วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 398 กลับบ้าน
องค์ชายสามที่ถูกเตะกระเด็นนั้นกุมคอตนไว้ เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว สตรีป่าเถื่อนเช่นนี้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรกัน เขาต่างหากที่ต้องตกใจตายรู้หรือไม่!
“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงกอดเจินเมี่ยวไว้ เขามองผมที่ปล่อยสยายและร่างกายที่ผ่ายผอมไปมากของนางแล้วปวดใจยิ่งจึงยื่นมือออกไปลูบผมนางอย่างเบามือ “ไม่เป็นไรแล้วๆ”
เขาทั้งเป็นห่วงทั้งโมโห อารมณ์อันเดือดพล่านปะทุขึ้นแต่คนกลับนิ่งสงบดุจบ่อน้ำลึกเก่าแก่ นัยน์ตาเย็นเยียบดุจดารายามเหมันต์นั้นมองไปที่องค์ชายสามเงียบๆ
ชั่วขณะนั้นองค์ชายสามรู้สึกดั่งลมหายใจหยุดนิ่งไป กระทั่งหลัวเทียนเฉิงเบนสายตาหนีไปจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เจี๋ยวเจี่ยว หลับตาลง” หลัวเทียนเฉิงกระซิบข้างหูเจินเมี่ยวเบาๆ
เจินเมี่ยวขนลุกไปทั่งตัว แต่ก็หลับตาตามที่เขาบอก
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยกับองครักษ์ลับสองคนที่ติดตามมาด้วยว่า “เฝ้าเขาไว้ให้ดี”
องครักษ์ลับจึงเดินไปหยุดอยู่ข้างกายองค์ชายสามเงียบๆ
“เจ้าจะทำอันใด” องค์ชายสามจ้องหลัวเทียนเฉิงอย่างหวาดระแวง
หลัวเทียนเฉิงกลับไม่ตอบ เขาเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าองครักษ์ที่นอนกองอยู่บนพื้นแล้วหยิบมีดขึ้นมาแทงไป หนึ่งคน สองคน สามคน…
เจินเมี่ยวหลับตาไว้แต่ขนตากลับกระเพื่อมไหวไม่หยุด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทำให้นางรู้สึกอยากจะอาเจียน แต่นางยังคงเชื่อฟังเขาด้วยการหลับตาไว้อยู่ตลอด สุดท้ายจึงตกอยู่ในอ้อมกอดอันเปียกชื้นแต่อบอุ่น
อาจเพราะต้องคอยระแวดระวังและอยู่ในสภาวะอกสั่นขวัญแขวนติดต่อกันมาหลายวัน อย่างไรเจินเมี่ยวก็เป็นสตรีธรรมดาผู้หนึ่ง นางจึงค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด แต่กลับได้ยินเสียงร้องอันโหยหวนของสตรีผู้หนึ่งดังแว่วมา
เมื่อนางตื่นขึ้น ฟ้าก็มืดลงเสียแล้ว
ผ้าม่านลายดอกอวี้หลาน ฉากบังลมปักลายภูเขาและลำธาร โต๊ะริมหน้าต่างมีจานใบหนึ่งที่ใส่แตงหอมไว้หลายลูก
ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่นางคุ้นเคยอย่างที่สุด แต่มีกลิ่นยาเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าตื่นแล้ว”
เสียงอันคุ้นเคยดังลอยมา เจินเมี่ยวจึงตื่นเต็มตา นางหันมองไปตามเสียงนั้นทันที
“ซื่อจื่อ…”
หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย
เจินเมี่ยวอดถามออกมามิได้ “เป็นอันใดหรือ”
หลัวเทียนเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าคงคิดว่าข้าเป็นคนใจคอโหดเ**้ยมใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวหลุบม่านตาลงจ้องมือตนเองโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
หลัวเทียนเฉิงกึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าลงกับพื้น ท่าทางหวาดหวั่นอย่างมิเคยเป็นมาก่อน “ความจริงข้าก็เป็นคนเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนนี้เจ้าก็คงได้เห็น ได้เข้าใจอย่างกระจ่างแล้ว”
