วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 411 เป้ายิงธนู
ของสิ่งนั้นมีลักษณะเป็นวงกลม ขนาดเท่าอ่างล้างหน้า ความหน้าประมาณหนึ่งฉื่อ และที่แปลกที่สุดคือด้านหน้าของมันมีหัวธนูปักอยู่เต็มไปหมด เมื่อยกมันตั้งขึ้นก็เห็นว่าหัวธนูนั้นซ้อนกันแน่นนับร้อยเลยทีเดียว
“นี่คืออันใดหรือ” ของสิ่งนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง หลัวเทียนเฉิงยังคงปั้นหน้าขรึม เขาย่อกายวางมันลงตรงหน้านาง เจินเมี่ยวทิ้งเอาความน้อยใจทั้งหมดไปอีกทางแล้วเอ่ยขึ้นถามอย่างอดไม่ได้
“มันคือเป้ายิงธนู”
“หา?” เจินเมี่ยวตะลึงไป
“เป้ายิงธนูอย่างไรเล่า” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
“เป้า…ยิง…ธนู” เจินเมี่ยวลากเสียงยาว แต่ยังมิทันเข้าใจอยู่ดีว่ามันคือสิ่งใดกันแน่
หลัวเทียนเฉิงมองนางแล้วยิ้มอ่อนโยนออกมา “ครั้งนั้นที่ข้าตัดหางของจิ่นเหยียนทำให้เจ้าโกรธมาก เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าหากต่อไปข้าทำผิดอีกจะทำโทษให้คุกเข่าบนเป้ายิงธนู”
เจินเมี่ยวมีสีหน้าดั่งถูกฟ้าผ่าก็มิปาน
สามีผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมิใช่คนจิตวิปริตแต่เป็นพวกชอบเย้าเล่นอย่างโง่เขลาใช่หรือไม่
สายตานางมองเคลื่อนลงไปมองของสิ่งนั้นแล้วอดเอ่ยอย่างทอดถอนใจมิได้ว่ามันคือเป้ายิงธนูสมชื่อเสียจริงๆ!
หลัวเทียนเฉิงเห็นท่าทีของเจินเมี่ยวดูผ่อนคลายลง ก็เริ่มลอบยินดีอยู่ในใจ
เขารู้ดีว่าของเล่นชิ้นนี้ที่เขาทำขึ้นจะต้องทำให้เจี๋ยวเจี่ยวเบิกบานใจเป็นแน่
เขาเลิกชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลง
เจินเมี่ยวตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง นางรีบพุ่งเข้าไปดึงเขาลุกขึ้น ทั้งด่าว่าทั้งร้องไห้ไปด้วย “ท่านโง่หรือไร ไหนข้าดูหน่อยว่าเลือดออกหรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างเขินอายแล้วเอ่ยว่า “ไม่มี ข้าใส่กางเกงผ้านวมไว้ด้านใน”
เจินเมี่ยว “…”
นางยังโง่ไปเป็นห่วงเจ้าคนเหม็นโฉ่หน้าไม่อายนั้นอีก!
