วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 407 ต้มวุ้นเส้นเลือดเป็ดสูตรเผ็ดร้อน
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาทหารทั้งหลายต่างก็เหนื่อยกันมาก ข้าเองก็ช่วยอันใดมิได้เลย วันนี้จึงอยากจะทำอาหารให้ทุกคนกินสักมื้อ” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เซียวมั่วอวี่มองเจินเมี่ยวด้วยความสงสัยคราหนึ่ง
ตามที่เขาทราบมานั้น สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายที่ได้ชื่อว่ามีฝีมือการทำอาหารชั้นเซียน ความจริงแค่เพียงใส่เกลือเพิ่มน้ำตาลสักหน่อยเท่านั้น บางคนก็แค่รับผิดชอบยกอาหารขึ้นโต๊ะเท่านั้น นี่ไม่ต่างอันใดกับการที่สตรีสูงศักดิ์มอบหมายให้สาวใช้ตนปักผ้าเช็ดหน้าแล้วตนปักเติมแค่เพียงเข็มสองเข็ม เมื่อนำไปมอบให้ผู้อื่นก็บอกว่าตนเป็นผู้ทำเองกับมือ
ส่วนเรื่องที่เจินเมี่ยวเป็นสตรีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงเรื่องการทำอาหารได้เลิศรสยิ่ง แน่นอนว่ามิอาจไปคาดหวังให้คนที่วันๆ อยู่แต่กับผู้ฝึกยุทธ์รู้เรื่องนี้ได้
ของต่างๆ ที่เจินเมี่ยวให้ไปซื้อในช่วงหลายวันมานี้ มีบางส่วนที่ตกถึงท้องเซียวมั่วอวี่และรองหัวหน้าฉือไปแล้ว แต่เขาก็ยังกังวลว่าเจินเมี่ยวจะทำเสียของ แต่ยังคงฝืนพยักหน้ารับแล้วเอ่ยกับรองหัวหน้าฉือว่า “นำทางเซี่ยนจู่ไป ระวังอย่าให้อะไรลวกถูกเซี่ยนจู่เล่า”
“เซี่ยนจู่ เชิญด้านนี้ขอรับ” ยามนี้เมื่อพบกับเจินเมี่ยว รองหัวหน้าฉือเริ่มคุ้นชินมากขึ้นแล้ว เพียงแต่เมื่อเดินอยู่ข้างหลังนางก็มักจะอดหันไปมองไป๋สักคราสองครามิได้
ระหว่างทางที่เจินเมี่ยวเดินไป ก็มีทหารจำนวนไม่น้อยหยุดสิ่งที่ตนเองทำอยู่แล้วแอบมองนาง
สำหรับเซี่ยนจู่ที่มีฐานะสูงส่งผู้นี้ แม้มิอาจพูดได้ว่าพวกเขาชื่นชอบ แต่อย่างน้อยก็มิได้รู้สึกไม่ชอบ
เดินทางมานานเพียงนี้แล้ว แต่เซี่ยนจู่ผู้นี้กลับมิเคยทำความลำบากอันใดให้พวกเขาเลย นอกจากซื้ออาหารสุกจำนวนมากจากทุกเมืองที่พวกตนผ่านและแบ่งบางส่วนให้หัวหน้าของพวกเขา ทำให้พวกเขาได้แต่ใช้เข็มจิ้มตุ๊กตาตัวน้อยสาปแช่งเท่านั้น ทั้งมิได้พิถีพิถันกับทุกสิ่งอย่างสตรีสูงศักดิ์ทั่วไปเช่นที่เขาเข้าใจ ว่าไปแล้วเท่านี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ภายใต้การจับจ้องของคนทั้งหลาย เจินเมี่ยวกลับยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ละก้าวเดินไปอย่างมั่นคงไม่มีสะดุดสักนิด
คนทั้งหลายต่างคิดในใจว่าไม่เสียทีที่เป็นเซี่ยนจู่ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง ถึงได้ควบคุมสถานการณ์ได้ดีเช่นนี้ สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งถูกบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาจ้องมองเช่นนี้กลับสีหน้าไม่เปลี่ยน ใจมิเต้นแรงเลยสักนิด โธ่เอ๊ย แม้แต่สาวใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังยังสุขุมปานนั้น นี่ต่างหากที่เรียกว่างามสง่าอย่างแท้จริง