เจินเมี่ยวยื่นมือไปวางบนหลังมือของหลัวเทียนเฉิง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “ข้ารู้ว่าท่านมิใช่คนใจดีมีเมตตา แต่ข้าก็รู้ว่าที่ท่านปิดปากคนเหล่านั้นเพราะต้องการปกป้องข้า ข้ากลัวการฆ่าคน กลัวต้องแบกความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต แต่ข้าก็มิใช่คนเลอะเลือน”
เจินเมี่ยวจ้องนัยน์ตาของหลัวเทียนเฉิงแล้วยิ้มออกมา “ท่านฆ่าคนเพื่อข้า หากต้องลงนรก เช่นนั้นเราก็ลงไปด้วยกันเถิด”
นางจำใบหน้าองครักษ์เหล่านั้นแทบไม่ได้แล้ว แต่เสียงร้องโหยหวนของสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งยังคงดังแว่วอยู่ข้างหู เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากตน อยากร้องไห้ทั้งอยากหัวเราะ สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมา “โชคดีที่ท่านมาทันเวลา มิเช่นนั้นข้าคงได้ฆ่าเยี่ยนอ๋องตายเป็นแน่”
หลัวเทียนเฉิงพลันชะงักไป
เจินเมี่ยวจึงนึกขึ้นมาได้ “ซื่อจื่อ เยี่ยนอ๋องเล่า”
เมื่อพิจารณาสีหน้าเขาแล้ว เจินเมี่ยวก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมา “ท่านคงมิได้ฆ่าเขาไปแล้วกระมัง”
ตอนนั้นนางคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับซื่อจื่อแล้ว นางตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าจึงมิได้กังวลอันใดอีก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ซื่อจื่อกลับมาแล้ว นางก็กลับมาแล้วเช่นกัน พวกเขายังมีวันเวลาอีกยาวไกลให้ใช้ร่วมกัน แล้วจะให้มูลหนูก้อนเดียวมาทำลายทุกอย่างไปได้อย่างไร!
“เจ้าวางใจ เขาไม่เป็นอันใดหรอก ข้าแค่ทุบเขาจนหมดสติแล้วให้คนเอาไปโยนไว้บนเตียงของภรรยาคนขายหมูสกุลจังที่อยู่ในตรอกข้างกันเท่านั้น”
“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวถึงกับพูดไม่ออก “เช่นนั้นมิใช่เป็นการทำร้ายผู้อื่นหรอกหรือ”
หลัวเทียนเฉิงหัวเราะแผ่วเบา “ทำร้ายอันใด ภรรยาเขาฉวยโอกาสตอนที่เขาออกไปขายหมู ลอบมีสัมพันธ์กับบุรุษอื่นอยู่หลายครา ตอนนี้ถึงกับซื้อสารหนูมาให้เขากินหวังค่อยๆ ฆ่าเขาให้ตาย ข้ากำลังช่วยชีวิตคนอยู่ต่างหาก”
ผ่านไปนานเจินเมี่ยวจึงเค้นออกมาได้ประโยคหนึ่งว่า “ท่านทราบได้อย่างไร”
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญว่า “คนของข้าไปสืบราชการแต่กลับบังเอิญทราบเรื่องนี้เข้า จึงเอามาเล่าเป็นเรื่องขบขันในวงสุรา”
เขาลุกขึ้นไปรินน้ำมาให้นาง “ดื่มน้ำอุ่นสักหน่อยเถิด”
เจินเมี่ยวรับน้ำมาดื่ม นางรู้สึกว่าน้ำนี้หวานกว่าที่ใดๆ ในใจจึงแค้นเคืองกับความไร้ยางอายขององค์ชายสามยิ่ง นางกัดฟันเอ่ยว่า “แค่นั้นสำหรับเขามันน้อยเกินไป!”
“วางใจเถิด เรื่องที่ทำให้เขาปวดหัวนั้นยังรออยู่อีกมาก” นัยน์ตาหลัวเทียนเฉิงฉายแววเย็นเยียบขึ้น เมื่อนึกถึงเรื่องที่องค์ชายสามคิดจะล่วงเกินเจี๋ยวเจี่ยว หากมิใช่เพราะนางฉลาดมีไหวพริบ องค์ชายสามอาจทำสำเร็จไปแล้วก็ได้ แค่คิดก็แค้นเสียจนอยากจะบีบคอจนเขากระอักโลหิตออกมาเลยทีเดียว!
