้า อดข้าวอดน้ำเป็นการประท้วงมิใช่หรือ หรือการบอกว่าอยากกินเนื้อคือแผนการใหม่อันใด
สาวใช้พลันหวั่นใจขึ้นมาจึงพิจารณาท่าทีของเจินเมี่ยวอย่างระมัดระวัง “ฮูหยิน ท่านบาดเจ็บที่คอ ควรดื่มและกินอาหารอ่อนๆ สักหน่อยดีกว่าเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวตบโต๊ะแล้วเลิกคิ้วถามว่า “นายท่านของเจ้ามิกล้ามาพบคนก็แล้วไปเถิด แต่แค่เนื้อก็ยังมิกล้าให้คนกินงั้นหรือ”
นางบาดเจ็บที่คอจริง แต่มิได้บาดเจ็บที่ภายใน หากไม่กินเนื้อเพิ่มแรงแล้วจะหาโอกาสหนีออกไปได้อย่างไร
“ฮูหยินโปรดรอดสักครู่เจ้าค่ะ” สาวใช้เดินออกไปด้วยท่าทีสับสน
ครานี้นางออกไปนานพอสมควรแต่เจินเมี่ยวก็มิได้ร้อนใจอันใด นางเดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดออกไปดูทิวทัศน์ด้านนอก
เมื่อมองออกไปก็เห็นเพียงกำแพงสีเทา อิฐสีเขียวครึ้ม บริเวณเรือนไม่ใหญ่นัก ลานกลางเรือนมีต้นไห่ถังอยู่ต้นหนึ่ง กิ่งก้านแผ่กระจาย ใบหนาทึบ แต่ดอกไห่ถังกลับร่วงโรยหมดแล้ว ยิ่งขับให้เรือนแห่งนี้ดูเงียบเหงามากขึ้นไปอีก
เพราะเป็นเพียงเรือนเล็กๆ ธรรมดาๆ หลังหนึ่งจึงทำให้คนมิอาจหาเบาะแสใดได้ เพราะมันช่างธรรมดาเหลือเกิน
นางเดินไปที่ประตูแล้วผลักมันออก
ประตูเปิดออก นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินออกมา
เจินเมี่ยวมองไปรอบทิศ
เรือนน้อยหลังนี้ไม่มีแม้แต่ห้องปีกข้าง มีเพียงห้องหลังคาเตี้ยแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นห้องครัว ส่วนห้องหลังคาเตี้ยอีกหลังน่าจะเป็นสุขา ส่วนเรือนที่นางอยู่ก็มีห้องโถงหนึ่งห้องและห้องน้อยฝั่งตะวันตกและตะวันออกอย่างละหนึ่งห้อง
เจินเมี่ยวเริ่มเข้าใจอันใดมากขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้สาวใช้ถามนางว่าหิวหรือไม่ ไม่นานก็ยกอาหารเข้ามา นั่นน่าจะถูกเตรียมไว้ในห้องครัวแล้ว ภายหลังนางบอกว่าอยากกินเนื้อ แต่ห้องครัวกลับไม่มีการก่อไฟ แสดงว่าสาวใช้ออกไปข้างนอกแล้ว
ออกไปข้างนอก?
เจินเมี่ยวทนต่อความสงสัยไม่ไหวจึงเดินไปที่หน้าประตูใหญ่ แล้วมองลอดช่องเล็กๆ ของประตูที่ปิดแน่นสนิทนั้นออกไป
ด้านนอกมีดอกไม้ต้นไม้ที่ร่วงเกลื่อนเต็มพื้น เป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปตามเรือนต่างๆ
นางครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาโยนข้ามกำแพงไป
เสียงสวบสาบดังขึ้นครู่หนึ่ง ก็มีคนสี่ห้าคนที่มิทราบมาจากที่ใดกระโดดเข้ามา ในมือถือดาบคอยจ้องประตูเรือนนิ่งไม่ไหวติง
ดีมาก คนชั่วที่ลักพาตัวนางมาช่างให้เกียรตินางเหลือเกิน!