ไป๋เสาที่ใบหน้าแสนเรียบเฉยได้แต่คิดในใจว่า หากต้าไหน่ไหน่เตรียมจะทำอาหารเมื่อใด จะตื่นเต้นดีใจจนแทบทนไม่ไหว นอกจากวัตถุดิบในการทำอาหารแล้ว สิ่งอื่นๆ ในสายตานางล้วนเป็นผักกาดขาว เป็นผักกาดขาวทั้งสิ้น
แต่ชิงไต้กลับมีสีหน้าว่างเปล่า
อืม สตรีผู้นี้ไม่คิดอันใดทั้งสิ้น ในหัวของนางมีเพียงสองอย่างคือปกป้องต้าไหน่ไหน่ และปกป้องต้าไหน่ไหน่ต่อไป
นายบ่าวทั้งสองคนเดินตามกันไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง รองหัวหน้าฉือจึงเลียนอย่างบ้าง เขาพาทั้งสามเดินไปถึงหน้าหม้อใบใหญ่
คนมากถึงเพียงนี้จึงต้องตั้งหม้อใบใหญ่หลายใบเลยทีเดียว น้ำในหม้อต่างเริ่มเดือดปุดๆ แล้ว ด้านข้างมีผักป่าที่ล้างสะอาดแล้ววางอยู่ คิดว่าคงเตรียมจะทำน้ำแกงกระมัง
เจินเมี่ยวยืนอยู่หน้าหม้อใบใหญ่ทำเอารองหัวหน้าฉือตกใจยิ่ง “เซี่ยนจู่ ระวังขอรับ!”
เสียงของเขาดังมาก ทำให้เจินเมี่ยวตกใจจนมือสั่น
ไป๋เสาจึงกลอกตาให้เขาโดยแรงคราหนึ่ง
เจินเมี่ยวเปิดผ้าที่ปิดตะกร้าในมือไป๋เสาออกมา เผยให้เห็นกล่องทรงสี่เหลี่ยมสี่กล่อง เมื่อเปิดออกพบว่าเป็นก้อนเลือดเป็ดที่มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่เต็มไปหมด
เลือดเป็ดนี้นางไหว้วานคนให้ไปซื้อมาให้โดยเฉพาะเมื่อสองวันก่อนที่หยุดพักในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ส่วนอีกกล่องหนึ่งใส่ไส้และไตเป็ดเอาไว้ นางเอาของทั้งหมดนี้ใส่ลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดนั้น ทหารทั้งหลายที่อยู่โดยรอบถึงกับอดกลืนน้ำลายมิได้
เครื่องในเหล่านี้ของเป็ด ปกติพวกเขาไม่กิน แต่เวลานี้อยู่ในป่าใหญ่ อากาศหนาว หิมะปกคลุมไปทั่ว เมื่อใส่มันลงไปในหม้อใหญ่ที่น้ำกำลังเดือดเช่นนี้พวกเขากลับมือสั่นกันไปหมดทั้งที่ยังมิได้เติมเครื่องปรุงใดลงไปแท้ๆ
เวลานี้เองชิงเกอก็เอาผ้ามารองมือตนแล้วยกเลือดเป็ดก้อนนั้นขึ้นมาไว้ในมือ
คนทั้งหลายยิ่งสงสัยมากขึ้นถึงกับชะเง้อคอขึ้นดูเลยทีเดียว แม้แต่เซียวมั่วอวี่ก็ยังเดินเข้ามายืนอยู่ไม่ไกลนักด้วยใบหน้ายากจะคาดเดา
หลังจากนั้นเสียงสูดปากของทุกคนก็ดังขึ้นเป็นระลอกคลื่น
พวกเขาเห็นเจินเมี่ยวหยิบมีดเล่มบางออกมาจากแขนเสื้อ ตัวมีดเงาวับเป็นประกาย เมื่อมันเริงระบำส่องแสงจนคนตาลาย เลือดเป็นแผ่นบางแต่ละแผ่นก็ถูกใส่ลงไปในหม้อใบใหญ่เรียบร้อยแล้ว เพราะนางทำด้วยความรวดเร็วและนิ่ง น้ำในหม้อจึงไม่กระเด็นขึ้นมาเลยสักนิด
ฝีมือเช่นนี้ก็มากพอให้คนทั้งหลายรู้สึกอยากจะคุกเข่าให้นางแล้ว
เซียวมั่วอวี่เม้มริมฝีปากตนแล้วส่งสายตาให้รองหัวหน้าฉือ