สายตาเจินเมี่ยวหยุดอยู่ที่ชุดไว้ทุกข์ที่หลัวเทียนเฉิงใส่อยู่
“อาสะใภ้รองสิ้นแล้ว”
เจินเมี่ยวตกใจไม่น้อย “ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ไม่กี่วันก่อน ตอนนี้ฝังเรียบร้อยแล้ว วางใจเถิด ท่านย่าบอกผู้อื่นว่าเจ้าไม่สบายมิอาจถูกลมโกรกได้ ไม่เป็นอันใดหรอก”
นอกจากคนที่ไว้ใจได้ ผู้ที่รู้ว่าเจี๋ยวเจี่ยวถูกลักพาตัวไปนั้นเขาได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ส่วนเยี่ยนอ๋องกับเสนาบดีหยางที่กำลังตกที่นั่งลำบากอยู่ แม้คิดจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็คงได้แค่คิดเท่านั้น เพราะเจี๋ยวเจี่ยวได้กลับมาอยู่ที่จวนอย่างปลอดภัยแล้ว
“ใช่แล้ว ชิงไต้กับอาหู่เล่า” เจินเมี่ยวจับแขนเสื้อหลัวเทียนเฉิงไว้พลางเอ่ยถาม
“อาหู่กระดูกหักสองท่อน แต่ร่างกายเขาแข็งแรง พักรักษาอีกสักระยะก็หายดีแล้ว ส่วนชิงไต้ถูกแทงที่หลัง ทว่ายังไกลหัวใจจึงเอาชีวิตรอดมาได้ แต่เกรงว่านางคงต้องพักฟื้นถึงปีครึ่งจึงสามารถฟื้นฟูพลังลมปราณกลับมาได้” หลัวเทียนเฉิงเล่าทุกอย่างให้นางฟังอย่างใจเย็น แล้วก้มลงจุมพิตที่แก้มนาง
เจินเมี่ยวผลักเขาออก “อาสะใภ้รองเพิ่งจากไป เราต้องไว้ทุกข์มิใช่หรือ หากผู้อื่นมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มเยาะออกมา
ให้เขาไว้ทุกข์ให้นางเถียน คิดไปแล้วช่างเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
นางปะเหลาะเขา หลอกเขา รังแกเขา ทั้งยังช่วงชิงทุกอย่างที่เป็นของเขา ตอนนี้ตายแล้วเขายังต้องมาใส่ชุดไว้ทุกข์เพื่อนางอีก กระทั่งภายในหนึ่งปีนี้ก็มิอาจคิดฝันว่าจะมีบุตรกับเจี๋ยวเจี่ยวได้ ช่างเป็นเรื่องน่าหัวเราะสิ้นดี!
“ซื่อจื่อ ไม่ว่าอย่างไรเราก็ยังต้องใส่ใจกับสายตาของคนภายนอกอยู่”
หลัวเทียนเฉิงดึงมือเจินเมี่ยวขึ้นมาลูบไล้ แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ได้ ข้าจะระวัง”
เมื่อถึงยามเข้านอนเจินเมี่ยวกลับเห็นว่าบนเตียงมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งก็รู้สึกจนใจอยู่บ้าง
“ซื่อจื่อ ท่านบอกว่าจะระวังมิใช่หรือ”
อย่างน้อยครึ่งปีนี้พวกเขาก็ควรจะแยกห้องกัน
หลัวเทียนเฉิงนอนลงข้างเจินเมี่ยวแล้วยื่นมือไปจับข้อมือนางไว้ “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าอยากนอนเป็นเพื่อนเจ้า”
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวตั้งท่าจะปฏิเสธ เขาจึงรีบเอ่ยว่า “เจ้าวางใจได้ หากมีแมลงวันแม้แต่ตัวเดียวบินเข้ามาเรือนชิงเฟิงในยามนี้ได้ เจ้ามาคิดบัญชีกับข้าได้เลย”