เจินเมี่ยวเบี่ยงกายไปนั่งลงบนเตียงคั่งไม่คิดจะไยดีเขาอีก เมื่อได้ยินเสียงพรึ่บดังขึ้นก็อดหันไปมองไม่ได้ จึงเห็นหลัวเทียนเฉิงถอดกางเกงตนอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นท่อนขายาวอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งนั้น เขาคุกเข่าลงไปบนเป้ายิงธนูทันที
ครานี้เจินเมี่ยวถึงกับหน้าขาวซีดไปทีเดียว
หลัวเทียนเฉิงเงยหน้าขึ้น “ฮูหยิน เจ้าอภัยให้ข้าแล้วหรือไม่”
เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปาก อยากจะปากแข็งแต่กลัวว่าเข่าเขาจะบาดเจ็บไปเสียก่อน จึงเอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ให้อภัย ไม่ให้อภัยอันใดกัน ท่านรีบลุกขึ้นเถิด”
หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้า “ข้าไม่ลุก หากเจ้ายังโกรธ ข้าก็จะคุกเข่าอยู่เช่นนี้ เจ้าหายโกรธเมื่อใดข้าค่อยลุกขึ้น”
เจินเมี่ยวจนใจยิ่ง “เอาละ ข้าไม่โกรธแล้ว ท่านลุกขึ้นเถิด”
“แน่ใจหรือ” หลัวเทียนเฉิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายอันอบอุ่นเป็นพิเศษ คล้ายสุนัขตัวโตที่กำลังพยายามเอาใจเจ้านายตน
เจินเมี่ยวคล้ายเห็นหางสุนัขแกว่งไกวไปมาที่ด้านหลังของเขา จึงอดกะพริบตามิได้ ในใจก็เอ่ยว่า เป็นไปไม่ได้ ซื่อจื่อมิใช่สุนัขที่จงรักภักดีอันใดเทือกนั้น เขาไม่รังแกนางก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวไม่ตอบ หลัวเทียนเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายกำลังอดทนกับความเจ็บปวด เจินเมี่ยวจึงใจอ่อนขึ้นมาทันที นางเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “แน่ใจ ท่านรีบลุกขึ้นมาเถิด”
หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นยืนทันที
เขาถอดกางเกงออกไปแล้วจึงเผยให้เห็นท่อนขายาวอย่างชัดเจน ส่วนนั้นของเขาจึงปรากฏตระหง่านอยู่ตรงหน้าเจินเมี่ยวด้วยเช่นกัน
เจินเมี่ยวหน้าแดงขึ้นมา นางรีบเลื่อนสายตาลงไปด้านล่างทันที แต่ก็อดตกตะลึงมิได้
แม้การมิได้เห็นภาพเลือดสดไหลออกมาเพราะเข่าของเขาถูกคมธนูทิ่มแทงทำให้นางโล่งอก แต่การที่เข่ามีเพียงรอยบุ๋มเล็กและค่อยๆ หายไปคาตาเช่นนี้ มิใช่ว่าออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยหรือ
“ซื่อจื่อ ผิวของท่านหนาถึงขั้นนี้เชียวหรือ”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าลองมาแล้ว หัวธนูพวกนี้ยิ่งมากยิ่งมิรู้สึกเจ็บ!”
เจินเมี่ยวจ้องหัวธนูอันมากมายนั้นคราหนึ่งด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นางยกเท้าถีบหลัวเทียนเฉิงล้มลง เขาจึงล้มก้มจ้ำเบ้าลงไปบนเป้ายิงธนูนั้น
หลัวเทียนเฉิงร้องโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง
คนทั้งหลายที่แอบฟังอยู่ไม่ไกลนักถึงกับมองหน้ากัน
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “หรือแม่ทัพของเราจะเป็นผู้อยู่ด้านล่าง”
คนอีกผู้หนึ่งปิดหน้าเอ่ยว่า “ต้องใช่อย่างแน่นอน ฟังสิ ร้องโหยหวนปานนั้น! ไปดื่มสุรากันได้แล้ว เอ้อร์เหมาและพวกกำลังรอฟังข่าวจากพวกเราอยู่!”
“ไปๆ!”