รองหัวหน้าฉือกลับมัวแต่เหม่อลอย มิได้รับรู้อันใดจากเขาทั้งสิ้น
เซียวมั่วอวี่ลอบด่าอยู่ในใจ เขาอยากจะถามสักหน่อยว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่คงมิใช่ตัวปลอมกระมัง
กระทั่งก้อนเลือดเป็ดในมือชิงไต้เริ่มน้อยลงทุกที นายบ่าวทั้งสอง ผู้หนึ่งหั่นมิหยุดมือ อีกผู้หนึ่งก็นิ่งไม่ไหวติง แต่คนทั้งหลายที่ล้อมวงดูอยู่ต่างหากที่ได้แต่อกสั่นขวัญแขวน
ไม่ทราบเป็นความอัศจรรย์หรือนายบ่าวทั้งสองต่างรู้ใจกันมานานแล้ว ขณะที่หัวใจของคนทั้งหลายต่างกระดอนขึ้นมาถึงลำคอแล้ว ด้วยกลัวว่ามีดของเจินเมี่ยวจะหั่นเอามือของคนงามลงไปในหม้อด้วย ชิงไต้กลับโยนเลือดเป็ดที่เหลือขึ้นในอากาศ เจินเมี่ยวใช้มีดเล็กบางนั้นเริงระบำไปมา แผ่นเลือดเป็ดกลับร่วงกราวลงมาราวหิมะตกก็มิปาน
ต่อมานางจึงเปิดเอากล่องสุดท้ายในตะกร้าออกมา แล้วใส่ฟองเต้าหู้ลงไป
ฟองเต้าหู้นี้นางเตรียมมาตั้งแต่อยู่ที่จวนกั๋วกงแล้ว เพราะทอดมาแล้วทั้งยังใส่เกลือไปไม่น้อย ถึงตอนนี้จึงยังไม่เสีย
การกระทำที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่นาน หลังจากนั้นเจินเมี่ยวก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับไป๋เสาว่า “ไปเอากระทะในรถม้ามา อย่าลืมขวดน้ำมันหมูด้วย”
ไป๋เสากลับมาอย่างรวดเร็ว นางเอากระทะวางลงบนไฟที่ก่อได้ที่แล้ว นางเปิดขวดน้ำมันหมูออกมาแล้วใช้ทัพพีไม้ตักมันใส่ลงไปในกระทะ
เจินเมี่ยวหยิบเอาพริกออกมาจากตะกร้าที่ชิงไต้ถืออยู่ ครั้นนางล้วงเข้าไปในแขนเสื้อก็หยิบมีดอีกเล่มขึ้นมา
ทหารทั้งหลายที่ล้อมวงดูอยู่ถึงกลับกระตุกมุมปากขึ้นพร้อมกัน
เซี่ยนจู่ ท่านเตรียมพร้อมมาอย่างครบครันเกินไปกระมัง!
เจินเมี่ยวกลับไม่มีเวลาจะสนใจความคิดของคนทั้งหลายด้วยซ้ำ นางใช้มีดนั้นหั่นพริกเป็นชิ้นๆ แล้วใส่ลงไปในกระทะที่น้ำมันหมูกำลังเดือด
พริกที่ใส่ลงไปนั้นปริมาณไม่น้อยเลย ไม่นานนางก็ตาแดงจนน้ำตาไหลเพราะควันพริก
เซียวมั่วอวี่ทนดูต่อไปไม่ได้จึงเดินเข้ามาหยิบมีด “ข้าเอง”
เจินเมี่ยวยิ้มทั้งที่ตายังแดงอยู่พลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านแล้ว”
เซียวมั่วอวี่เห็นแล้วก็ได้แต่อึ้งงันไป ในใจพลันเกิดความละอายขึ้นมา
มิต้องพูดถึงสิ่งอื่น ลำพังแค่เจียหมิงเซี่ยนจู่ลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเองเช่นนี้ ทั้งถูกควันพริกเข้าตาจนน้ำตาไหล นางก็ยังไม่เอ่ยสิ่งใด เมื่อครู่เขาไม่ควรสงสัยในฝีมือของนางเลยจริงๆ
ต่อให้ไส้เป็ดไตเป็ดเหล่านั้นมีรสชาติแปลกประหลาดเพียงใดก็ตาม ประเดี๋ยวเขาต้องกินให้หมดสักชามใหญ่เป็นการให้เกียรตินาง
เจินเมี่ยวรับตะหลิวไม้มาจากไป๋เสาแล้วผัดพริกเหล่านั้นครู่หนึ่ง ไม่นานกลิ่นหอมและฉุนเผ็ดเฉพาะของพริกก็เริ่มกำจายออกมา คนทั้งหลายต่างอดกลืนน้ำลายมิได้