บิดามารดาเขาจากไปนานแล้ว ทั้งไม่รู้ว่าเหตุใดความทรงจำในช่วงวัยเด็กของเขานั้นแทบไม่มีอยู่เลย หลายปีที่บิดามารดาล่วงลับตามกันไปนั้น เขามีชีวิตอยู่อย่างไรก็จำไม่ได้แล้ว ยามนี้จะให้เขาไว้ทุกข์ให้กับนางเถียนอย่างว่าง่ายนั้น คงไม่มีทางอย่างแน่นอน
“เมื่อฟ้าใกล้สางข้าก็จะจากไปทันที”
พูดตามความจริงแล้ว นางที่ใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงเพียงลำพังอยู่นานเช่นนั้น แม้กลับมายังที่ที่คุ้นเคยก็ยังรู้สึกโหวงเหวงและไม่อาจสงบใจลงได้ แต่เมื่อมีลมหายใจของคนข้างๆ กลับทำให้นางสงบใจลงได้อย่างแท้จริง
เจินเมี่ยวยังนึกชอบใจที่หลัวเทียนเฉิงขยับเข้ามาหานางอย่างคนหน้าหนาด้วยซ้ำ แต่ยังคงเอ่ยกับเขาว่า “ท่านห้ามให้ผู้อื่นรู้เด็ดขาด”
“วางใจได้ รับรองว่าตอนมาไร้ร่องตอนไปไร้รอย” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือไปกุมมือนางไว้
เจินเมี่ยวจึงหลับได้อย่างสนิทเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
เมื่อลืมตาขึ้นฟ้าก็สว่างแล้ว หลัวเทียนเฉิงจากไปนานแล้ว
นางยื่นมือไปหยิบเส้นผมดำขลับเส้นหนึ่งที่ออกจะแข็งกว่าผมนางสักหน่อยขึ้นมาจากหมอน แล้วเกี่ยวรัดผมเส้นนั้นเล่นบนนิ้วด้วยความรู้สึกดั่งทำสิ่งของตกหายไป
“ต้าไหน่ไหน่” ใบหน้าของไป่หลิงลอยไปลอยมาอยู่เหนือศีรษะนาง “ท่านตื่นแล้ว บ่าวจะปรนนิบัติท่านล้างหน้า บ้วนปากเองเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวพยักหน้า ปล่อยให้ไป่หลิงช่วยนางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ล้างหน้า บ้วนปาก นางก้าวเท้าคิดเดินออกไปด้านนอก
“ต้าไหน่ไหน่…” ไป่หลิงคล้ายจะเอ่ยสิ่งใดแต่ก็หยุดชะงักไป
“ไป่หลิง มีอันใดก็พูดออกมา เหตุใดต้องอ้ำๆ อึ้งๆ”
ไป่หลิงเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “ต้าไหน่ไหน่ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าท่านไม่สบายอยู่ ควรต้องพักผ่อนให้มาก มิต้องรีบร้อนอันใดเจ้าค่ะ”
“อ้อ ใช่แล้ว ข้าป่วยอยู่” เจินเมี่ยวเอ่ยพึมพำ นางหมุนกายกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวแล้วถอนหายใจออกมา
ดูท่านางยังคงต้อง ‘ป่วย’ ต่อไปสักระยะจึงจะออกไปรับลมข้างนอกได้
“ไปเอาจิ่นเหยียนกับไป๋เสวี่ยมาที่นี่ที”
เมื่อมีนกกับแมวอยู่เป็นเพื่อน วันทั้งวันก็มินับว่าน่าเบื่อจนเกินไป กระทั่งอาทิตย์ร่วงตกขอบฟ้า ไป่หลิงก็เดินเร่งรีบเข้ามาบอกว่า “ต้าไหน่ไหน่ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”
“เรื่องอันใด”
“วันนี้ซื่อจื่อมิได้กลับมากินข้าวเย็นด้วยจึงให้ปั้นซย่ากลับมาแจ้งท่าน บ่าวได้ยินปั้นซย่าบอกว่าคนในตระกูลของเสนาบดีหยางล้วนถูกจับเข้าคุกและต้องโทษประหารชีวิตเจ้าค่ะ”
“บอกหรือไม่ว่าทำความผิดใด”