เจินเมี่ยวก้มลงมองหลัวเทียนเฉิงที่นั่งอยู่บนเป้ายิงธนูอย่างไร้หนทางลุกขึ้นได้ แต่กลับหมุนกายเดินออกไปโดยไม่แสดงท่าทีเห็นใจแม้เพียงน้อยนิด
“เจี๋ยวเจี่ยว…”
“ข้าจะไปเรียกไป๋เสาให้เตรียมน้ำร้อนให้ข้าอาบน้ำ”
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมื่อนางอาบน้ำกลับมาก็พบว่าหลัวเทียนเฉิงนอนคว่ำหลับไปบนเตียงคั่งเรียบร้อยแล้ว
เจินเมี่ยวถึงกับอึ้งไป
เดิมนางคิดว่าเมื่อเห็นตนมา ต่อให้จะเป็นเช่นไรเขาก็คงต้องคอยเคล้าเคลียนางอยู่สักพักแน่ คิดไม่ถึงว่าจะหลับไปแล้ว
เวลานี้นางกลับมิได้รู้สึกไม่พอใจ แต่กลับสงสารเห็นใจขึ้นมา
ดูท่าเขาคงเหนื่อยมากเหลือเกินจริงๆ อาจเพราะทุกวันเขายุ่งมาก ยุ่งกว่าที่นางจินตนาการไว้เสียอีก
เจินเมี่ยวเดินเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงบนเตียงคั่ง ภายในแสงเทียนที่กำลังไหวระริกอยู่นั้น นางกัดฟันตนไว้แล้วค่อยๆ คลี่มุมผ้าห่มให้เปิดออก
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เขายังมิได้สวมกางเกง บริเวณบั้นท้ายมีเนื้อปริถลอก ส่วนที่มิได้ถลอกก็เป็นจุดสีแดงเล็กๆ เห็นชัดว่าเมื่อครู่เขาได้ถูกหัวธนูทิ่มเข้าให้แล้วจริงๆ
“สมน้ำหน้า!” แม้เจินเมี่ยวจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ในใจกลับรู้สึกผิดอยู่บ้างเล็กน้อย
นางควรเตะเขาไปอีกทาง เหตุใดจึงบังเอิญเพียงนั้น เตะเพียงคราเขาก็ล้มลงไปบนเป้ายิงธนูเสียแล้ว
เห็นชัดว่าหลัวเทียนเฉิงซูบผอมและดำคล้ำกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย เจินเมี่ยวจึงเลิกผ้าห่มด้านบนออกแล้วอดสูดปากมิได้
ด้านหลังของเขามีรอยแผลเป็นหลายแผล หนึ่งในนั้นเพิ่งจะสมานดี เห็นชัดว่าเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาไม่นานนี้เอง
เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมาแผ่วเบา นางนอนลงใกล้ๆ เขาแล้วหลับไป
เป็นครั้งแรกที่นางมิได้ฝันเลยตลอดทั้งคืนตั้งแต่เดินทางมาที่นี่
ยามอิ๋น[1] หลัวเทียนเฉิงจึงค่อยๆ ลุกขึ้น เมื่อเห็นเจินเมี่ยวกำลังหลับสบาย เขาก็ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากนางคราหนึ่งแล้วออกจากห้องไป
กระทั่งเขาสั่งงานทหารเรียบร้อยแล้วจึงรีบกลับมา ตอนนั้นเป็นยามเหม่า[2] พอดี เจินเมี่ยวยังหลับอยู่เขาจึงถอดรองเท้าแล้วนอนลงข้างกายนาง
ตอนที่เจินเมี่ยวลืมตาขึ้น ก็เห็นหลัวเทียนเฉิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทั้งส่งยิ้มให้ “เจี๋ยวเจี่ยว ขอโทษด้วยที่เมื่อวานข้าเผลอหลับไป”
“ท่านมิได้นอนมากี่วันแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงมิเอ่ยอันใด แต่เจินเมี่ยวกลับเข้าใจ นางถอนหายใจเอ่ยว่า “ท่านจะทุ่มเทถึงเพียงนี้ไปเพื่อสิ่งใด”
เขามีท่าทีจริงจังขึ้นมา “ที่ยามนี้ข้าทุ่มเทสุดชีวิตก็เพื่อให้ราษฎรของต้าโจวมิต้องหลั่งโลหิตอีกต่อไปในภายหน้า และข้าจะได้ปกป้องเจ้าได้ดียิ่งขึ้นด้วย”
ต่อให้องครักษ์จิ่นหลินจะมีชื่อเสียงเพียงใด แต่ในความเป็นจริงก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งที่คอยรับใช้โอรสสวรรค์เท่านั้น ต่อให้เป็นที่โปรดปรานหรือน่าภาคภูมิใจปานใด หากเจ้านายมิชมชอบแล้ว สุดท้ายคงมีจุดจบไม่ต่างกับสุภาษิตกระต่ายม้วยต้มสุนัขเท่านั้น แต่การเป็นแม่ทัพที่ทุ่มแรงกายแรงใช้ต่อสู้กับศัตรูนั้น ต่อให้ฝ่าบาทคิดจะกำจัด เกรงว่าคงต้องครุ่นคิดพิจารณาให้ดี
การนำทัพมาปราบกบฏเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่เขาวางไว้นานแล้ว เพราะเขามีความอดทนอย่างยิ่งจึงได้เดินมาถึงจุดนี้ได้ในเวลาอันสั้น หากทำตามห้วงเวลาเดิมคิดว่าเขาต้องรอไปอีกสามปีหลังจากนี้จึงจะถูกปล่อยตัวออกจากเมืองหลวง ถึงตอนนั้นเจาเฟิงตี้ก็สวรรคตไปแล้ว เฉินอ๋องได้ขึ้นครองราชย์แทน
ทว่าเมื่อถึงยามนั้นเขากับเฉินอ๋องกลับถูกกำหนดให้ความสัมพันธ์ในยามนี้ต้องสูญสลายไป และเขาไม่อยากจะเป็นเพียงคนที่คอยแต่อาศัยตำแหน่งคุณชายผู้สืบทอดของจวนกั๋วกงและตำแหน่งหัวหน้าผู้บัญชาการเพื่อให้ตนมีฐานอันมั่นคง แต่อยากอาศัยความสามารถของตนเองแทน
ดังนั้นการแยกจากกันเพียงสั้นๆ นี้ แม้เขาจะไม่ต้องการสักนิดแต่ก็ต้องกัดฟันทนไว้
เขาคิดว่าการมาของเจี๋ยวเจี่ยวเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายอันแสนงดงามยิ่งภายใต้แผนการที่สมบูรณ์แบบนี้ของเขา
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าไม่โกรธแล้วใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่งโดยมิเอ่ยอันใด
หลัวเทียนเฉิงค่อยๆ กระตุกมุมปากตนขึ้น
เขาคิดไว้แล้วว่าวิธีทำร้ายตนเองเมื่อวานต้องได้ผล เมื่อก้นล้มลงไปนั้นช่างเจ็บปวดยิ่ง แต่หากเขามิทนเจ็บก้น ก็จะเป็นหัวใจต่างหากที่เจ็บปวดแทน เขาช่างฉลาดจริงๆ เลย
อีกไม่นาน หลัวเทียนเฉิงก็จะได้ทราบว่า ความฉลาดของเขานั้นได้แว้งกัดเขาแล้ว
หลังจากเจินเมี่ยวกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว เขาจึงไปจัดการที่พักใหม่ให้กับนาง ระหว่างรีบเดินกลับไปที่เรือนตนก็รู้สึกได้ถึงสายตาประหลาดของคนทั้งหลายที่มองตน จึงอดไม่ได้ที่จะจ้องนายทหารผู้หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอันใดหรือ”
ทหารน้อยผู้นั้นถึงกับปิดปากตนไว้ “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยมิทราบอันใดทั้งนั้น!”
หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลง น้ำเสียงฟังดูอันตรายยิ่ง “ข้าต้องต่อยเจ้าก่อนจึงจะทราบใช่หรือไม่”
ทหารน้อยถึงกับตัวสั่น เขาเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ท่านแม่ทัพ หากข้าน้อยพูดแล้ว ท่านจะไม่ต่อยข้าน้อยใช่หรือไม่”
“ไม่ต่อย”
ทหารน้อยจึงใจชื้นขึ้นมา “ข้าน้อยได้ยินมาว่า บุรุษคนโปรดของท่านมาที่นี่! ท่านแม่ทัพที่เมืองหลวงนิยมเลี้ยงชายงามกันมากหรือไม่ ชายงามมีหน้าตาเช่นไร มีหนวดเครายาวเหมือนพวกเราหรือไม่ขอรับ”
หลัวเทียนเฉิงหน้าดำคล้ำขึ้นมา “ผู้ใดพูด”
“พี่เอ้อร์เหมาและพวกขอรับ พวกเขายังพูดเรื่องด้านบนด้านล่างอันใดนั้นด้วย ข้าน้อยฟังมิเข้าใจ…”
เขายังพูดมิทันจบก็ร้องโหยหวนออกมาคราหนึ่ง ทหารน้อยปิดตาตนไว้ แล้วเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “ไหนท่านว่าจะไม่ต่อยข้าน้อยอย่างไรเล่าขอรับ”
หลัวเทียนเฉิงกระตุกมุมปากขึ้นด้วยใบหน้าดำคล้ำ “ข้าหมายความว่าไม่ต่อยสิถึงจะแปลก!”