เจินเมี่ยวสะบัดแขนเสื้อเดินกลับเรือน นางนั่งพิงเสาเตียงแล้วหลับตาลงครุ่นคิด มือก็ลูบผ้าพันแผลที่คอไปมา
ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งยืนยันได้ว่าซื่อจื่อกับพวกเขามีเหตุขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ถึงได้ลักพาตนมาอยู่ที่นี่ พวกเขาต้องการให้ซื่อจื่อทำอันใดหรือ เขาจะมีอันตรายหรือไม่
เมื่อคิดไปเช่นนี้ ใจของเจินเมี่ยวก็พลันเจ็บแปลบขึ้นมา
ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะมีชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ได้ หรือมันต้องมลายหายไปแล้ว
“ฮูหยิน กินข้าวเถิดเจ้าค่ะ”
กลิ่นหอมโชยเข้ามาในจมูก เจินเมี่ยวลืมตาขึ้นทันที
สาวใช้จัดอาหารวางลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเริ่มลงมือกิน นางก็ออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ
“ใต้…”
บุรุษผู้นั้นโบกมือห้ามนาง แล้วเบี่ยงกายหลบไป จึงปรากฏคนผู้หนึ่งขึ้นมา
สาวใช้มิรู้จักคนผู้นั้น จึงมองเขาด้วยความสงสัย
คนผู้นั้นเอ่ยกับนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ ว่า “ออกไปเถิด”
สาวใช้จึงย่อกายคารวะแล้วเดินจากไปเงียบๆ เมื่อเดินไปถึงประตูเรือนก็หันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัวคราหนึ่ง นางเห็นคนผู้นั้นผลักประตูเปิดออก ส่วนบุรุษงามสง่ากลับยืนเอามือไพล่หลัง สองมือสอดประสานกันแน่น นางพลันเกิดความรู้สึกสงสารสตรีที่อยู่ภายในห้องนั้นขึ้นมา
นางไม่รู้ว่าฮูหยินผู้นั้นเป็นใคร และยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต้องมาอยู่ที่นี่ อาจเป็นเพราะท่าทีสุขุมนุ่มลึกนั้นเองที่ทำให้นางรู้สึกนับถืออยู่หลายส่วน นางไม่อยากจะคิดเลยว่าหากบุรุษผู้นั้นทำอันใดฮูหยินผู้นั้น นางจะทำฉันใด
สาวใช้พลันชะงักฝีเท้าตน แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเดินออกไป
เจินเมี่ยวกินลูกชิ้นที่ถูกปั้นเป็นก้อนกลมๆ พอดีคำ เมื่อกลืนผ่านคอไปก็เจ็บปวดจนน้ำตาเล็ด นางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเขียวขึ้นมาเช็ดขอบตา ครั้นได้ยินเสียงประตูเปิดก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้ายังกินไม่เสร็จ มิจำเป็นต้องรีบเข้ามา”
ท่าทางน่าเวทนาเช่นนี้ นางไม่อยากให้สาวใช้ผู้หนึ่งต้องมาเห็น
เสียงหัวเราะแผ่วเบาแว่วมา
เจินเมี่ยวขนลุกชี้ชันทันที นางเงยหน้าขึ้น ลูกชิ้นที่อยู่ในตะเกียบพลันร่วงหล่นกลิ้งตกลงพื้น แล้ววิ่งไปหยุดที่ข้างเท้าองค์ชายสาม ทำให้รองเท้าปักลายงูเหลือมของเขาเปื้อนด้วยคราบน้ำมัน
“เป็นท่าน!” เจินเมี่ยวลุกขึ้นยืนทันที
องค์ชายสามปิดประตูลงแล้วเดินเข้าไปหานางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “จยาหมิงเซี่ยนจู่ คงตกใจมากที่เห็นข้ากระมัง”
เจินเมี่ยวมองเขาแล้วเม้มปากเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ทราบว่าเหตุใดเยี่ยนอ๋องจึงใช้วิธีนี้เชิญหม่อมฉันมาที่นี่ ว่าไปแล้ว หม่อมฉันควรเรียกพระองค์ว่าเสด็จพี่สามด้วยซ้ำ หากมีเรื่องอยากพบหน้า ส่งเทียบเชิญมาก็ได้มิใช่หรือ”
องค์ชายสามยิ้มน้อยๆ “จยาหมิง เราคนดีย่อมมิเอ่ยวาจามีลับลม การใช้วิธีนี้เชิญเจ้ามาย่อมต้องมีสาเหตุที่มิอาจบอกได้”
ท่านตาไม่ยอมพบกับนาง แต่เขากลับไม่กลัวความแตกสักนิด
หากเรื่องทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น หลัวเทียนเฉิกตกน้ำตายจริง ย่อมมิอาจเก็บจยาหมิงเซี่ยนจู่ไว้ได้เพื่อความปลอดภัย คนที่อย่างไรก็ต้องตาย เขายังต้องไยดีว่านางจะรู้เรื่องราวอันใดอีกหรือ