เมื่อเห็นว่าพริกในกระทะเริ่มกรอบและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง นางก็เทลงหม้อใหญ่ทันที แล้วเอาวุ้นเส้นในตะกร้าใส่ตามไป เติมเกลือและใส่ขิงดองเปรี้ยวที่เป็นสูตรเฉพาะของนางเองลงไป สุดท้ายยังใส่ผงพริกไทยลงไปอีกทัพพีใหญ่
ในหม้อใบใหญ่นั้นมีน้ำมันสีแดงกระจายเต็มไปหมด กลิ่นหอมอันเข้มข้นทำให้คนทรมานยิ่ง มีคนไม่น้อยที่ทำท่าทางอ้าปากแล้วกลืนน้ำลายตน
เจินเมี่ยวเช็ดมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เสร็จแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงนาง คนกลุ่มหนุ่มที่ล้อมอยู่ก็พุ่งพรวดเข้ามาทันที นายและบ่าวทั้งสองจึงรีบถอยออกมาโดยเร็ว
ครั้นเห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งเบียดกันจนแทบจะเบียดเอาหม้อคว่ำตกลงมาแล้ว เซียวมั่วอวี่ก็โมโหยิ่ง “ต่อแถวเดี๋ยวนี้!”
วาจาของเขายังคงได้ผลมาก คนกลุ่มหนึ่งรีบต่อแถวกันทันที
พลันเห็นเซียวมั่วอวี่เดินไปยืนอยู่ด้านหน้าสุดแล้วสั่งให้รองหัวหน้าฉือตักให้เขาชามใหญ่ จากนั้นหันกายมาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าจะชิมก่อนว่าสุกแล้วหรือไม่”
คนทั้งหลายต่างพร้อมใจกันชูนิ้วกลางขึ้น
ท่านหัวหน้าเป็นคนควรต้องมียางอายบ้าง!
เซียวมั่วอวี่ยกชามของตนเดินหลบไปอีกทาง เมื่อคีบวุ้นเส้นขึ้นมากินก็อดเบิกตากว้างขึ้นมิได้
อร่อยเหลือเกิน!
เมื่อเขากินต้มวุ้นเส้นเลือดเป็ดหมดไปชามใหญ่ เหงื่อก็ผุดขึ้นบนปลายจมูก ทั้งที่อากาศหนาวเช่นนี้แต่ร่างกายกลับอุ่นสบายยิ่ง
เวลานี้เองก็มีคนไม่น้อยที่กินหมดอย่างรวดเร็วและตะกละตะกลามต่างก็เอ่ยชมไม่ขาดปากว่า “อร่อยจนอยากจะกลืนลิ้นลงไปด้วยเลยทีเดียว กินหมดแล้วรู้สึกร่างกายอุ่นร้อน สบายตัวอย่างที่สุด”
“ใช่ๆ มือข้าหนาวจนแข็งมาหลายวัน ตอนนี้รู้สึกอุ่นขึ้นมามากแล้ว”
เซียวมั่วอวี่พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้
น้ำแกงรสชาติเผ็ดอร่อยเช่นนี้คล้ายจะเหมาะสำหรับใช้ขับไล่ความหนาวให้เหล่าทหารได้ ถึงชิ่งเป่ยเมื่อใด คาดว่าคงมีประโยชน์อย่างยิ่ง
เขาเช็ดปากตนแล้วฝืนทนมิเข้าไปแย่งพวกเขากินอีกสักชาม แต่เดินไปหาเจินเมี่ยวแทน
“เหตุใดเซี่ยนจู่จึงไม่กินสักหน่อยเล่า”
เจินเมี่ยวมองคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปแย่งกันอย่างบ้าคลั่งแล้วยิ้มน้อยๆ “ปกติข้าก็ได้กินอาหารดีๆ ไม่น้อย เหตุใดต้องไปแย่งพวกเขากินด้วยเล่า”
วาจานี้ทำเอาเซียวมั่วอวี่หน้าแดงขึ้นมา
ปกติเขาเองก็ได้กินของอร่อยจากนางไม่น้อย แต่เมื่อครู่กลับเข้าไปกินเป็นคนแรกเลย
แค็กๆ ความจริงไม่มีอันใดหรอก แค่เขาคุ้นชินกับการกินก่อนทหารทั้งหลายไปแล้ว