เขาเดินมุ่งตรงไปที่ลานฝึกยุทธ์แล้วกวักมือเรียกรองแม่ทัพจาง “ไปเรียกพวกที่อยู่กับข้าเมื่อวานมาที”
รองแม่ทัพจางรู้สึกลังเลเล็กน้อย
ท่านแม่ทัพยิ้มหวานเพียงนี้จะต้องมีเรื่องไม่ดีอันใดเกิดขึ้นแน่!
“เร็วเข้า ข้ามีกระบวนท่าใหม่มาสอนพวกเขา”
แววตารองแม่ทัพจางเป็นประกายขึ้นมาทันที
ดีเหลือเกินแล้ว ท่านแม่ทัพจะสอนกระบวนท่าใหม่ให้พวกเขา ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าท่านทัพฝีมือเก่งกาจเพียงใด!
เขารีบเดินส่ายบั้นท้ายออกไปอย่างมิสงสัยอันใดอีก ไม่นานก็พาทหารกลุ่มหนึ่งที่มีดวงตาเป็นประกายกลับมาด้วย
หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองพวกเขาจนครบ แต่ยังคงรักษารอยยิ้มสุภาพเอาไว้ ท่าทีงดงามของคุณชายสูงศักดิ์ทำให้คนทั้งหลายต่างใจสั่นขึ้นมา ในใจก็คิดว่าช่างดูว่าง่ายนัก ยามนี้เมื่อคิดว่าแม่ทัพของพวกเขาเป็นผู้อยู่ด้านล่างก็คล้ายมิได้รู้สึกขัดแย้งนัก
ถุยๆ คิดเหลวไหลอันใดกัน!
“วันนี้ข้าจะสอนกระบวนท่าที่เรียกว่าสุดยอดการเตะระรัว”
“สุดยอดการเตะระรัว”
หลัวเทียนเฉิงกระดิกนิ้ว ทุกคนต่างล้อมวงเข้ามา
“หันหลัง”
คนทั้งหลายต่างทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อรู้สึกถึงกระแสสังหารที่ลอยวนอยู่ด้านหลังก็อดทอดถอนใจด้วยความชื่นชมว่าเป็นกระบวนท่าอันร้ายกาจยิ่งมิได้
ความเจ็บที่ก้นตามมาติดๆ คนทั้งหลายที่ล้อมเป็นวงกลมต่างถูกเตะกระเด็นไปไกลเป็นจั้ง หน้าล้มคะมำลงพื้นดั่งสุนัขกินอาจม
“อีกครั้ง”
คนทั้งหลายรีบตะเกียกตะกายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แล้วหนีบขาตนไว้ตามสัญชาตญาณ
“หืม?” เสียงแห่งความสงสัยอันเต็มไปด้วยอำนาจนั้นดังขึ้น
คนทั้งหลายจึงยืนตรงอย่างว่าง่ายทันที ตามด้วยการถูกเตะกระเด็นไปอีกครา
กระทั่งมิอาจลุกขึ้นยืนได้อีก หลัวเทียนเฉิงจึงแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ต่อไปหากพวกเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะไม่เตะแค่ก้น แต่จะเตะที่ปากแทน”
คนทั้งหลายรีบปิดปากตนไว้ แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าดั่งคนจะร้องไห้ว่า “ท่านแม่ทัพ ต่อไปพวกเราจะไม่พูดเรื่องจริงอีกแล้วขอรับ!”
มุมปากหลัวเทียนกระตุกขึ้นคราหนึ่ง
คงเพราะปกติเขาใจดีกับพวกเขาเกินไป ถึงได้กลายเป็นคนปากพล่อยหน้าหนาเช่นนี้
เขาไม่รู้จะทำฉันใดแล้ว จึงยกมือขึ้นนวดขมับแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “ผู้ที่มาเมื่อวานนี้คือฮูหยินข้า ประจวบเหมาะกับวันนี้มิได้ออกไปนอกเมือง หลังฝึกยุทธ์เสร็จแล้วก็ไปดื่มสุราด้วยกันเถิด”
สตรีรูปร่างสูงโปร่งที่สวมชุดทหารยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ทัพหลัว วันนี้มีเรื่องใดหรือถึงได้เบิกบานถึงเพียงนี้”
[1] ยามอิ๋น ช่วงเวลา 3.00-4.59 นาฬิกา
[2] ยามเหม่า ช่วงเวลา 5.00-6.59 นาฬิกา