ไป่หลิงขมวดคิ้วมุ่น “บ่าวก็มิได้ใส่ใจนัก แต่ดูเหมือนจะเป็นเพราะอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านสือหลี่ที่จิงโจวเจ้าค่ะ”
เชวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังพลันเอ่ยปากขึ้นว่า “บ่าวถามปั้นซย่าอย่างละเอียดแล้วเจ้าค่ะ สาเหตุเป็นเพราะบุตรชายของเสนาบดีหยางยักยอกงบประมาณในการซ่อมแซมริมตลิ่ง โดยใช้ฟางข้าวมาถมทำตลิ่ง โชคดีที่นักพรตผู้หนึ่งทำนายว่าหมู่บ้านสือหลี่จะพบภัยพิบัติครั้งใหญ่ให้ทุกคนย้ายออกไป ต่อมาเรื่องราวก็เป็นดั่งนักพรตผู้นั้นทำนายไว้ แค่ฝนตกเพียงหนึ่งวันตลิ่งก็พลังลงมาทันที”
“ข้าได้ยินว่าตลิ่งถล่มครานี้มีคนบาดเจ็บและตายน้อยยิ่ง แค่ความผิดเรื่องยักยอกงบประมาณ เช่นนี้มิใช่ลงโทษหนักเกินไปหน่อยหรือ”
เชวี่ยเอ๋อร์ถึงกับร้องขึ้นคราหนึ่งแล้วตอบว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านไม่รู้หรอกว่าบิดาและบุตรตระกูลหยางนั้นใจคออำมหิตเพียงใด เพราะกลัวเรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไป จึงจับคนที่เคยซ่อมตลิ่งเมื่อคราแรกมาฆ่าปิดปากจนหมด ทั้งยังตั้งด่านมิให้คนในหมู่บ้านสือหลี่เดินทางเข้าเมืองหลวง ยามนี้พวกเขาถูกจับเข้าคุกทั้งตระกูล คนในเมืองหลวงต่างก็ปรบมือชอบใจ”
“เรื่องนี้ปั้นซย่าเป็นคนบอกกับเจ้างั้นหรือเชวี่ยเอ๋อร์ เจ้าช่างสอบถามได้ละเอียดนัก” ไป่หลิงกะพริบตาปริบๆ
เชวี่ยเอ๋อร์บิดนิ้วมือไปมาพลางเอ่ยว่า “ต้นตระกูลบ่าวเป็นคนจิงโจว ต้าไหน่ไหน่คงไม่ตำหนิที่บ่าวปากมากไปหน่อยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เอาล่ะ ปากมากกับข้านั้นไม่เป็นอันใดหรอก แต่อย่าไปปากมากข้างนอกเป็นพอ ชิงเกอ ไปเอาขนมมาให้เชวี่ยเอ๋อร์กินสักจานเถิด”
เมื่อไล่คนออกไปหมดแล้ว เจินเมี่ยวก็นั่งพิงหน้าต่างครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ ในที่สุดนางก็รู้เสียทีว่าตนเองต้องตกอยู่ในอันตรายในครั้งเพราะสาเหตุอันใด
รัชศกจิ้งเต๋อ ปีที่สิบสี่ เดือนห้า ดูเหมือนจะเป็นเดือนที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากเป็นพิเศษ หยางอวี้เต๋อเสนาบดีกรมพิธีการและหยางเหมี่ยนบุตรชายได้ถูกตัดสินประหารชีวิต ส่วนคนอื่นๆ ในตระกูล หากเป็นบุรุษที่อายุสิบปีขึ้นไปให้ก็ถูกส่งไปเป็นนักโทษเสริมทัพ ส่วนสตรีให้ขายเป็นทาส
เมื่อเต๋อเฟย พระมารดาขององค์ชายสามทราบข่าวนี้เข้า คืนวันนั้นก็ได้แขวนคอจบชีวิตตนทันที
ต่อมาคนทั้งหลายก็ลือว่าเยี่ยนอ๋องกลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว
ปลายเดือนห้า ข่าวการสิ้นพระชนม์ของรัชทายาทเนื่องจากอาการประชวรก็แพร่ออกมา