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สายตาของบรรดาทหารที่มองเจินเมี่ยวก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้มักจะมองด้วยความเคารพแฝงท่าทีหมางเมิน แต่ยามนี้กลับมองนางตาเป็นแสงสีเขียวดั่งหมาป่าที่หิวกระหาย
เจินเมี่ยวยังสังเกตเห็นอีกว่าทุกคราที่ถึงเวลาอาหาร มักจะมีคนมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ข้างรถม้านางทำเอาชิงไต้อยู่ไม่สุขเพราะต้องคอยระแวดระวังความปลอดภัยของนาง
หากจะให้ทุกคนได้อิ่มอร่อยกับอาหารทุกวันนั้นนางมีใจแต่กลับไร้กำลัง ทั้งของที่นางนำมาด้วยก็ไม่มากพอ นางได้แต่เอ่ยในใจว่าของบางอย่างที่ทางเหนือไม่มีนางเตรียมมาให้แค่ซื่อจื่อของนางโดยเฉพาะเท่านั้น
ทำให้ทุกครั้งที่ผ่านเมืองเล็กๆ วันนั้นกลายเป็นเทศกาลแห่งความสุขของทุกๆ คน เพราะของที่พวกเขาซื้อมา เมื่อมันผ่านมืออันมหัศจรรย์ของจยาเซี่ยนจู่ก็จะกลายเป็นอาหารเลิศรสหม้อหนึ่งทันที
เพราะมีอาหารเลิศรสให้พอได้กินบ้างนี้เอง ทำให้การเดินทางอันยาวไกลที่แสนยากลำบากมิได้ดูทรมานและยาวนานปานนั้น พวกเขาเดินทางไปอีกหลายวัน ในที่สุดขบวนขนเสบียงก็เดินทางมาถึงเมืองเป่ยปิงเสียที แต่ทหารที่เดินทางมากลับมิได้ดูอิดโรยอย่างคนที่เดินทางมานับพันลี้เลย จนทำให้ผู้ที่มาต้อนรับเกิดความสงสัยว่า เสบียงอาหารที่พวกเขานำมาอาจถูกเจ้าคนที่หน้าแดงปลั่งทั้งหลายเหล่านี้กินหมดไประหว่างทางแล้ว
“ท่านอาเล็ก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นผู้นำขบวนครานี้มา” เซียวอู๋ซังกระโดดลงจากหลังมา แล้วเดินเข้ามากอดเซียวมั่วอวี่ด้วยความดีใจ
พวกเขาสองคนอายุห่างกันไม่มาก แม้บอกว่าเป็นอาหลานแต่ความจริงไม่ต่างอันใดกับพี่น้องกันเลย ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เยาว์วัยอีกด้วย
“เลิกทำตัวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่เสียที” เซียวมั่วอวี่ขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แววตาเซียวอู๋ซังพลันเปลี่ยนไปทันที เขายิ้มออกมาแล้วโอบไหล่เซียวมั่วอวี่ไว้พลางเลิกคิ้วถามว่า “ท่านอาเล็ก คงมิได้พาอาสะใภ้มาหาข้าด้วยกระมัง”
เซียวมั่วอวี่หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขาชกอกเซียวอู๋ซังทีหนึ่ง “เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว!”
เขาชกเซียวอู๋ซังแล้วก็รีบหันหลังกลับไปมองโดยมิสนใจเสียงร้องโหยหวนของเซียวอู๋ซังแม้แต่น้อย สายตาจึงเหลือบไปเห็นเจินเมี่ยวกำลังลงจากรถม้าเข้าพอดี เขาจึงอดหูแดงขึ้นมามิได้
เหตุใดคนที่อยู่รอบตัวเขาจึงมีแต่คนโง่เขลาเช่นนี้เล่า กองทัพนี้เขามิอาจดูแลได้แล้วจริงๆ!
จยาหมิงเซี่ยนจู่…คงมิได้ยินกระมัง
เจินเมี่ยวเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มทักทาย “เซียวซื่อจื่อ”