หากหลัวเทียนเฉิงมีชีวิตกลับมาได้ ท่านตาย่อมจะใช้จยาหมิงเซี่ยนจู่ต่อรองกับเขา สุดท้ายเขาก็ต้องรู้ว่าคนลงมือคือผู้ใด คิดดูแล้ว เพื่อรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ จยาหมิงเซี่ยนจู่เองก็คงไม่เอ่ยเรื่องที่เขามาพบกับนางออกมาแน่
องค์ชายสามคิดอย่างทะลุปรุโปร่ง สายตาที่มองเจินเมี่ยวนั้นจึงไร้ความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น
แววตาที่เปิดเปลือยทุกอย่างนี้ทำให้เจินเมี่ยวขนลุกขึ้นมา นางถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่มิกล้าเผยอารมณ์ในบนใบหน้าเลย ทว่าในใจกลับหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
“จยาหมิง เกรงว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าจิ่งเกอคอยพูดถึงเจ้าอยู่ข้างหูข้าทุกวัน เขาอยากให้เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนเขายิ่ง”
เจินเมี่ยวหรี่ตาลงพลางเอ่ยว่า “เสด็จพี่สามคงมิได้เชิญหม่อมฉันมาเพราะเหตุนี้กระมัง แล้วจิ่งเกอเล่า ตอนนั้นที่เขาอยู่กับหม่อมฉันช่างน่ารักว่าง่าย หม่อมฉันก็คิดถึงเขาอยู่เสมอ”
“อีกไม่นาน พวกเจ้าคงมีโอกาสได้พบกัน” องค์ชายสามยิ้มอย่างมีความนัยลึกซึ้ง แล้วขยับเข้ามาใกล้พลางยื่นมือออกไป
เจินเมี่ยวเบิกตาขึ้นด้วยความระแวดระวัง แต่กลับเห็นเขาเพียงยกมือขึ้นอังบนหน้าผากนางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จยาหมิง เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิด หากต้องการอันใดก็บอกกับพวกเขา ข้าไม่รบกวนการกินของเจ้าแล้ว”
เมื่อองค์ชายสามจากไป เจินเมี่ยวก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง เหงื่อไหลซึมท่วมกาย
อาภรณ์บนกายนางถูกเปลี่ยนใหม่หมด นางไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น มีเพียงผ้ารัดผมเส้นหนึ่งเท่านั้น เมื่อครู่หากองค์ชายสามคิดทำอันใดไม่ดีขึ้นมา นางคงร้องให้ผู้ใดช่วยไม่ได้แน่
“มีใครอยู่ไหม…” เจินเมี่ยวจัดผมที่ยุ่งเหยิงของตนคราหนึ่ง รอจนสาวใช้เข้ามานางก็ชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะพลางเอ่ยว่า “เย็นหมดแล้ว ไปเปลี่ยนใหม่มาให้ข้าอีกชุด”
สาวใช้กวาดตามองเจินเมี่ยวด้วยความตกใจ พลางเอ่ยในใจว่าฮูหยินผู้นี้ช่างใจเย็นนัก แต่เมื่อคิดว่านางต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายมาก็เกิดเห็นใจอยู่หลายส่วนจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ฮูหยินโปรดรอสักครู่”
นางเพิ่งจะเดินไปถึงประตู เจินเมี่ยวก็เรียกให้นางหยุด
“ลูกชิ้นเนื้อนั้นเลี่ยนไป ข้าอยากกินไก่ ไก่ทั้งตัว”
สาวใช้เบ้ปากตนคราหนึ่ง
ความเป็นห่วงของนางช่างไร้ประโยชน์ยิ่ง!
“ฮูหยินโปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปยกมาให้ท่านเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!” สาวใช้ลอบกลอกตาให้นางแล้วหมุนกายเดินออกไป
ไม่นานก็ยกไก่ทั้งตัวเข้ามา เจินเมี่ยวไล่สาวใช้ออกไป กระทั่งสาวใช้เข้ามาเก็บสำรับจึงเห็นว่านางมิได้แตะต้องอาหารอย่างอื่นเลย มีเพียงไก่ที่ถูกกินไปมากกว่าครึ่งตัว
หลายวันมานี้เจินเมี่ยวเปลี่ยนอาหารไปหลากหลายอย่างมาก ไก่ เป็ด ปลา นางกินจนแทบครบแล้ว แต่คนกลับดูผ่ายผอมลง สาวใช้ผู้นั้นแปลกใจยิ่ง แต่เมื่อนางบอกว่าอยากดินอันใดนางกลับมิได้เบ้ปากอีกแล้ว
เจินเมี่ยวเปลี่ยนเป็นคนเงียบขรึม นางไม่ยอมจากห้องเลย แม้แต่สาวใช้ก็อดเตือนนางว่าให้ออกไปเดินเล่นนอกห้องบ้าง
“มิจำเป็น เรือนที่เล็กเท่าฝ่ามือเช่นนี้ เห็นแล้วช่างหงุดหงิดนัก”
ส่วนอีกด้านหนึ่ง คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งไปจิงโจวกลับได้รับข่าวที่ไม่ต่างอันใดกับฟ้าที่ผ่าลงมากลางแจ้ง
ซื่อจื่อพลัดตกน้ำ ยามนี้ไม่รู้เป็นตายร้ายดี